
บทย่อ
“นับแต่ยามนี้ ชีวิตเจ้า ร่างกายเจ้า หรือแม้กระทั่งดวงใจของเจ้า ชาตินี้ก็นับเป็นของข้า!! เงื่อนไขนี้เป็นจริงตั้งแต่เจ้าก้าวเข้ามาในวังอ๋องแห่งนี้ เจ้ายอมรับหรือไม่"... "หม่อมฉันยอมรับเพคะท่านอ๋อง"
บทนำ
ณ ดินแดนติดขอบชายแดนของอาณาจักรหลิวปัง กล่าวถึงหนึ่งในเมืองแถบนี้ เมืองหูมู่
เมืองหูมู่ ตั้งอยู่ในดินแดนที่เรียกได้ว่าไกลโพ้นหากนับระยะทางจากเมืองจื้อจง เมืองหลวงของอาณาจักรหลิวปัง อาณาจักรที่ทั้งยิ่งใหญ่เกรียงไกรและเจริญรุ่งเรืองฉะนั้นเมืองแห่งนี้แม้อยู่ห่างไกลทว่าก็เจริญมิน้อยหากชายตาแลมองเปรียบเทียบดินแดนข้างเคียง
หรืออาจเป็นเพราะว่าผู้ปกครองของเมืองแห่งนี้
เหลียงซือห้าว โอรสคนที่สามของฮ่องเต้คนปัจจุบันผู้ได้รับพระราชทานตำแหน่งเป็นถึงจวิ๋นอ๋องเพราะเคยทำผลงานชนะการสงครามร่วมกับโอรสร่วมสายโลหิต
ทว่า....ด้วยนิสัยไร้ระเบียบวินัย วาจาร้ายกาจ ทั้งสามหาวมิเกรงศีรษะใคร ผนวกกับชื่อเสียงเสียหายเรื่องความเสเพลมากสตรีจึงทำให้ฮ่องเต้ผู้เป็นบิดามิสามารถทนความเหลวแหลกเหล่านี้ไหวจึงส่งตัวโอรสของอดีตสนมคนโปรดมาดัดนิสัยยังเมืองห่างไกลเมืองหลวงเช่นนี้
เวลานี้ ณ วังอ๋องสามผู้ฉาวโฉ่
“นับตั้งแต่ยามนี้ ชีวิตเจ้า เลือดเนื้อ ร่างกายเจ้า สองมือคู่นี้ ใบหน้าหรือแม้กระทั่งเส้นผมของเจ้า ทั้งหมดล้วนเป็นของข้า ไม่เว้นแม้กระทั่งดวงใจของเจ้า ชาตินี้ก็นับเป็นของข้า!!
เงื่อนไขนี้จักเป็นจริงหลังจากเจ้าก้าวเข้ามาในวังอ๋องแห่งนี้ เจ้ายอมรับหรือไม่”
วาจาเฉื่อยชาติดเกียจคร้านดังลอดออกมาจากริมฝีปากบางสีชมพูอันเป็นริมฝีปากที่สตรีในใต้หล้าหลายคนเฝ้าฝันอยากสัมผัสมันด้วยริมฝีปากของตนเองสักหนหนึ่งจึงถือว่าตายตาหลับ
ดวงตาสีดำสนิทหรี่ลงขณะจับจ้องร่างสตรีสูงโปร่งส่วนสูงของนางผู้นี้ถือว่ามากกว่าสตรีในห้องหอทั่วไปเล็กน้อย เช่นเดียวกับส่วนที่ควรนูนออกมาของสตรีก็มีมากกว่าสตรีทั่วไปเช่นเดียวกัน....แม้นางกำลังคุกเข่าก้มใบหน้าลงเพื่อคำนับและสวมใส่ชุดเรียบง่ายสีแดงเข้มปิดมิดเกือบถึงคอก็มิอาจลอดพ้นสายตาที่เคยผ่านสตรีมาอย่างโชกโชนของท่านอ๋องได้
“หม่อมฉันยอมรับเพคะท่านอ๋อง ชีวิตนี้ของหม่อมฉัน ขอสัญญาว่าจะถวายทุกสิ่งทุกอย่างที่เหลืออยู่เพื่อแทนคุณท่านอ๋องจวบจนชีวิตหม่อมฉันจะหาไม่”
“เจ้าแน่ใจรึ”
“หม่อมฉันแน่ใจเพคะ”
“หึ เช่นนั้นบัดนี้เป็นต้นไป เจ้าถือเป็นคนของข้า อ๋องซือห้าวผู้นี้!”
“ขอบพระคุณสำหรับพระเมตตาของท่านอ๋องเพคะ หม่อมฉันจะมิทำให้พระองค์ผิดหวัง ข้าวทุกเม็ดของท่านอ๋องจะมิเสียเปล่าเด็ดขาด หม่อมฉันหยางซีผิงขอให้คำมั่น”
สตรีในชุดเรียบง่ายขานรับน้ำเสียงเด็ดเดี่ยว บวกกับอาภรณ์ที่เชยยิ่งกว่าคนอายุมากในวังแห่งนี้ที่นางสวมใส่ ใบหน้าไร้การแต่งแต้มหากมิมีส่วนเว้าส่วนโค้งนูนอวดสายตาออกมาโจวเฟิงลูกน้องคนสนิทของนายแห่งจวนนี้คงนึกว่าสตรีผู้นี้คือบุรุษ
เกิดเป็นหญิงมีสภาพเช่นนี้ถือว่าเสียชาติเกิดยิ่งนัก
เมื่อเห็นว่าท่านอ๋องละสายตาหันไปสนใจสิ่งอื่นเรียบร้อยหลังจากตอบตกลงคำร้องขอของสตรีผู้นี้ โจวเฟิงจึงรีบส่งสัญญาณให้บ่าวสาวใช้ที่ยืนอยู่แถวนี้พาตัวนางออกให้ห่างจากสายตาท่านอ๋องผู้ชื่นชอบชายตามองของสวย ๆ งาม ๆของพวกเขา
หลังจากบ่าวพาคนออกไป โจวเฟิงที่ยืนเฝ้ามองเหตุการณ์เมื่อสักครู่อย่างเงียบเฉียบทว่าในสมองของเขาประมวลผลเรื่องราวต่าง ๆอย่างรวดเร็ว “ไยท่านอ๋องจึงรับนางเข้ามาในวังอีก ได้โปรดระงับคำสั่งไว้ก่อนดีหรือไม่พะย่ะค่ะ ให้กระหม่อมส่งคนไปตรวจสอบพื้นเพเบื้องหลังของนางให้กระจ่างก่อนมิดีกว่าหรือ หากนางเป็นพวก....”
“มิต้อง!” ดวงตาคมกริบแลมองลูกน้อง “ข้าสั่งสิ่งใดต้องให้เจ้ามาตั้งข้อสงสัยแล้วหรือ....ข้าหรือเจ้าที่เป็นนาย โจวเฟิง”
“แหม ย่อมเป็นท่านอ๋องผู้งดงามและฉลาดล้ำเลิศมิมีใครเกิน”
น้ำเสียงเย็นเยียบชวนให้ขนลุกชันเมื่อสักครู่นั้นดูมิใช่คนเดียวกับที่กำลังนั่งเท้าคางอยู่ตรงนี้ แม้เป็นคำขู่สั้น ๆ ทว่าพอมันดังออกมาจากปากของเหลียงซือห้าวกลับดูน่ากลัวเกรงอย่างยิ่ง
อย่างน้อยก็ทำให้โจวเฟิงรีบหุบปากบนและปากล่างเข้าหากันอย่างรวดเร็ว
เงียบไว้ อย่าริได้สร้างความขุ่นเคืองแก่ท่านอ๋องร้อยล้านอารมณ์ผู้นี้
“ท่านหยางซีผิง ชุดใส่ได้หรือไม่ หากชุดคับแน่นหรือหลวมจนเกินไป ท่านบอกข้าได้นะอย่าได้เกรงใจข้า”
“จะกล่าวว่าใส่ได้ก็มิผิด ทว่า...”
หยางซีผิง สตรีผู้เป็นสมาชิกคนใหม่แห่งวังอ๋อง พอนางเดินเข้ามาในสถานที่แห่งนี้กลับพบความจริงที่ว่า นางคือสตรีผู้ไม่มีสิ่งใดเข้ากับวังแห่งนี้ได้เลย
ทั้งการแต่งตัวที่มิต่างจากบุรุษ หน้าตารึก็มิได้แต่งแต้มด้วยแป้งหรือชาดเฉกเช่นสตรีรักสวยรักงามทั่วไป เนื้อตัวออกจะมอมแมม ดูรวม ๆแล้วช่างดูจืดชืดยิ่งนักหากเปรียบเทียบกับสตรีในวังอ๋องแห่งนี้
เช่นนั้นนี่จึงคือสาเหตุให้สตรีผู้นี้ต้องถึงมือของท่านหัวหน้าสาวใช้ผู้ซึ่งมีอายุย่างเข้าวัยยี่สิบหนาว ผู้รู้ดีว่าตนเองควรจัดการกับสตรีที่ท่านอ๋องรับเข้ามาในวังผู้นี้อย่างไรดี
นางจัดการอาบน้ำแช่น้ำหอมดอกไม้ ขัดสีฉวีวรรณทุกซอกทุกมุม และวางแผนบทเรียนเกี่ยวกับการปฏิบัติตัวในฐานะสตรีขององค์ชายไว้ในหัว ในภายภาคหน้าหากนางไปที่ใดจะต้องไม่ทำให้ขายหน้าชื่อวังที่พ่วงท้ายนามนาง
ส่วนทางด้านสตรีที่อยู่ด้านหลังฉาก หยางซีผิงยังไม่ทันได้สวมชุดด้วยซ้ำ มือบางหยิบชุดสามสี่ตัวขึ้นมาพลิกดู
ตัวแรกเป็นเอี๊ยมสีขาวบาง ๆ ตัวนี้นางมองออกว่าน่าจะเป็นชุดชั้นใน ทว่าพอหยิบชิ้นถัดมา และถัดมาอีกสามชิ้น หยางซีผิงมิรู้เลยว่านางควรสวมตัวไหนก่อนดี
ไยชุดของคนที่นี่จึงมีหลายชิ้นยิ่งนัก นางผู้เติบโตมาในสำนักสอนวิชาการต่อสู้ของบิดา ตั้งแต่เล็กจนโตนางก็สวมใส่เสื้อผ้าเรียบง่าย ยามปกติใช้เวลาเพียงเสี้ยวพริบตานางก็สามารถสวมชุดเสร็จ บางครั้งนางหยิบยืมชุดของศิษย์พี่ศิษย์น้องในสำนักมาใส่เสียด้วยซ้ำไป
