ตอนที่ 2 เตรียมการงานวิวาห์ 2
ส่วนอีกด้านหนึ่งที่จวนสกุลเหลียงยามนี้ที่เรือนของเหลียงซูเมิ่ง สาวใช้นามว่าติงหยู่ซึ่งเป็นสาวใช้คนสนิทของเหลียงซูเมิ่งกำลังสาวเท้าเข้ามาหาคุณหนูของตนด้วยท่าทางรีบร้อนอยากจะรีบรายงานข่าวที่นางได้มาให้ผู้เป็นนายของตนได้ฟัง
“คุณหนูเจ้าค่ะ เมื่อครู่บ่าวไปแอบฟังที่เรือนหน้ามาเจ้าค่ะ เห็นว่าพรุ่งนี้จะมีช่างมาวัดตัดและนำแบบชุดแต่งงานมาให้คุณหนูเลือกเจ้าค่ะ”
ติงหยู่เอ่ยรายงานทันทีที่เห็นว่ายามนี้คุณหนูของนางกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่เก้าอี้มุมหนึ่งด้านในเรือนพัก
“แล้วมีข่าวอย่างอื่นอีกหรือไม่” เหลียงซูเมิ่งเอ่ยถามสาวใช้ของตนต่อ
“ไม่มีแล้วนะเจ้าคะ ที่บ่าวได้ยินมีเพียงเท่านี้เจ้าค่ะ คุณหนูอยากทราบเรื่องใดอีกอย่างนั้นหรือเจ้าค่ะ” สาวใช้คนสนิทเอ่ยถามออกมาอย่างไม่เข้าใจ
ก่อนจะนึกขึ้นมาได้ จึงได้รีบกล่าวออกไป “บ่าวได้ยินคนจากห้องครัวพูดกันมานะเจ้าคะ ว่าเมื่อเช้าพวกนางเห็นคุณชายเว่ยที่ตลาด คุณชายเว่ยไม่มีท่าทีใดเป็นพิเศษเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นรึขอบใจเจ้ามาก” เจ้าของเสียงหวานเอ่ยออกมาเบาๆ ก่อนจะเอ่ยให้สาวใช้คนสนิทของนางไปนำของว่างมาให้ใหม่
หลับจากที่ติงหยู่ออกไปแล้วในเรือนจึงเหลือเพียงแค่นางและสาวใช่ที่ยืนรอท่าอยู่ใกล้ๆอีกสองคนเท่านั้น
นางปิดหนังสือในมือลงก่อนจะวางลงที่โต๊ะด้านข้าง ก่อนจะหันหน้าออกไปมองนอกหน้าต่างบานที่อยู่ห่างออกไปเล็กน้อย
อีกไม่กี่วันนางจะได้แต่งงานแล้ว แถมยังโชคดีที่ได้แต่งกับบุรุษที่นางแอบหลงรักมานาน
นางจำได้ครั้งแรกที่ได้ยินเรื่องแต่งงานจากปากของท่านแม่นางดีใจมาก แต่เมื่อเวลาผ่านมานางกลับรู้สึกหวั่นใจ นางหวั่นใจว่าตัวเองนั้นจะไม่สามารถทำหน้าที่ภรรยาได้เป็นอย่างดี กลัวหากแต่งไปเป็นภรรยาของบุรุษที่นางหลงรักมาเนินนานแล้วจะทำให้เขารู้สึกผิดหวังหรือเสียใจที่แต่งงานกับนาง
เหลียงซูเมิ่งรู้ดีการแต่งงานนี้เกิดขึ้นเพราะท่านแม่ของนางและท่านแม่ของเว่ยมู่เหยียนเห็นดีด้วยเท่านั้น หาได้มาจากความต้องการหรือเต็มใจที่จะแต่งแต่อย่างใด
เมื่อครู่ที่นางถามติงหยู่เกี่ยวกับเรื่องของเว่ยมู่เหยียนก็เพราะอยากจะรู้ว่าหลังจากที่เขารู้แล้วว่าอีกไม่นานจะต้องแต่งกับนางจะมีท่าทีอย่างไรบ้าง หากเขาไม่เต็มใจหรือทะเลาะกับผู้ใหญ่ในสกุลเว่ยเพราะงานแต่งครั้งนี้จะทำอย่างไร
นางกังวลว่าอาจจะถูกเกลียด กังวลว่าจะให้เขาไม่พอใจเป็นที่สุด หลังจากที่ได้รู้ว่าเขากลับทำตัวเป็นปกติไม่มีสิ่งใดผิดแปลกไปนางก็แอบโล่งใจเล็กน้อย แต่ก็อดคิดไปไม่ได้ว่าอาจจะเป็นเพราะเขาไม่สนใจนางแต่แรกแล้ว ถึงจะต้องแต่งกับนางอีกไม่ช้าก็ไม่ใช่เรื่องราวใหญ่โตที่จะต้องเก็บมาใส่ใจแต่อย่างไร
ในสถานนะแอบหลงรักเขามาเนินนาน แอบมองอยู่เพียงใกล้ๆเท่านั้น ครั้งนี้มีโอกาสให้นางรักเข้าไปเป็นอีกส่วนหนึ่งของชีวิตของเขาแล้ว แน่นอนว่าตัวของนางนั้นยิ่งกว่าดีใจเสียอีก ได้เพียงแค่หวังว่าตัวนางนั้นจะได้อยู่ในหัวใจของเขาเข้าสักวัน แม้จะเป็นเพียงเศษเสี้ยวเล็กๆก็ขอให้มีสักวันหนึ่งที่นางจะได้ครอบครองเป็นเจ้าของเศษเสี้ยวเล็กๆนั้น
เมื่อเช้าอยู่ๆท่านแม่ก็ให้คนมาบอกนางว่าจะให้นางไปอารามนอกเมืองเป็นเพื่อน แน่นอนว่านางที่ไม่ค่อยได้ออกจากจวนนั้นตอบตกลงกับมารดาอย่างรวดเร็ว
ครั้นเมื่อถึงเวลานัดนางก็เดินออกมายังหน้าประตูจวนเพื่อที่จะขึ้นรถม้าไปเช่นดังปกติ หากแต่คราวนี้ไม่เป็นเช่นทุกครั้งเมื่อยามที่นางเดินมาใกล้ประตูทางเข้าจวนกับได้ยินเสียงพูดคุยกันอย่างสนุกสนานที่ดังลอยมาเสียก่อน
เสียงหนึ่งในผู้ที่สนทนาอยู่นั้นเป็นน้ำเสียงที่นางคุ้นหูมากทีเดียวซึ่งแน่นนอนว่าเจ้าของเสียคงจะเป็นผู้ใดไปไม่ได้นอกจากท่านแม่ของนางนั้นเอง พอเดินไปถึงจึงพบกับคู่สนทนาของมารดานางซึ่งก็ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นท่านป้าอี้ผู้เป็นเพื่อนสนิทของมารดานางและยังเป็นว่าที่แม่สามีของนางอีกด้วย
“ซูเมิ่งคาราวะท่านป้าอี้เจ้าค่ะ” นางเอ่ยขึ้นพร้อมทั้งโค้งคำนับทันทีเมื่อเดินมาถึงจุดที่ท่านแม่ของนางกับท่านป้าอี้ยืนอยู่
“เมิ่งเมิ่งหายเจ็บไข้แล้วใช่หรือไม่”
ท่านป้าอี้เอ่ยขึ้นกับนางด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง แน่นอนว่านางยิ้มเป็นเชิงของคุณที่ผู้ใหญ่เป็นห่วงก่อนจะเอ่ยตอบกลับท่านป้าไปอย่างอ่อนน้อม
“หลานดีขึ้นมากแล้วเจ้าค่ะ ขอบคุณท่านป้ามากที่เป็นห่วงหลานเสมอมา”
