ep2
เสียงชบาขับรถออกไป มะลิลุกขึ้นแง้มหน้าต่างดูแล้วนิ่งมองจนรถยนต์คันเก่งของพี่สาวลับสายตาออกไป บ้านสวนของภูผายังคงเหมือนเดิม เขาบอกกับเธอว่าเขาอยากเป็นชาวสวน แม้จะจบปริญญาตรี เขาก็จะไม่ทิ้งสวนของเขา ภูผา วางแผนทุกอย่างในที่ดินมรดก เขาทำไร่นาสวนผสม มีผลหมากรากไม้นานาชนิด มีสระเลี้ยงปลา มีพืชสวนครัว มีแปลงสมุนไพร
“พอเพียงกับชีวิตแล้วนะ ถ้าเรามีครบทุกอย่าง จะเหลือก็แต่ความรักของเอ็ง ที่จะเข้ามาเติมเต็มในชีวิตพี่”
เมื่อคิดถึงความหลัง มะลิก็ถึงกับน้ำตาร่วง คำหวาน คำเยินยอของชายหนุ่มมันหลอกลวงทั้งนั้น รักนักรักหนา แต่สุดท้ายก็ทรยศ ถ้าเขามีหญิงอื่น เธออาจจะอภัยให้ได้ แต่นี่กลับเป็นชบา พี่สาวของเธอ คนที่เธอรักทั้งคู่ทรยศเธอ ช่างน่าอดสูใจนัก มะลิหลับตาลงอย่างเหนื่อยล้า นี่มันเวรกรรมอะไรของเธอที่จะต้องกลับมาอยู่กับคนเดิมๆ ที่เธอไม่ต้องการ
“เขาประสบอุบัติเหตุ รถคว่ำ...เขาไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว”
คำพูดนั้นเหมือนแรงกระตุ้นให้หญิงสาวเดินออกมาจากห้อง เท้าทั้งคู่พาร่างอวบอัดสมส่วนเดินไปถึงห้อง ที่ครั้งหนึ่งเคยจะกลายเป็นห้องหอของเธอ
หญิงสาวผลักประตูเข้าไปเบาๆ เตรียมใจที่จะเผชิญหน้ากับเขา เธอไม่รู้หรอกว่าจิตสำนึกของเธอนั้นโหยหาเขาขนาดไหน “พี่ภู.....”
ทันทีที่หญิงสาวเข้าไปในห้อง ร่างของภูผานอนนิ่งอยู่ที่เตียง ข้างเตียงมีรถเข็นนั่ง เธอกวาดตามองไปรอบๆ ห้อง มันเป็นห้องของเขาแต่ดั้งเดิมที่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรเลย ช่างน่าแปลกเขาไม่ได้ใช้ห้องนี้เป็นห้องหอหรอกหรือ?
“คุณภูหลับค่ะ”
พยาบาลสูงอายุท่านหนึ่งบอกมะลิ ทันทีที่มะลิเข้ามาในห้องของภูผา
“สวัสดีค่ะป้า”
ด้วยวัยที่สูงกว่าทำให้มะลิยกมือไหว้พยาบาลที่นั่งเฝ้าเขาอยู่ มะลิค่อยๆ ก้าวไปที่ร่างที่หลับสนิทอยู่บนเตียง เขาเหมือนคนนอนหลับเฉยๆ แต่วีลแชร์หรือเก้าอี้เข็นนั่น ยืนยันว่า...เขาบาดเจ็บ ซึ่งเธอก็ยังไม่รู้ว่า เขาบาดเจ็บมากแค่ไหน
วูบหนึ่งมะลิคิดถึงชบา... ภูผานอนป่วยอยู่ลำพังแบบนี้ ใจคอของพี่สาวเธอยังสามารถไปทำงานโดยทิ้งให้เขาอยู่แบบนี้เลยหรือ? ความสงสารวูบเข้ามาในใจของมะลิ
“พี่ภู.....”
หญิงสาวค่อยๆ เอื้อมมือเข้าใบสัมผัสใบหน้าที่ซูบตอบเคราเขียวครึ้มขึ้นระคางราวกับไม่เคยเอาใจใส่ มะลิน้ำตาร่วงผล็อยด้วยความสงสาร
“มะลิ....”
เขาครางเบา ทั้งที่ตายังหลับอยู่ เธอรีบปาดน้ำตาทิ้งแล้วลุกขึ้นยืนตั้งท่าจะกลับออกจากห้องไม่ให้เขารู้ตัว ทว่าทันทีที่เธอลุกขึ้นหันหลัง ข้อมือบางๆ ที่ถูกคว้าไว้ทันที
“มะลิ...”
“พี่ภู....”
หญิงสาวหันกลับมาทันทีแล้วชักมือหนี แต่เขากลับยึดมันมั่นไว้
“มะลิ เอ็งจริงๆ ด้วย ในที่สุดเอ็งก็ให้อภัยพี่”
“เปล่า ฉันไม่ได้ให้อภัยพี่ ฉันแค่มาดูว่าพี่จะตายหรือยัง” มะลิตอกกลับด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย สายตาเมินมองไปทางอื่น
“พี่ยังตายไม่ได้หรอก จนกว่าเอ็งจะให้อภัยพี่”
เขาพูดด้วยสำเนียงน้อยใจและรู้สึกผิด ก่อนมองหล่อนนิ่งนาน ความเงียบคลี่คลุมไปทั่วห้อง ถ้าเข็มสักเล่มตกลงพื้น คนทั้งคู่ก็จะได้ยิน
“พี่เป็นยังไงบ้าง”
มะลิปรายตามอง เมื่อเห็นเขาพยายามพยุงตัวเองลุกขึ้นโดยมีพยาบาลคอยช่วยเหลือ ก็ไถ่ถามด้วยความอยากรู้แกมห่วงใย
“พี่ไม่เป็นอะไรมากหรอก แค่เดินไม่ได้”
“เดินไม่ได้!”
มะลินิ่งเหมือนถูกทุบหัว คนที่ทำอะไรด้วยตัวเองทุกอย่างกลับมาพิการเดินไม่ได้ เธอจะไม่คิดมาก่อนว่าอาการเขาจะเลวร้ายถึงขั้นนี้
“อย่าทำเสียงเวทนาพี่ขนาดนั้น พี่ก็แค่....เดินไม่ได้ในช่วงเวลานี้เท่านั้นแหละ หมอสมัยนี้เขาเก่ง พี่ไม่หมดหวังหรอก”
เขาลุกขึ้นนั่งแล้วยิ้มให้หล่อนอย่างอ่อนโยน
“เอ็งล่ะ เป็นยังไงบ้าง ค้าขายดีไหม? คงเจอใครหลายคนจนลืมพี่แล้ว”
น้ำเสียงของเขาปกติ แต่ทำไมเธอจึงรู้สึกเหมือนเขาเยาะตัวเองยังไงไม่รู้
“ฉันก็พออยู่ได้ ไม่เดือดร้อน ท่าทางพี่จะช่วยเหลือตัวเองได้ แล้วยังมีป้าคอยดูแลอยู่ใกล้ๆ ฉันจะกลับห้องล่ะ แค่แวะมาดูพี่เฉยๆ”
“เดี๋ยวสิมะลิ”
หญิงสาวชะงักหันมอง ชายหนุ่มพยายามดันตัวเองขึ้นนั่งที่เก้าอี้รถเข็น
“เอ็งมายังไง พี่ได้ยินเสียงรถของชบาออกไปทำงานแล้ว แสดงว่า...เอ็งจะมาอยู่ที่นี่ใช่ไหม?”
มะลิถอนใจยาว เดาว่าเขาไม่รู้เรื่องอะไรของเธอเลย และก่อนที่ชบาจะออกไปทำงาน เธอไม่ได้แวะมาหาเขาแม้สักนิด
“บ้านถูกไฟไหม้ค่ะ พี่ชบาให้มะลิมาอยู่ที่นี่ชั่วคราว จนกว่าจะสร้างบ้านใหม่เสร็จ”
“อะไรนะ...ไฟไหม้บ้านหรือ เรื่องใหญ่ขนาดนี้ทำไมชบาไม่บอกพี่”
“พี่ชบาคงเห็นพี่หลับอยู่ค่ะ เลยไม่ได้เข้ามาบอก เรื่องเกิดขึ้นเร็วมาก มะลิไปถึงบ้าน ไฟก็โหมวอดวายหมด พี่ชบาไปเจอก็เลยพามาที่นี่ หวังว่าพี่ภูคงไม่ว่าอะไร”
