Prologue
อากาศในกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่นช่วงหน้าร้อนไม่ต่างอะไรจากหน้าร้อนของประเทศไทยเลยแม้แต่น้อย ดูท่าจะร้อนกว่าเสียด้วย ร้อนแบบอบอ้าว อากาศไม่ถ่ายเท ร้อนแห้งๆ ชวนให้เป็นลมอะไรแบบนั้น
หากแต่สิ่งที่ร้อนกว่าอุณหภูมิกว่า 35 องศา คงจะเป็นใจของชายหนุ่มร่างสูงที่ยืนรอประตูขบวนรถไฟใต้ดินเปิดออกอย่างใจจดจ่อหลังจากที่เข้าเทียบชานชาลา สายตามองไปยังด้านนอกสลับกับหน้าจอโทรศัพท์ฝาพับอย่างหัวเสียที่ทุกอย่างไม่รวดเร็วดังใจคิดเสียที
อีกครึ่งชั่วโมงจะได้เวลาพักเที่ยง...
ใช่ อีกครึ่งชั่วโมงจะได้เวลาพักเที่ยง... เวลาพักเที่ยงของกองบรรณาธิการสำนักพิมพ์ ‘นิปปอนเพิร์ล’ สำนักพิมพ์ที่ตีพิมพ์และจัดจำหน่ายหนังสือนิยายและการ์ตูนรายใหญ่แห่งหนึ่งของประเทศ เรียกได้ว่าเป็นสำนักพิมพ์ที่เป็นศูนย์รวมนักเขียนเบสท์เซลเลอร์ไว้มากที่สุดเลยก็ว่าได้ ทว่านั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่ชายหนุ่มสนใจนัก นอกจากคำพูดของบรรณาธิการต้นฉบับที่เขาเรียกติดปากว่า บ.ก.ฟุรุคาวะ ที่เพิ่งจะแจ้งเขาไปเมื่อชั่วโมงก่อนว่านิยายของเขาซึ่งวางแผงเล่มที่ 2 ไปเมื่อสามเดือนก่อนจำเป็นต้องถูกตัดจบในเล่มที่ 3 โดยมีกำหนดวางแผงในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
เล่มที่ 3! ให้ตายเถอะ เรื่องนี้วางแผนไว้ว่าจะเขียน 10 เล่มจบนะ มาตัดจบกันแบบนี้ได้ไง!
ถึงจะรู้เหตุผลว่าที่ถูกตัดจบเป็นเพราะนิยายของเขาขายได้ไม่ดีตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ เรียกได้ว่าล้มเหลวอย่างราบคาบตั้งแต่เล่มที่ 1 วางแผงไปเลยก็ว่าได้ ชนิดเทียบกับนักเขียนที่ได้เดบิวท์จากการชนะการประกวดนิยายไลท์โนเวลของสำนักพิมพ์อย่างลำดับที่ 2 และ 3 แล้ว นิยายของเขายังมียอดขายแย่กว่าหลายเท่าด้วยซ้ำ
ฉันเป็นนักเขียนที่ได้รางวัลชนะเลิศเชียวนะ! มันจะขายไม่ได้ยังไงกัน!
เพราะคิดแบบนี้นั่นแหละที่ทำให้เขาต้องรีบแจ้นมาที่สำนักพิมพ์เพื่อเข้าไปคุยกับ บ.ก.ฟุรุคาวะ ให้กระจ่างใจ
พอประตูขบวนรถไฟเปิด ขายาวก็พาร่างกึ่งวิ่งกึ่งเดินไปตามทางเดิน พอออกจากทางออกที่ 4 ที่ทะลุมายังหน้าสำนักพิมพ์ได้อย่างพอดิบพอดีแล้ว เขาก็เปลี่ยนจากเดินเป็นวิ่งทันทีที่เหลือบเห็นหน้าจอโทรศัพท์บอกเวลาว่าอีกไม่กี่นาทีก็จะได้เวลาพักเที่ยงเพราะต้องการเจอผู้ดูแลต้นฉบับก่อนที่ฝ่ายนั้นจะหนีไปกินข้าว
ชายหนุ่มเข้าไปแจ้งกับประชาสัมพันธ์ว่าต้องการพบใคร เขานึกหงุดหงิดใจไม่น้อยที่ไม่สามารถเข้าพบคนดูแลต้นฉบับทันทีเลยได้ทั้งที่เขาเองก็มาที่นี่บ่อยและเป็นนักเขียนของสำนักพิมพ์นี้ แต่กฎระเบียบ อย่างไรก็คือกฎระเบียบ ถึงจะดังหรือมีชื่อเสียงแค่ไหนก็ไม่สามารถแหกกฎได้ เขาจึงอดใจนั่งรออยู่สักพัก ให้ประชาสัมพันธ์สาวโทรไปแจ้งว่าเขามาขอพบ ไม่นาน ร่างผอมสูงของชายอายุราว 30 ปี ใส่แว่นหนาเตอะ แต่งตัวเชยๆ ก็ปรากฏให้เห็นพร้อมกับทักเขาเสียงดัง
“เอ้า อาจารย์กัน ทำไมจะมาถึงไม่บอกผมก่อนล่ะครับ”
‘อาจารย์กัน’ เป็นชื่อที่รู้กันในกองบรรณาธิการว่าหมายถึงชายหนุ่มชาวไทยวัย 25 ปีที่ชื่อ ‘กัลป์’ ซึ่งเป็นผู้ชนะเลิศจากการประกวดนิยายประจำปี ประเภทไลท์โนเวลที่ทางสำนักพิมพ์จัดไปเมื่อปีก่อน อันที่จริงไม่ใช่แค่กองบรรณาธิการเท่านั้นที่รู้จักเขาในชื่อนี้ แต่นักอ่านขาประจำของสำนักพิมพ์เองก็รู้จักเขาในนามปากกานี้ด้วย เนื่องจากนิยายเรื่องแรกที่เขาเขียนลงนิตยสารรายสัปดาห์ประสบความสำเร็จอย่างมากจนคนอ่านติดกันงอมแงม หากแต่พอมาเขียนเล่มเดียว ความนิยมกลับถดถอยลงเสียอย่างนั้น ...ถดถอยจนว่ากลัวว่าทางสำนักพิมพ์จะเลือกผู้ชนะการประกวนนิยายครั้งนั้นผิดพลาด แทนที่จะได้เพชรเม็ดงาม แต่กลับได้ก้อนกรวดมาแทน
ทว่ากัลป์ไม่ได้ใส่ใจกับคำทักทายของอีกฝ่ายนัก นอกจากตอบรับเสียงเรียบ
“ผมส่งเมล์แจ้งคุณไว้แล้วว่าจะมา คุณได้เปิดอ่านหรือยังล่ะครับ”
ที่ถามอย่างนี้เพราะรู้ว่าฟุรุคาวะมักไม่ค่อยแตะโทรศัพท์ แล้วก็จริงเสียด้วยเมื่อเขาล้วงเอาโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงออกมาดู ก่อนจะยกมือขึ้นลูบท้ายทอย ขอโทษขอโพยเป็นพัลวัน
“พอดีผมติดประชุมอยู่น่ะครับ ขอโทษจริงๆ ที่ไม่ได้ตอบเมล์อาจารย์”
กัลป์พยักหน้าอย่างขอไปที พลันเข้าเรื่องด้วยไม่อยากเสียเวลา
“คุณฟุรุคาวะรู้ใช่มั้ยครับว่าผมมาขอพบคุณเพราะอะไร”
ฟุรุคาวะรู้อยู่แล้วล่ะ มองสีหน้าไม่พอใจของอีกฝ่ายก็เดาได้ว่าคงจะเป็นเรื่องที่ตนแจ้งไปเมื่อชั่วโมงก่อน ก่อนที่จะพยักหน้า ผายมือเชิญให้ชายหนุ่มรุ่นน้องเข้าไปข้างใน
“งั้นเราไปคุยกันข้างในเถอะครับ ดูท่าคงจะต้องคุยยาว”
กัลป์ไม่พูดอะไร เดินตามหลังฟุรุคาวะไปเงียบๆ กระทั่งถึงห้องบรรณาธิการ
เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามโต๊ะทำงานของฟุรุคาวะถูกเลื่อนออกให้กัลป์นั่ง ก่อนฟุรุคาวะจะร้องถามตามมารยาท
“จะรับชาหรือกาแฟดีครับอา...”
“เข้าเรื่องเลยได้มั้ยครับ” พูดยังไม่ทันจบ กัลป์ก็แทรกขึ้นก่อน “ผมอยากให้คุณช่วยอธิบายให้ละเอียดหน่อยว่าตกลงเรื่องมันเป็นยังไง ทำไมนิยายผมถึงถูกตัดจบทั้งที่เพิ่งจะวางแผงไปได้ไม่กี่เดือน”
ฟังดูแล้วค่อนข้างเป็นคำพูดตรงๆ ที่ไร้มารยาท หากแต่เห็นหัวคิ้วของอีกฝ่ายขมวดกันเป็นปม ฟุรุคาวะก็ไม่อยากถือสา พยักหน้าแล้วเดินกลับมานั่งประจำที่ตัวเองแต่โดยดี
“ก็ต้องบอกกันตามตรงนะครับอาจารย์ว่างานของอาจารย์เรื่องล่าสุดเนี่ยเปิดตัวมาไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก ถึงจะเป็นไลท์โนเวลแฟนตาซีที่ทางเราคิดว่ายังไงก็น่าจะขายได้ แต่มันพลาด ขายไม่ดีตั้งแต่เล่มแรกแล้ว”
“บอกตรงๆ ว่าผมไม่รู้ว่าตัวเองทำพลาดตรงไหน ผมก็เขียนไปตามพล็อตที่เอามาเสนอให้คุณดูก่อน แล้วก็แก้งานตามที่คุณบอก ถึงจะแก้เป็นบางจุดก็เถอะ ผมทำตามคำแนะนำทุกอย่างนะ แต่ผมก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่าอะไรกันแน่ที่พลาด”
“ถ้านับเรื่องทักษะการเขียนและการใช้สำนวนของอาจารย์ในฐานะชาวต่างชาติแล้ว ผมว่าอยู่ในระดับที่เรียกว่าดีเลยนะ ดีกว่าคนญี่ปุ่นแท้ๆ บางคนด้วยซ้ำ เรื่องสำนวนอะไรนั่นมันไม่พลาดหรอก แต่ที่พลาดน่ะ มันพลาดตรงที่อาจารย์เขียนเนื้อเรื่องให้มีแต่ตัวละครชายโผล่มาทั้งเล่มมากกว่า เล่มแรกยังไม่เท่าไหร่ มาเล่มที่สองก็ยังมีแต่ตัวละครชาย คนอ่านเค้าก็ไม่โอเคกันน่ะครับ อย่างว่าแหละ ไลท์โนเวลเราเน้นกลุ่มนักอ่านชาย เราก็เลยต้องขายตัวละครหญิงเป็นหลัก“
เรื่องนั้นทำไมกัลป์จะไม่รู้ เขารู้ดีเลยล่ะ นั่นเลยเป็นเหตุผลที่ทำให้นิยายเรื่องแรกของเขาได้รับความนิยมเพราะเขาเขียนเป็นแนวฮาเร็มหญิง ซึ่งมันไม่ใช่ตัวเขาเลย มันไม่มีความแตกต่าง และเขาก็อยากสร้างความแตกต่าง จึงเป็นเหตุผลที่เขาเขียนนิยายที่ได้ตีพิมพ์เดี่ยวแหวกตลาดออกไป ซึ่งเขาก็มั่นใจมากๆ ด้วยว่าถึงจะมีแต่ตัวละครชายเป็นตัวละครหลัก แต่พล็อตกับเนื้อเรื่องสนุกไม่แพ้ใครแน่
“คุณรู้ได้ยังไงว่าคนอ่านไม่โอเค” กัลป์เถียงขึ้นมาด้วยคิดว่าเนื้อหาเล่ม 1 ถึง 3 มันยังไม่ถึงไคลแม็กซ์ ซึ่งยังไม่น่าจะตัดสินได้ว่านิยายของเขาไม่โอเค
ฟุรุคาวะก็เลยก้มลงไปหยิบปึกกระดาษปึกหนึ่งในลิ้นชักขึ้นมาวางบนโต๊ะ กัลป์มองปราดเดียวก็รู้เลยว่ามันเป็นแบบสอบถามจากนักอ่านที่ถูกสอดไว้ในหนังสือเพื่อให้นักอ่านส่งฟีดแบ็กกลับมา
“ตอบกลับมาเยอะขนาดนี้ แต่ถูกติทั้งนั้น อาจารย์ว่าคนอ่านโอเคมั้ยล่ะครับ ให้ผมลองอ่านให้ฟังนะ... ดำเนินเรื่องช้า ตัวเอกน่ารำคาญ ตัดสินใจไม่ได้สักที” อ่านแผ่นแรกจบก็ดึงแผ่นที่สองออกมาอ่าน “เขียนไม่สนุกเหมือนตอนที่เขียนเรื่องเก่าลงในนิตยสาร เสียดายเงินที่ซื้อมาก ที่สำนักพิมพ์มีนโยบายคืนเงินมั้ย”
กัลป์ฟังแล้วก็ใจแป้ว ไม่อยากจะยอมรับเท่าไหร่แต่ในเมื่อมีหลักฐานมายืนยันตรงหน้าก็เลี่ยงไม่ได้จนต้องยกมือเป็นเชิงบอกให้ฟุรุคาวะที่ทำท่าจะอ่านแบบสอบถามแผ่นต่อไปให้หยุดทันที
“อย่างที่บอกแหละครับว่านิยายแนวไลท์โนเวลเนี่ย จะเป็นแนวแฟนตาซีหรือจะแนวโรงเรียน ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายของเราคือผู้ชาย ดังนั้นเราจะให้ตัวละครมีแต่ผู้ชายแล้วต่อยคีกันทั้งเรื่องไม่ได้ มันขายไม่ออก นั่นเลยเป็นเหตุผลว่าทำไมนิยายบางเรื่องถึงต้องเขียนเป็นแนวฮาเร็ม มีตัวละครหญิงเยอะๆ มันตอบสนองความต้องการของคนอ่านน่ะครับ ผมว่าผมบอกอาจารย์ไปแล้วนะเรื่องนี้ บอกตั้งแต่ตอนที่เราคุยเรื่องพล็อตกันใหม่ๆ แล้ว ส่วนเรื่องพล็อตของอาจารย์ พูดตรงๆ เลย ผมว่าพล็อตดี เนื้อหาน่าอ่าน แต่มันยังไม่พอ สิ่งที่เราต้องการก็คือนิยายที่ขายได้ นิยายสนุกมันไม่เท่าไหร่ ขายได้คือนโยบายของทางเรา”
“เข้าใจแล้วครับ พอเถอะ” ในที่สุด กัลป์ก็ต้องปริปากพูด เขาไม่อยากจะฟังความจริงอันโหดร้ายเท่าไหร่นักว่าเหล่าสำนักพิมพ์เองก็ต้องการความอยู่รอด สำนักพิมพ์ไม่สนใจหรอกว่านิยายที่เขาเขียนจะสนุกหรือไม่ สนแค่ว่าขายได้หรือไม่ได้เท่านั้น
และนั่นคือสัจธรรมที่นักเขียนอย่างเขาต้องยอมรับว่ามันไม่ได้สวยหรูอย่างที่ฝันไว้ก่อนได้เป็นนักเขียนเต็มตัว
ฟุรุคาวะเห็นท่าทางเหนื่อยล้าของหนุ่มรุ่นน้องแล้วก็ลอบถอนหายใจ เขารู้ว่ากัลป์เป็นนักเขียนหน้าใหม่ไฟแรงที่มีความมุ่งมั่นและตั้งใจสูง ขนาดเขาเองยังหวังเลยว่านิยายของกัลป์จะสร้างชื่อเสียงให้กับชายหนุ่มและสำนักพิมพ์ได้ เพราะเขาเองก็จะได้หน้าในฐานะผู้ดูแลต้นฉบับด้วย น่าเสียดายนักที่นิยายของกัลป์อุตส่าห์ได้รับความนิยมอย่างล้นหลามจากการลงนิตยสารรายสัปดาห์มาแล้วแท้ๆ แต่พอตัดสินใจให้ออกเป็นเล่มดันล้มเหลวเสียอย่างนั้น ถึงจะไม่อยากดับฝันชายหนุ่มชาวไทยคนนี้สักเท่าไหร่ แต่เขาเองก็จำเป็นต้องทำเพราะทางผู้ใหญ่สั่งมา ไม่อย่างนั้นเขานี่แหละที่จะเดือดร้อนโทษฐานทำสำนักพิมพ์ขาดทุน
“อาจารย์มีอะไรอยากคุยอีกมั้ยครับ” พอไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อ ฟุรุคาวะก็เลยถามอย่างนั้น
กัลป์เงยหน้าขึ้นสบดวงตาเรียวเล็กใต้เลนส์แว่นครู่หนึ่ง ก่อนจะขยับริมฝีปากเล็กน้อย
“นิยายผมถูกตัดจบที่เล่ม 3 หมายความว่าหลังจากนี้ ผมจะไม่ได้ออกนิยายอีกแล้วใช่มั้ยครับ”
ฟุรุคาวะลำบากใจที่จะตอบ แต่ก็จำต้องพยักหน้ารับ
คำตอบของคนตรงหน้าทำให้คนมองใจฝ่อหนักกว่าเดิม มือทั้งสองข้างเผลอกำแน่น ความผิดหวังประดังประเดเข้ามาพร้อมกับคำถามว่าที่เขาพยายามมาทั้งหมดจนกว่าจะถึงจุดนี้มันเพื่ออะไร ทั้งที่เขาก็รู้อยู่แล้วล่ะว่าการเป็นนักเขียนมืออาชีพในเมืองที่มีการแข่งขันสูงอย่างญี่ปุ่นมันยาก แต่เขาบอกได้เลยว่าการเป็นนักเขียนมืออาชีพให้ได้ตลอดรอดฝั่งนี่มันยากกว่า
แต่คนอย่างเขาไม่ใช่พวกที่จะมาตายกลางทางอย่างนี้แน่ เขาไม่มีทางที่จะทิ้งฝันในการเป็นนักเขียนที่มีชื่อเสียง วิชาความรู้ด้านภาษาญี่ปุ่นที่กัดฟันทนร่ำเรียนมาหลายปี เขาก็จะไม่ยอมทิ้งไปเหมือนกัน และนั่นทำให้เขาสบตาฟุรุคาวะอีกครั้ง
“ถ้าออกเล่ม 3 แล้ว แต่ผมอยากจะมีผลงานออกต่อ ผมต้องทำยังไง”
ฟุรุคาวะลำบากใจกว่าเดิม ส่วนใหญ่นักเขียนที่ไม่ประสบความสำเร็จกับยอดขายที่ทางสำนักพิมพ์คาดหวัง หลังจากถูกพักงานแล้วก็มักจะโดนพักยาว โอกาสที่จะเอาของนักเขียนคนนั้นกลับมาพิมพ์อีกค่อนข้างเป็นเรื่องยากเพราะสำนักพิมพ์ไม่อยากเสี่ยงด้วยเท่าไหร่
หากแต่เห็นดวงตากลมเป็นประกายอย่างมีความหวังของกัลป์แล้ว เขาก็ครุ่นคิดไม่ตกว่าจะช่วยนักเขียนคนนี้ได้อย่างไร พลันก็นึกขึ้นมาได้ว่าเขาเพิ่งจะได้รับไหว้วานมาให้ช่วยหานักเขียนอยู่พอดี... ไม่ใช่ได้รับไหว้วานให้หานักเขียนธรรมดาเสียด้วย แต่เป็นนักเขียนที่สามารถทำได้ทั้งงานเขียนและการเป็นไอดอล
ที่ทางสำนักพิมพ์มีนโยบายปั้นนักเขียนประเภทนี้ก็เพื่อกระตุ้นยอดขายนี่แหละ
เท่านั้นก็ปรายตาสำรวจใบหน้าและรูปร่างของกัลป์ไปด้วย
ใบหน้าหวานเหมือนผู้หญิง ผมยาวระต้นคอยิ่งทำให้ดูเหมือนผู้หญิงเข้าไปใหญ่ แต่ร่างกายไม่ใช่ ทุกส่วนดูสมเป็นผู้ชาย มีกล้ามเนื้อแน่นดี กะจะสายตาคร่าวๆ คงสูงราว 175 เซนติเมตร ชอบแต่งตัวสไตล์หนุ่มร็อค ออกแนวแบดบอยนิดๆ มีรอยสักที่ต้นแขนด้วย... ช่วงนี้พวกสาวฟุโจชิ[ ฟุโจชิ เป็นคำศัพท์ภาษาญี่ปุ่น มีความหมายว่า เด็กสาวที่มีความสนใจและมีความชอบในนิยายหรือการ์ตูนที่มีเนื้อหาความรักระหว่างเด็กผู้ชายด้วยกัน แต่ถ้าในกรณีเป็นผู้ชายที่ชอบอ่านเรื่องราวความรักระหว่างเด็กผู้ชายด้วยกัน จะถูกเรียกว่า ฟุดันชิ]ก็ชอบผู้ชายแบดๆ แต่หน้าสวยอยู่เหมือนกัน อืม น่าจะขายได้ไม่ยาก
“ว่าไงครับ มีทางมั้ย” พอถูกมองนานเข้าแต่ไม่มีเสียงพูดคุยใดๆ สักที กัลป์ก็ถามขึ้นมาอีก
ฟุรุคาวะขยับท่าทางให้เข้าที่ก่อนจะพูดขึ้น
“สำหรับแนวไลท์โนเวล อาจารย์คงต้องพักยาวนะครับ แต่สำหรับแนวอื่น ก็พอมีทางอยู่ถ้าอาจารย์อยากจะมีผลงานออก แต่มีเงื่อนไขอยู่ข้อนึงคือ อาจารย์ต้องเป็นนักเขียนไอดอลนะ”
กัลป์ย่นคิ้วไปเล็กน้อย ใจจริงเขาไม่อยากจะเป็นนักหรอกนักเขียนไอดอลที่งานเขียนดังขึ้นมาเพราะหน้าตาเป็นหลักเนี่ย แต่พอฟุรุคาวะพูดขึ้นมาอีก เขาก็ตัดสินใจราวกับไม่มีทางเลือก
“ถ้าอาจารย์ไม่เอา ผมก็ต้องขอโทษด้วยนะครับ”
“แล้วงานเขียนที่ว่านี่แนวอะไรเหรอครับ”
พูดมาอย่างนี้ คนฟังก็รู้เลยว่ากัลป์ตอบรับแล้ว เขาก็เลยแสยะยิ้มก่อนจะปริปาก
“แนวบอยเลิฟ อาจารย์รู้จักมั้ยครับ”
กัลป์ย่นคิ้วหนักกว่าเดิม ไม่ใช่ไม่รู้จัก รู้จักดีเลยล่ะเพราะเคยเห็นเพื่อนผู้หญิงในคณะกรี๊ดกร๊าดกันบ่อยๆ สมัยเขายังเรียนมหา’ลัยอยู่
แต่เดี๋ยวนะ... นั่นมันนิยายชายรักชายไม่ใช่เหรอ จะให้เขาย้ายแนวจากไลท์โนเวลไปเขียนบอยเลิฟอย่างนั้นน่ะนะ! หนำซ้ำยังจะให้เขาเป็นนักเขียนไอดอลอีก ตลกเกินไปแล้ว มีหวังได้ถูกตราหน้าว่าเป็นเกย์แน่!
“เอ่อ... คือผมว่ามันไม่เหมาะกับผมมั้งครับ” กัลป์ตอบพลางทำหน้ากระอักกระอ่วนไปด้วย
ฟุรุคาวะกะอยู่แล้วว่าจะต้องได้คำตอบแบบนี้ เขาก็รู้อยู่ว่ากัลป์น่ะ ถึงจะหน้าหวานราวกับผู้หญิงสักแค่ไหน แต่ยังไงก็เป็นผู้ชายเต็มร้อย ดูจากงานเขียนแนวแฟนตาซีที่สู้กันเลือดสาดก็รู้แล้ว
“ถ้าอาจารย์ไม่สนใจ ผมก็คงช่วยอะไรไม่ได้นะครับ อย่างที่บอกว่านักเขียนที่โดนพักงานไปเนี่ย ทางสำนักพิมพ์มักจะไม่กล้าเอางานใหม่ๆ มาเสี่ยงสักเท่าไหร่ นอกจากจะเปลี่ยนนามปากกาแล้วย้ายไปเขียนแนวอื่นแทน”
“อันนั้นผมเข้าใจ แต่แนวบอยเลิฟนี่มันก็...” กัลป์ทำท่าลำบากใจ
หากแต่ฟุรุคาวะฟังไม่ทันจบก็ดึงลิ้นชัก คว้านามบัตรของใครบางคนออกมาวางบนโต๊ะแล้วเลื่อนไปตรงหน้าอีกฝ่าย
“ผมรู้ว่าอาจารย์ลำบากใจนะครับ แต่จะทำหรือไม่ทำก็อยู่ที่การตัดสินใจของอาจารย์เอง เลือกเอาแล้วกันครับ ถ้าทำก็มีงานออก ออกง่ายกว่านักเขียนโนเนมคนอื่นๆ ด้วยเพราะอาจารย์มีเส้นสายอยู่แล้วซึ่งก็คือผม ผมจะช่วยดันอาจารย์เอง แต่ถ้าอาจารย์ไม่ทำ ก็ไม่มีงานออก และต้องรอจนกว่าสำนักพิมพ์จะยอมเอางานใหม่ของอาจารย์ไปพิมพ์อีกครั้ง ซึ่งก็แน่ล่ะว่าไม่มีอะไรรับประกันว่าจะได้พิมพ์มั้ย อาจจะถูกดอง” ว่าพลางเหลือบไปมองยังลังกระดาษที่บรรจุต้นฉบับกองพะเนินข้างๆ โต๊ะประกอบไปด้วย
กัลป์มองแล้วก็หวั่นใจ เขาเองก็ไม่อยากให้ต้นฉบับของตัวเองเป็นหนึ่งในกองดองนั่นหรอก ก่อนจะหันกลับมามองคนตรงหน้าอีกครั้งเมื่อถูกเรียกความสนใจ
“ตัดสินใจแล้วกันครับ ถ้าสนใจก็โทรไปที่นี่ ผมจะส่งต่ออาจารย์ให้ บ.ก.คุรุกิเอง”
กัลป์จำใจรับนามบัตรนั้นไป ถอนหายใจส่งท้ายก่อนจะลุกขึ้น
“ขอบคุณมากครับ ผมขอตัดสินใจก่อนแล้วกัน”
“ตามสบายครับ มีอะไรให้ช่วยก็บอกได้เลย ไม่ต้องเกรงใจ”
ร่างสูงก้าวออกมายืนอยู่หน้าสำนักพิมพ์ ในหัวตีกันวุ่นไปหมดว่าควรตัดสินใจอย่างไรดี ไม่ใช่ว่าเขาเกลียดเพศทางเลือกหรือเหยียดเพศหรอกนะ เขาค่อนข้างจะเปิดใจกว่าคนญี่ปุ่นทั่วไปที่นี่ด้วยซ้ำ แต่จะให้ผู้ชายแท้ๆ อย่างเขาไปเขียนนิยายความรักระหว่างผู้ชายกับผู้ชายอย่างนั้น มันก็ไม่ใช่เรื่อง เขาถนัดงานเขียนแนวแฟนตาซีต่างหาก
“นี่มันบ้า...”
มือที่ถือนามบัตรอยู่ขยำกระดาษแผ่นเล็กอย่างไม่ไยดี หัวเสียสุดกำลังราวกับเมื่อครู่ถูกดูถูกทักษะการเขียนอย่างไรก็ไม่รู้ โดยเฉพาะเรื่องที่ฟุรุคาวะบอกให้เขาเป็นนักเขียนไอดอล ซึ่งมันเป็นงานขายหน้าตาและไม่ได้เกี่ยวอะไรกับงานเขียนเลย งานเขียนที่ขายได้ของพวกนักเขียนไอดอลพวกนี้ ล้วนเป็นผลพวงจากการที่มีแฟนคลับมาชื่นชอบหน้าตาทั้งนั้น
หากแต่พอตั้งท่าจะปากระดาษนั่นทิ้งลงถังขยะใกล้ๆ เขาก็ต้องชะงัก ยืนคิดทบทวนอีกทีว่าเขาเป็นนักเขียนเพื่ออะไรกันแน่
แน่นอนล่ะว่าไม่ใช่เพื่ออุดมการณ์ แรกๆ ก่อนเป็นนักเขียนมืออาชีพอาจจะใช่ แต่พอเข้ามาในวงการ ได้เห็นความเป็นไปและกลไกต่างๆ แล้ว เขาถึงได้รู้ว่าถ้ารักจะยึดอาชีพนักเขียนในการเลี้ยงชีพ ต้องคำนึงว่าอุดมการณ์มันไม่ได้ทำให้ท้องอิ่ม ไม่ได้ทำให้มีชื่อเสียง แล้วก็ไม่ได้ทำให้ประสบผลสำเร็จด้วย
แต่เขาอยากเป็นนักเขียนที่ประสบผลสำเร็จ มีชื่อเสียง และมีเงินทองนี่นา ถึงจะไม่ได้ประสบผลสำเร็จจากนิยายแนวที่ตัวเองถนัดก็เถอะ แต่ถ้าดังเมื่อไหร่แล้วค่อยวกกลับไปเขียนแนวที่ตัวเองชอบอีกครั้งก็ยังไม่สาย เผลอๆ ชื่อเสียงจากนิยายแนวอื่นที่เขียนมาก่อนจะช่วยให้งานเขียนใหม่ของเขาประสบความสำเร็จด้วยก็ได้ มันเป็นเรื่องของฐานแฟนคลับ เรื่องนี้เขารู้ดี
เคยได้ยินว่าพวกสาวฟุโจชิมีกำลังซื้อเยอะนี่นา ดูท่าจะขายได้ไม่ยาก ขายหน้าตาแล้วก็ค่อยไปขายงานเขียนแล้วกัน ไม่เสียหายหรอก
คิดแล้ว ทิฐิที่ก่อตัวสูงในตอนแรกก็มลายหายไปราวกับไม่เคยมีมาก่อน ก่อนเขาจะคลี่นามบัตรยับยู่ออก มือหนึ่งก็คว้าโทรศัพท์ขึ้นมา กดเบอร์ตามหมายเลขที่ปรากฏบนแผ่นกระดาษอย่างไม่รอช้า อึดใจเดียว ปลายสายก็มีเสียงตอบรับ
ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายของกัลป์เต้นระทึก ก่อนจะควบคุมสติ บังคับริมฝีปากตัวเองให้ขยับออกไป
“สวัสดีครับ บ.ก.คุรุกิ ผมกัลป์ครับ บ.ก.ฟุรุคาวะแนะนำมาว่าให้ลองโทรหาคุณ”
ปลายสายร้องอ๋อ ตามมาด้วยน้ำเสียงดีใจอย่างปกปิดไม่มิด
[ผมกำลังรออาจารย์โทรมาอยู่พอดีเลย ฟุรุคาวะเพิ่งโทรมาบอกผมเมื่อกี้ ไม่ทราบว่าตอนนี้ออกจากสำนักพิมพ์ไปหรือยังครับ]
“ผมอยู่ข้างหน้าครับ เดี๋ยวเดินเข้าไป”
[ดีเลยครับ งั้นกลับเข้ามาเลย มาคุยรายละเอียดกันหน่อย]
กัลป์ตอบรับ วางสายแล้วหมุนตัวหันไปมองอาคารสูงตระหง่านอีกครั้ง พ่นลมหายใจเต็มแรง ก่อนจะก้าวเข้าไปข้างใน ในหัวก็คิดติดตลกไปด้วยว่าตอนเขาก้าวออกมาเมื่อครู่ มันคือการสิ้นสุดการเป็นนักเขียนนิยายไลท์โนเวล แต่ตอนกลับเข้าไป มันคือการเริ่มต้นการเป็นนักเขียนนิยายบอยเลิฟ
เอาวะ ลองดูสักตั้ง ถือว่าเป็นประสบการณ์แล้วกัน ไม่เวิร์คก็ออกแค่นั้น ไม่เป็นไร... มันไม่เป็นไร
