บทที่ 2
เรื่องของผมควรเริ่มต้นอย่างไรให้น่าสนใจ
ที่จริงก็ไม่มีอะไรที่น่าตื่นเต้น...จนกระทั่งผมได้รับอุบัติเหตุครั้งใหญ่ในชีวิต
และในช่วงเวลาแห่งความเป็นความตายทำให้ชีวิตของผมเปลี่ยนไปจากเดิม
เปลี่ยนไปมาก...จนน่าตกใจ
ใครล่ะจะคาดคิดว่าหลังจากอุบัติเหตุในครั้งนั้น จะทำให้คนที่ไม่มีอะไรเหมือนกันเลย และไม่ได้คิดอยากจะญาติดีกันสักเท่าไรต้องมาพานพบกัน
ยัง...เท่านั้นยังไม่พอ
ชะตาชีวิตได้ชักพาให้เราทั้งสองคนต้องกลายมาเป็น “คู่หูจำเป็น” ในสภาพ ‘หนึ่งคนหนึ่งผี’ หรือจะเรียกวิญญาณเร่ร่อนก็คงจะไม่ผิดนัก
ฉิบหายละ! อยู่ดี ๆ ผีก็วานให้คนช่วย งานนี้ต้องวายป่วงแน่
นี่เป็นความบังเอิญหรือเป็นความตั้งใจของโชคชะตา ที่ทำให้ผมต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ ถ้าเป็นโชคชะตาล่ะก็ต้องเป็นโชคชะตาที่เลวร้ายมากเลย
“คนเจ็บไปโดนอะไรมาคะ!”
“อุบัติเหตุรถบัสชนประสานงากับรถพ่วงสิบแปดล้อครับ”
เจ้าหน้าที่กู้ภัยที่นำตัวคนเจ็บมาส่งที่โรงพยาบาลแจ้งอาการกับพยาบาลที่มายืนรุมล้อม
เธอตรวจสัญญาณชีพของคนเจ็บก่อนจะแจ้งหมอที่ทำการรักษาคนไข้อีกคน
“คุณหมอคะคนเจ็บไม่มีสัญญาณชีพค่ะ”
แพทย์รีบมาตรวจดูอาการของชายหนุ่มคนดังกล่าวด้วยความฉับไว
“เตรียมเครื่องกระตุ้นหัวใจ” หมอออกคำสั่ง
พยาบาลที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ในขณะนั้นได้จัดเตรียมเครื่องกระตุ้นไฟฟ้ามาให้ทันที
“ชาร์ตไฟไปที่ 150” นายแพทย์หนุ่มออกคำสั่ง
“150 ค่ะ”
“พร้อมนะ” นายแพทย์หนุ่มกระตุ้นหัวใจของคนเจ็บ แต่สัญญาณชีพของเขาก็ยังไม่กลับมาเป็นปกติ จึงต้องทำซ้ำอีกครั้ง หลังจากนั้นก็ใช้มือปั๊มหัวใจของเขาไม่หยุด นายแพทย์หนุ่มพยายามอยู่หลายครั้ง สุดท้ายความพยายามของเขาก็เป็นผลสำเร็จ หัวใจของผู้ที่ได้รับบาดเจ็บกลับมาเต้นอีกครั้ง ท่ามกลางความโล่งใจ
“ย้ายคนเจ็บไปที่ห้องผ่าตัดโดยด่วน” ภูวดลเอ่ยหลังจากตรวจดูอาการของคนเจ็บอย่างละเอียด
“ค่ะ”
คนเจ็บถูกส่งตัวไปยังห้องผ่าตัด วินาทีแห่งความเป็นความตายเกิดขึ้นอีกครั้งขณะที่แพทย์ทำการผ่าตัด จนต้องกระตุ้นหัวใจของคนเจ็บด้วยการใช้เครื่องช็อตไฟฟ้า ก่อนการผ่าตัดจะดำเนินต่อไป
หลังจากเสร็จสิ้นการผ่าตัดนายแพทย์ภูวดลได้ออกมาแจ้งกับญาติของคนไข้
“ใครเป็นญาติของคนเจ็บครับ”
“เราค่ะ ลูกชายของเราเป็นอย่างไรบ้างคะคุณหมอ”
“พ้นขีดอันตรายแล้วครับ การผ่าตัดผ่านไปได้ด้วยดีครับ แต่คนเจ็บยังไม่ได้สติ คงต้องรอให้รู้สึกตัวก่อนถึงจะตรวจอย่างละเอียดอีกครั้ง”
“ขอบคุณมากครับ/ค่ะคุณหมอ”
“หมอขอตัวก่อนนะครับ”
สองเดือนต่อมา...
“คุณคะทำไมลูกของเราถึงยังไม่ฟื้นอีกล่ะคะ นี่มันผ่านมานานสองเดือนแล้วนะคะ” กวินตาเอ่ยถามสามีที่ยืนอยู่ข้างตัว สีหน้าของเธอหม่นเศร้าและเฝ้ารอวันที่ลูกชายจะฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน เราทำได้เพียงแค่เฝ้ารอให้เขาฟื้น ผมรู้คุณทุกข์ใจที่ลูกนอนไม่รู้สึกตัวแบบนี้ ผมเองก็ไม่ต่างกัน แต่เราก็ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่ารอ” อัศวินดึงตัวภรรยาเข้ามากอด
“คุณไปทำงานเถอะค่ะ ถ้าช้ากว่านี้เดี๋ยวจะสาย ฉันจะอยู่เป็นเพื่อนลูกเอง”
“ผมไปนะ เลิกงานแล้วจะรีบกลับมา”
หลังจากสามีเดินจากไป กวินตาก็เดินมานั่งข้างเตียงของลูกชาย เธอลูบไล้ใบหน้าของลูกด้วยความรักใคร่ และกุมมือของลูกไว้
“เมื่อไรกรจะฟื้นขึ้นมาคุยกับแม่เสียที รู้ไหมว่าพ่อกับแม่ทุกข์ใจมากแค่ไหน ที่ต้องทนเห็นลูกนอนหลับใหลไม่ได้สติมานานสองเดือนแบบนี้”
ทันใดนั้นนิ้วมือของลูกเริ่มเคลื่อนไหวจนเธอรู้สึกได้ เธอรีบกดกริ่งเรียกพยาบาลเพื่อบอกว่าบุตรชายของเธอรู้สึกตัวแล้ว จากนั้นก็หันมาพูดกับลูกชาย
“กร นี่แม่เองนะ กรได้ยินเสียงแม่ไหมลูก”
กรกวินท์ค่อย ๆ ลืมตา เขาปรับสายตาอยู่พักใหญ่จึงมองเห็นใบหน้าของมารดาได้อย่างชัดเจน
“แม่ร้องไห้ทำไม”
“ก็ดีใจที่กรฟื้น หลังจากนอนเป็นเจ้าชายนิทรามาสองเดือน กรรู้ไหมว่าพ่อกับแม่เป็นห่วงกรมากแค่ไหน”
“เกิดอะไรขึ้นครับ” เขาเอ่ยถามพร้อมกับเช็ดน้ำตาให้มารดา
“กรจำไม่ได้เหรอลูก”
“จำได้ว่ามีรถพ่วงคันใหญ่ขับมาด้วยความเร็ว และข้ามเลนมาชนกับรถที่ผมนั่ง จากนั้นสติผมก็ดับวูบจำอะไรไม่ได้อีกเลย”
“ใช่แล้วลูก”
“ตอนนี้ผมอยู่ที่ไหน”
“พ่อกับแม่ย้ายกรมารักษาตัวที่กรุงเทพฯ” เธอบอกชื่อโรงพยาบาลเอกชนชื่อดังซึ่งตั้งอยู่แถวบ้าน
จังหะนั้นเองหมอและพยาบาลได้เดินเข้ามาในห้อง นายแพทย์หนุ่มทำการตรวจและสอบถามอาการของคนไข้ จากนั้นก็หันไปสั่งพยาบาลให้พาคนไข้ไปทำกายภาพบำบัดในวันพรุ่งนี้
หลังจากได้สติในวันนั้นผมต้องทำการฟื้นฟูร่างกายพร้อมไปกับการทำกายภาพบำบัด พ่อกับแม่บอกเล่าเรื่องราวอุบัติเหตุในครั้งนั้นให้ผมฟัง มีคนเสียชีวิตทันทีในที่เกิดเหตุหลายคน แต่ส่วนใหญ่จะได้รับบาดเจ็บสาหัส ผมเป็นหนึ่งในคนที่รอดชีวิต
“ผมอยากกลับบ้าน” กรกวินท์เอ่ยขึ้นหลังจากที่เขาเดินได้เกือบเป็นปกติ
“แต่หมอยังไม่อนุญาตเลยนะลูก”
“ผมหายดีแล้วครับแม่และเบื่อที่จะต้องนั่ง ๆ นอน ๆ อยู่ในโรงพยาบาลแบบนี้”
“พ่อจะคุยกับหมอเรื่องนี้เอง”
วันต่อมาผมได้ออกจากโรงพยาบาลมาพักฟื้นอยู่ที่บ้านตามต้องการ โดยมีแม่คอยอยู่ดูแล
“แม่ไม่ต้องไปดูแลร้านดอกไม้ของแม่เหรอครับ ทิ้งมานานระวังจะเจ๊งนะ”
“แม่อยากอยู่เป็นเพื่อนกร หรือว่ากรเบื่อหน้าแม่แล้ว”
กรกวินท์เดินเข้าไปกอดกวินตา “พูดอะไรแบบนั้นล่ะครับแม่ ใครจะกล้าเบื่อหน้าดาราสาวแสนสวยอย่างคุณกวินตาได้ล่ะครับจริงไหม”
พูดจบก็หอมแก้มเธอฟอดใหญ่ “ผมรักแม่นะครับ”
“แม่ก็รักกร ว่าแต่กรกำลังจะออกไปไหน”
“ว่าจะไปมหาลัยครับแม่ นัดกับเพื่อน ๆ เอาไว้ เย็นนี้พ่อกับแม่ไม่ต้องรอกินข้าวนะครับ ผมไปนะ”
“อย่ากลับให้มันดึกนักนะกร”
“ครับแม่”
ผมสวมหมวกกันน็อกก่อนจะขี่มอเตอร์ไซด์คันโปรดไปที่คณะ นั่งรออยู่พักใหญ่ก็เห็นเพื่อนรักเดินตรงมาหา
“มารอนานหรือยัง” ธนาธิปเอ่ยถาม
“เพิ่งมาถึง”
“ยินดีต้อนรับการกลับมานะเว้ย” พฤกษ์กล่าวด้วยสีหน้าทะเล้น
“เออ ขอบใจนะที่นายสองคนไปเยี่ยมฉันที่โรงพยาบาลเสมอ”
“ขอบใจทำไมวะ เรื่องจิ๊บ ๆ”
“แล้วนี่หายดีแล้วเหรอถึงได้ออกมาซ่าได้”
“หายแล้วเว้ย ขืนให้นอนนานกว่านี้ได้เป็นง่อยกันพอดี มีใครติดต่อรุ้งได้บ้างหรือเปล่า ฉันพยายามโทรหารุ้งหลายครั้งแต่ก็ติดต่อไม่ได้เลย สงสัยจะเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์”
ธนาธิปหันไปสบตาพฤกษ์เมื่อได้ยินคำถามนั้น
“มีอะไรหรือเปล่าวะ ทำไมทำท่าแปลก ๆ แบบนั้น”
