บท
ตั้งค่า

ตอนที่ 9 ภารกิจแรก กับปีศาจที่ถูกทอดทิ้ง Part 2

จ้อง..........

เด็กสาวอีกคนที่มีผมเป็นเถาวัลย์ก็หันมาสบตาผม สายตาเธอช่างเย็นชา...เย็นชาเกินไปแล้ว!!

“เราคือนางไม้...ไม่มีชื่อ...ไม่สามารถใช้ดาบได้...ไม่ใช่เผ่าอสูร”

“เอิ่ม..........”

ผมก็อยากจะพูดอะไรต่ออยู่เหมือนกัน แต่เธอก็มีท่าทีเหมือนกับไม่มีกะจิตกะใจที่จะตอบ

“เธอคนนี้ถูกปฏิเสธโดยเผ่าอสูรเจ้าค่ะ คนในเผ่าบอกว่าเธอไม่ใช่สัตว์ซะหน่อย พอบอกว่าไม่มีที่ไป ก็ถูกบอกให้ใช้ดาบ หากใช้ดาบได้จะให้เข้าเผ่า แต่เธอใช้ดาบไม่ได้ ก็เลยถูกทิ้งค่ะ”

หนึ่งในฝาแฝดบอกผมทำให้ผมรู้เรื่องคร่าวๆ แต่ครั้งนี้ฝาแฝดไม่พูดพร้อมกันแฮะ

“ใช้ดาบไม่ได้เหรอ? ผมของตรวจดูอะไรหน่อยแล้วกัน”

ผมใช้ [ประเมิน] ตรวจดูและเธอก็มีทักษะที่ผมสนใจเอามากๆ

“เรียบร้อย เธอคนนี้มีทักษะ [ธนู] ส่วนอีกทักษะคือ [ฟื้นฟู] ใช้ฟื้นพลังชีวิต และอีกทักษะหนึ่งก็คือ [เอนแชนท์] ใช้เพิ่มความสามารถของบุคคลได้”

“เอ๋!?”

สาวน้อยนางไม้มีแววตาที่ดีขึ้น ถึงแม้สีหน้าจะไม่เปลี่ยนเท่าไร แต่ผมก็คิดว่าเธอดีใจไม่น้อยเลย

“ท่านซาชิเจ้าคะ? ไม่เคยมีคนใดใช้ [เอนแชนท์] ในอาณาจักรเลย ท่านแน่ใจหรือเจ้าคะ?”

“แน่ใจสิ เธอคนนี้จะเป็นคนที่จำเป็นที่สุดของเราเลยนะ”

“นี่นางไม้คนนั่น เจ้าเกิดมาจากที่ไหนกันเจ้าคะ? ไม่ได้ใช้ลูกแก้วพยากรณ์ตรวจสอบทักษะหรือเจ้าคะ?”

“เราเกิดจากต้นไม้ในป่าทิศเหนือนอกด่าน แต่เดิมเราก็เป็นเพียงนางไม้ธรรมดา แต่พอมีสงครามเราก็ได้ดูดซับเลือดของเหล่าปีศาจ และได้รับคำสาปแช่งจากทหารมนุษย์ จนเมื่อหลายสัปดาห์ก่อน เราก็สร้างกายเนื้อและออกมาจากป่าเดิม เราก็เลยมาที่อาณาจักรแห่งความมืดนี้ ถึงจะเข้ามาได้ แต่ก็ไม่มีใครยอมรับเรา อาจเพราะมาจากนอกด่าน เลยไม่มีใครพาตรวจสอบทักษะที่ลูกแก้วพยากรณ์ แต่ตอนนี้ท่านบอกว่าเราเป็นคนที่จำเป็นที่สุด...เรา...ดีใจ...จัง”

นางไม้คนนี้พูดด้วยเสียงเบาลงในช่วงท้าย จนผมไม่ได้ยินคำสุดท้ายว่าเธอพูดว่าอะไร

“ต่อไปก็นาย ออร์คสินะ?”

“ใช่ ข้าเป็นออร์ค ออร์คที่ตัวเล็กยังไงละ”

แม้จะตัวเล็ก กลับมีโทนเสียงที่ใหญ่ดูหนักแน่น พูดด้วยท่าทางเหมือนอารมณ์ไม่ดี แต่ที่น่าสงสัยคือทำไมเขาถึงไม่ถูกยอมรับให้เข้าเผ่ากัน

“ถึงนายจะตัวเล็กกว่าออร์คทั่วไป แต่รูปร่างก็พอๆ กับผม ไม่เห็นจะมีปัญหาตรงไหน”

“ข้ามีปัญหาที่ข้าตัวเล็ก ข้าจึงถูกรังแก ข้าจึงถูกซ้อม และข้าจึงถูกเอาไปล่อมอนสเตอร์”

ถูกแกล้งมาสินะ ผมคิดว่าระดับการกลั่นแกล้งของมนุษย์กับปีศาจคงจะคนละระดับกันแน่ๆ เพราะสภาพของเขาแย่อย่างเห็นได้ชัด

“ไมนด์ เผ่าออร์คจะใช้วิธีสู้แบบไหนเหรอ?”

“เผ่าออร์คจะใช้รูปร่างใหญ่โตในการต่อสู้ เพราะมีกล้ามเนื้อและมีผิวหนังที่หนาทนทานต่อการโจมตี ส่วนใหญ่ใช้กระบองใหญ่ในการต่อสู้ เท่าที่ดูคงถูกตัดสินว่าตัวเล็กจนไม่สามารถใช้กระบองได้เจ้าค่ะ”

“เพราะเขาตัวเล็กจึงถือกระบองไม่ได้ รู้สึกว่าจะถูกรังแกจนเดินแทบไม่ได้เลยด้วยค่ะ”

ครั้งนี้ฝาแฝดอีกคนเป็นคนอธิบาย ผมจึงไม่รอช้าใช้ [ประเมิน] ตรวจสอบเขาดู

[สถานะผิดปกติ: บาดเจ็บระดับ 3]

[ผลพิเศษ: เคลื่อนไหวร่างกายไม่สะดวก]

[สถานะผิดปกติ: ชาระดับ 1]

[ผลพิเศษ: เคลื่อนไหวช้าลง ลดความเร็วในการฟื้นตัว]

ถูกรังแกอย่างหนักทำให้ติดสถานะบาดเจ็บแถมยังมีสถานะชาเข้าไปอีก จนร่างกายไม่สามารถฟื้นตัวเองได้ ผมจึงยื่นยาแก้พิษชาและโพชั่นให้ จากนั่นก็ตรวจสอบทักษะของเขาอีกหน่อย

“ท่านเอาอะไรมาให้ข้า?”

“ยารักษาไง ยารักษา ถ้าดื่มเข้าไปหมดก็น่าจะเดินได้ปกติแล้วละ”

“ยาแค่นี้นะเหรอ?”

“ใช่ แค่นี้ก็พอแล้ว พอดื่มหมดแล้วผมจะบอกอะไรดีๆ ให้”

ถึงจะสงสัย แต่ก็ดื่มจนหมด ถ้าให้ผมเดาเขาคงไม่อยากจะไว้ใจใครเท่าไร เพราะขนาดคนที่คิดว่าเป็นเผ่าเดียวกัน ยังทำถึงขนาดนั้น

“เขาเป็นอะไรหรือเจ้าคะ?”

“เขาบาดเจ็บแล้วก็ติดสถานะชา ร่างกายเลยไม่ฟื้นตัว ผมก็เลยเอายาแก้พิษชากับโพชั่นให้ไป ดื่มหมดก็คงหายแล้วละ”

“ข้าดื่มหมดแล้ว นี่ท่านเป็นนักปรุงยาหรือ? ข้าเห็นท่านให้ยากับฝาแฝดนั่นด้วย”

“ใช่ ผมเป็นนักปรุงยา เรื่องนั้นช่างเถอะ ผมมีอะไรจะบอกนาย”

หลังจากที่อาการบาดเจ็บทุเลาลง เขาก็มีท่าทีเชื่อฟังมากขึ้น ถึงจะไม่ร้องไห้เหมือนกับฝาแฝดก็เถอะ

“นายไม่มีทักษะ [กระบอง]”

“เรื่องนั้นท่านจะตอกย้ำข้าหรือ?”

“ไม่ใช่ ก็แค่จะบอกว่านายไม่มีทักษะ [กระบอง] ก็แค่นั้น แต่นายมีทักษะอื่น”

“ทักษะอื่น?”

“ใช่ นายมีทักษะ [โล่] กับ [ขวาน] ถ้าฝึกใช้ดีๆ ผมกล้าพูดได้เลยว่าจะไม่มีออร์คคนไหนจะมาแกล้งนายได้อีกเลย”

“ข้าแข็งแกร่งขึ้นได้สินะ!?”

“ใช่ นายแข็งแกร่งขึ้นได้”

ผมเริ่มสงสัยวิธีการคัดเลือกคนเข้าเผ่าของปีศาจแล้วสิ เพราะออร์คคนนี้มีทักษะที่ยอดเยี่ยมอย่าง [โล่] กับ [ขวาน] แต่กลับถูกกีดกันเพราะใช้กระบองไม่ได้ ไหนจะนักเวทสี่ธาตุของฝาแฝดแวมไพร์อีก จะว่ายึดติด หรือไม่ยืดหยุนดีละ

“และสุดท้าย สเกเลตันแนะนำตัวเองหน่อยสิ”

“กระผมเป็นสเกเลตันที่เนื้อตัวเป็นสีขาว ใช้ดาบกับโล่ไม่ได้ แถมร่างกายยังอ่อนแอ แค่ลมพัดก็ยืนไม่อยู่แล้วขอรับ”

“เอ๋ ตัวเป็นสีขาวแล้วมันต่างจากสเกเลตันคนอื่นตรงไหน?”

“เพราะพวกนั้นมีสีเทาไงละขอรับ”

“เอ่อ...อย่างงั้นเหรอ...” ถ้าให้พูดตรงๆ ผมแยกไม่ออกเลยสักนิด

“ไมนด์เผ่าอันเดดคัดเลือกคนเข้าเผ่าแบบไหนเหรอ?”

“เผ่าอันเดดไม่มีวิธีสู้ตายตัวเจ้าค่ะ เผ่าอันเดดจะแยกเป็นสองแบบใหญ่ๆ คือพวกซอมบี้ที่มีเนื้อหนังกับพวกสเกเลตันที่มีโครงกระดูดสีเทา เผ่าอันเดดปกติจะใช้ดาบกับโล่ แต่ก็มีข้อยกเว้นว่าหากมีทักษะการต่อสู้ที่แข็งแกร่งในแบบอื่นๆ แล้ว ก็สามารถยอมรับได้ แต่เดิมอันเดดที่มีพละกำลังมากก็เพราะมีเนื้อหนังอยู่ แต่สเกเลตันที่อยู่กับท่านนี้ไม่เหลือชิ้นเนื้อเลยด้วยซ้ำ กลับมีแต่กระดูกสีขาวจึงอ่อนแอกว่าคนอื่นเจ้าค่ะ”

“จะว่าไปแวมไพร์ก็เป็นอันเดดนี่น่า ทำไมถึงได้แยกออกมาเป็นเผ่าแวมไพร์ละ?”

“เพราะว่าแวมไพร์ไม่เน่าเปื่อยเจ้าค่ะ นอกจากร่างที่ไร้ชีวิตแล้ว ทุกอย่างก็เหมือนมนุษย์ และยังมีพละกำลังที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าอันเดดทั่วไป จึงได้แยกออกมาเป็นอีกหนึ่งเผ่า และอีกเหตุผลหนึ่งเพราะแวมไพร์มีระบบขุนนางในเผ่า จึงทำให้รวมเข้ากับอันเดดคนอื่นๆ ไม่ได้เจ้าค่ะ”

“ถ้างั้นผมจะลองตรวจดูว่าสเกเลตันคนนี้ทำอะไรได้บ้าง”

ผมเริ่มใช้ [ประเมิน] อีกครั้ง จนคิดว่าวันนี้ใช้บ่อยจังเลยนะ แต่ก็ช่างเถอะคนสุดท้ายแล้วนี่นา และสิ่งที่ได้เห็นก็คือ ทักษะ [มีด] ถ้าใช้ดีๆ คงจะเป็นนักฆ่าได้ไม่ยากเลย

“นายใช้มีดได้นะ ไม่ต้องมีโล่ ไม่ต้องใช้ดาบ แค่มีดก็พอ”

“จริงหรือขอรับ? แล้วกระผมจะเก่งขึ้นได้ไหมขอรับ?”

“ได้สิ ถ้านายฝึกด้วยความอดทน สักวันหนึ่งจะต้องเป็นนักฆ่าชื่อดังได้แน่”

“นักฆ่าหรือขอรับ?”

“ใช่ๆ คนที่ใช้วิธีลอบสังหารไง”

“เท่ไปเลยขอรับ!!!”

ผมยิ้มให้กับโครงกระดูกที่กระโดดโลดเต้นไปด้วยความดีใจ ผมจึงได้ตัดสินใจว่า...

“เอาเป็นว่า ผมขออนุญาตทำพิธีสร้างตราประทับวิญญาณให้กับทุกคน...จะดีไหม?”

คำพูดสั้นๆ ที่ทำให้ทั้งห้าคนมองมาด้วยความตกใจ

““ท่านจะทำพิธีสร้างตราประทับวิญญาณให้พวกเราหรือคะ?””

“ถ้าทำพิธีแล้ว ทุกคนก็จะมีชื่อใช่ไหมละ ผมก็จะได้สะดวกเวลาเรียกกันด้วย แต่ผมก็ไม่เก่งตั้งชื่อหรอก เอาเป็นว่าจะพยายามแล้วกัน”

“เริ่มจากฝาแฝดคู่นี้”

เพราะผมได้อ่านวิธีทำพิธีในหอสมุดมาบ้างแล้ว และวิธีทำก็แสนง่าย ผมจึงเริ่มทำพิธีโดยไม่ได้ฟังคำทันทานของใครเลย โดยการถ่ายเทพลังเวทของตัวเองไปยังร่างกายของคนๆ นั้น จับความรู้สึกที่คล้ายกับรูเล็กๆ กลางหัวใจ และถ่ายพลังเวทลงไป ณ จุดๆ นั้นเหมือนกับการไขกุญแจ และเมื่อพลังเวทถูกเติมเต็มจนกระทั่งล้นรูเล็กๆ นั่น รูเล็กๆ ก็จะถูกทำลายและก่อนที่รูเล็กๆ นั่นจะฟื้นคืนกลับมาให้ ก็จะสร้างตราประทับลงไปพร้อมทั้งสลักคำๆ นึงลงไปพร้อมๆ กัน และนั่นก็คือ...

“ผมจะขอตั้งชื่อว่าเรย์...”

“เดี๋ยวก่อนเจ้าคะท่านซาชิ!!!!”

เสียงของไมนด์ที่ส่งมาจากด้านหลัง จนผมหยุดที่จะเอ่ยชื่อของฝาแฝดอีกคนหนึ่ง ในช่วงเวลานั้น ผมก็ล้มลงก่อนที่จะรู้ตัวว่าเป็นอะไร

[-]

“เริ่มจากฝาแฝดคู่นี้ ผมจะขอตั้งชื่อว่าเรย์...”

“เดี๋ยวก่อนเจ้าคะท่านซาชิ!!!!”

ในสายตาของดิฉัน เป็นครั้งแรกที่เกิดเหตุการณ์ร้ายแรงกับผู้เป็นนายทั้งๆ ที่ดิฉันอยู่ใกล้เพียงนี้ หลังจากที่ท่านซาชิเอ่ยนามที่จะมอบให้กับฝาแฝดแวมไพร์ ท่านก็ล้มลงไปดั่งเช่นวิญญาณออกจากร่าง ดิฉันเข้าไปประคองท่านในทันที แต่สายตาของท่านซาชิกลับดูว่างเปล่า ดิฉันตะโกนเรียก “ท่านซาชิๆๆ” แต่กลับไม่ได้ยินเสียงตอบกลับมา และในช่วงเวลานั้นเอง มือของท่านซาชิก็ถูกยกขึ้นมา แสงสีดำที่ออกจากแหวนเปล่งกระกายเพียงคู่หนึ่งพอที่จะทำให้ดิฉันตกใจ มีขวดมานาโพชั่นหล่นลงพื้นหลายขวดในทันทีที่แสงสีดำนั้นหายไป แม้จะไม่เข้าใจว่าเกี่ยวข้องกันอย่างไร แต่ดิฉันก็ทำได้เพียงเท่านี้ จับขวดมานาโพชั่นขึ้นมา...

“ท่านซาชิ ดื่มเร็วเจ้าค่ะ!!!”

สายตาของเหล่าปีศาจที่รุมล้อม ทั้งฝาแฝดทั้งสองที่ไม่เข้าใจเหตุการณ์ที่เกินขึ้นดูกระวนกระวาย สาวนางไม้ก็ดูตกใจแม้จะทำหน้าเย็นชา อีกทั้งออร์คและสเกเลตันที่ยังพยายามทำความเข้าใจพร้อมกับมองไปทางอื่นเพื่อที่จะหาคนช่วยเหลือ แต่ทุกคนก็หยุดลงมองสิ่งที่ดิฉันกำลังทำ

ขวดแรกผ่านไปทำให้รู้สึกเหมือนไออุ่นที่มีของท่านซาชิกลับคืนมา จึงได้ยกขวดที่สองขึ้นป้อนท่านอีกครั้ง แม้น้ำตาจะซึมออกมาจากดวงตา ก็ยังหวังให้นายท่านหายดี และมืออุ่นๆ ของท่านซาชิก็จับมือของดิฉันไว้

“ขอโทษที...ทำให้เป็นห่วง...สินะ?”

“ท่านซาชิ-----”

“ผมไม่เป็นไร แค่อีกนิดเดียวก็จะตายซะแล้ว เพิ่งจะรู้ว่าการตั้งชื่อต้องเสียมานาเยอะขนาดนี้”

“ใช่สิเจ้าคะ!! ถ้าหากทำได้ง่ายขนาดนั้น ดิฉันคงจะตั้งชื่อให้พวกเขาไปแล้วล่ะเจ้าค่ะ!!”

“แหมๆ โทษทีๆ ไมนด์เวลาโมโหนี่น่ากลัวจัง”

“โถ๋ ท่านซาชิ จะทำอะไรก็คิดดีๆ ก่อนสิเจ้าคะ!!”

“เอ๋...”

“เพราะผู้ทำพิธีจะต้องส่งมานาเข้าไปในตัวของผู้ที่ถูกทำพิธี เพื่อปลดขีดจำกัดทางร่างกายจึงต้องใช้มานาปริมาณมาก ทำให้คนทั่วไปทำไม่ได้ จึงไม่มีคนที่สามารถตั้งชื่อให้คนอื่นได้ทั่วไปไงเจ้าคะ!!”

“อ๋อ...ขอบใจนะไมนด์ ที่อธิบายให้ฟัง”

ท่านซาชิก็มองมาด้วยรอยยิ้มที่ไม่รู้สึกผิดแม้แต่น้อย...โถ่

และไม่นาน ดิฉันถึงได้เข้าใจว่ารอยยิ้มที่ไม่รู้สึกผิดนั้นคืออะไร หลังจากนั้น ท่านซาชิได้เรียกมานาโพชั่นออกมาหลายขวด และเรียงไว้ตรงหน้า

““ท่านซาชิไม่เป็นไรนะคะ?””

“ผมไม่เป็นไรหรอก ผมจะเตรียมมานาโพชั่นไว้แล้ว ครั้งนี้ไม่พลาดแน่”

“ท่านซาชิ!! ท่านยังจะทำอีกหรือเจ้าคะ!?”

“ไม่เป็นไรหรอกไมนด์ มีไมนด์อยู่ทั้งคนนี่น่า”

“ท่านซาชิ...”

“เราเห็นท่านทรมานแบบนี้ เราใจคอไม่ดีเลย”

“ข้าว่าท่านฝืนตัวเองกับคนที่ท่านไม่รู้จักมากไปหน่อยหรือเปล่า?” ออร์คตนนั้นเอ่ยขึ้น

“ใช่ๆ แค่ท่านบอกเรื่องทักษะให้กระผมรู้ก็มากเกินพอแล้วนะขอรับ” สเกเลตันก็พูดขึ้นพลางเห็นด้วยกับออร์ค

“ท่านซาชิเจ้าคะ”

“ไมนด์ ทุกคน ไม่ต้องเป็นห่วงนะ ยังไงผมก็อยากจะทำพิธีให้กับทุกคน เพราะถ้าไม่มีชื่อให้คนอื่นได้จดจำ มันน่าเศร้านี่น่า”

ในเมื่อผู้เป็นนายได้ตัดสินใจ ดิฉันไม่สามารถทำสิ่งใดได้อีก อย่างน้อยดิฉันจะขอเป็นผู้ประคับประคองท่าน จนกว่าความตั้งใจของท่านจะสำเร็จเถอะค่ะ ดิฉันตั้งใจเช่นนั้น หลังจากนั้น ท่านซาชิจึงได้เอ่ยขึ้น...

“ผมขอตั้งชื่อให้ฝาแฝดคู่นี้ว่า ‘เรย์’ และ ‘ลูน่า’ ผู้ที่จะอยู่เคียงข้างกันและกันดังเช่นพระอาทิตย์และพระจันทร์”

หลังจากนั้น ท่าซาชิก็ดูเหมือนจะล้มลงอีกครั้ง ดิฉันได้เพียงแต่นั่งข้างๆท่านเพื่อพยุงไว้ไม่ให้ล้มลง และช่วยประคองมือเพื่อดื่มมานาโพชั่น

“ผม...ขอตั้งชื่อให้กับนางไม้คนนี้ว่า ‘อิโนริ’ แด่คำอธิษฐานของผู้อยู่เบื้องหลัง”

“ท่านซาชิเจ้าคะ”

เพราะว่ายังไม่ฟื้นตัว ท่านซาชิก็เอ่ยนามต่อไป ร่างกายเย็นเฉียบ มือสั่นสะท้าน เสียงหัวใจของดิฉันที่หากเป็นเวลาปกติแทบจะไม่ได้ยินเสียงกลับดังเช่นเสียงกลอง

“ผมขอตั้งชื่อให้ออร์คตัวเล็กคนนี้ว่า ‘กาเคะ’ ผู้ที่จะเป็นดั่งผาสูงที่กีดขวางศัตรู”

น้ำตาไหลเอ่อขึ้นมาจากดวงตาทั้งสองข้างทำให้มองเห็นไม่ถนัด เมื่อมองขึ้นไปก็พบกับฝาแฝดทั้งสองที่กอดคอร้องไห้ นางไม้ที่ยืนกำมือแน่เพื่ออดทนต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้าข้างๆ ออร์คตัวเล็กที่ยืนกัดฟันและมองกลับมาอย่างอดทน

“และสุดท้าย ผมขอตั้งชื่อให้กับสเกเลตันสีขาวคนนี้ว่า ‘ไวท์’ ผู้ที่มีสักวันหนึ่ง ชื่อของเขาจะเป็นที่หวาดกลัวในหมู่ของศัตรู”

[-]

ท่านซาชิ ทำไมกันคะ? ทำไมถึงทำเพื่อพวกเราที่เป็นแค่ปีศาจถูกทิ้งขนาดนี้?

ท่านจะเจ็บปวดซ้ำแล้วซ้ำเล่าไปเพื่อปีศาจอย่างพวกเราจริงๆ หรือคะ?

ท่านไม่ห่วงตัวเองบ้างหรือ? ขนาดเราเองยังห่วงชีวิตของตัวเอง แล้วท่านทำไมถึงได้?

ท่านเป็นแค่คนที่เพิ่งจะพบข้าเท่านั้น ท่านไม่มีความจำเป็นต้องเจ็บปวดเพื่อพวกข้าขนาดนี้

กระผมเป็นแค่โครงกระดูกอ่อนแอขอรับ แค่สิ่งที่ท่านบอกกระผมว่ากระผมสามารถแข็งแกร่งขึ้นได้ก็มากเกินพอแล้วขอรับ ทำไมท่านถึงต้องมาเจ็บปวดกับพวกกระผมที่เป็นได้แค่ทหารหางแถวที่ใช้ล่อกับดักด้วยล่ะขอรับ?

ท่านซาชิคะ/ขอรับ!!!

[-]

ผมทำพิธีพร้อมกับดื่มมานาโพชั่นไปด้วย ความรู้สึกปวดหัวและหมดแรงได้ทุเลาลงบ้างแล้ว แต่จำนวนโพชั่นที่ผมดื่มเข้าก็หลายขวดอยู่ ด้วยปริมาณขนาดนั้นน่าจะมีอาการแน่นท้องอยู่บ้าง แต่ผมกลับรู้สึกว่าสามารถดื่มได้เรื่อยๆ พอผมเริ่มฟื้นตัว ผมก็พยุงตัวเองขึ้นมานั่งตัวตรงโดยมีไมนด์ช่วยพยุงผมอยู่ข้างๆ ทั้งๆ ที่ร้องไห้อยู่ ผมหันไปหาทั้งห้าเพื่อจะสำรวจดูว่าพวกเขาถูกใจกับชื่อที่ผมตั้งให้หรือไม่ แต่สิ่งที่เห็นคือทุกคนนั่งคุกเข่าต่อหน้าผมจนทำให้ผมต้องลุกขึ้นด้วยความตกใจ

“เฮ้!? พวกนาย!! ทำอะไรกัน!? ลุกขึ้นเถอะ!”

“ไม่ได้หรอกค่ะ/ขอรับ”

“ปล่อยให้พวกเขาทำเถอะเจ้าค่ะ ท่านซาชิ ถ้าเป็นดิฉัน ดิฉันก็จะขอทำแบบเดียวกัน”

“““““พวกเราทั้งห้าจะมอบกายถวายชีวิตให้ท่านซาชิจนกว่าชีวิตจะหาไม่ พระคุณนี้พวกเราจะไม่มีวันลืม”””””

“เออ...คือว่า...!”

“ท่านซาชิเจ้าคะ ถึงตาท่านแล้วนะเจ้าคะ”

ถึงไมนด์จะบอกให้ผมตอบ แต่ผมก็ยังนึกไม่ออกว่าจะตอบว่าอะไร ไมนด์มองพวกเข้าด้วยตาที่แปดเปื้อนไปด้วยน้ำตา ผมเองยังไม่เข้าใจว่าน้ำตานั้นออกมาด้วยความรู้สึกแบบไหน อาจเป็นเพราะยินดีกับการเตรียมใจของทั้งห้าคน หรือเพราะพวกเขาได้ถูกปลดปล่อยจากพัฒนาการที่เรียกว่า “ไร้ค่า” อยู่ก็เป็นได้ ผมคงต้องคิดหาคำพูดดีๆ สักคำแล้วสิ

“ถ้าอย่างนั้น จากนี้ก็ขอฝากด้วยนะ ทุกคน”

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel