บทที่ 7 คืนแรก
หลังตักอาหารเข้าปากได้ไม่กี่คำ คารินก็วางช้อนลงแล้วทานยาที่เอรอส วางไว้ให้ ก่อนจะนำถาดอาหารไปไว้หน้าห้องพักเพื่อรอให้เจ้าของบ้านเช่ามาเก็บไป จากนั้นจึงกลับมานั่งสงบเสงี่ยมอยู่บนเก้าอี้ตามเดิม อึดใจเดียวชายหนุ่มก็เปิดประตูเข้ามาพร้อมกับเสื้อผ้าชุดใหม่ หลังจากที่ขอตัวลงไปอาบน้ำชำระร่างกายจนสะอาดสะอ้าน
เอรอสมองร่างบางผ่านตะเกียงเจ้าพายุที่เจ้าของบ้านมีไว้ให้เพียงสองดวงเท่านั้น เธอขยับตัวเมื่อเขาเดินเข้ามานั่งบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม
“กินนิดเดียวเองนะ หรือว่าปวดท้อง”
หญิงสาวส่ายหน้า เธอไม่ได้ปวดท้อง หากแต่เป็นคนที่กินน้อยมาแต่ไหนแต่ไร ส่วนเลโกลัสผู้เป็นพี่ชายนั้น นานๆ จึงจะกินอาหารที่บ้านสักครั้ง ซึ่งเขามักจะบอกว่าอิ่มมาจากข้างนอกแล้ว
ชายหนุ่มวางดาบไว้บนโต๊ะ เก็บสัมภาระใส่ไว้ในลิ้นชัก เขาลงไปจ่ายเงินเพิ่มสำหรับการเช่าที่นี่ไว้สามคืน เพื่อให้เธอได้พักฟื้นร่างกายจากเดิมที่จ่ายค่ามัดจำไว้เพียงคืนเดียว พรุ่งนี้เขาจะเริ่มออกตามหาพี่ชายของเธอซึ่งคนแถบนี้น่าจะรู้จัก อีกทั้งเจ้าของบ้านก็รับปากว่าจะดูแลทุกอย่างให้เป็นอย่างดี จึงวางใจได้ในระดับหนึ่งว่าเธอจะไม่เป็นอันตรายในตอนที่เขาไม่อยู่
“อะ...อะ” หญิงสาวลุกเดินไปที่เตียง ตบเบาๆ พยักหน้าเรียกเอรอส
“บอกให้ข้าไปนอนสินะ” เขารับรู้ แล้วเดินมานั่งข้างๆ เธอ เตียงนี้พอจะนอนได้สองคน แต่ก็ดูท่าว่าจะขยับแขนขาลำบาก ดูเหมือนเธอเองก็รู้ดีจึงนำผ้าห่มมาปูทำเป็นที่นอนอยู่บนพื้นอีกฟากหนึ่ง ซึ่งเขาเดาออกว่าเธอตั้งใจจะนอนบนพื้นแข็งๆ นั่น “เจ้าก็มานอนด้วยกันสิ พื้นมันแข็ง อากาศก็หนาว เดี๋ยวอาการป่วยก็กำเริบขึ้นมาอีกหรอก”
คารินส่ายหน้าพรืด เธอนอนสบายบนเกวียนมาเต็มที่แล้ว ขณะที่เขาต้องลำบากนั่งพิงต้นไม้หลับหลังขดหลังแข็งหลายวัน คืนนี้เขาควรจะได้นอนพักให้เต็มอิ่ม เธอเต็มใจนอนบนพื้น แสดงความขอบคุณในน้ำใจที่เขามีให้ เป็นเรื่องเล็กน้อยที่เธอพอจะมีกำลังทำได้
หญิงสาวเดินขากระเผลกไปยังที่นอนเล็กๆ ของเธอแล้วล้มตัวลงนอนอย่างว่องไวเพื่อไม่ให้ชายหนุ่มได้ทักท้วง รอจนเอรอสล้มตัวลงนอนแล้ว เธอจึงพลิกตัวนอนหงาย วางสองมือประสานลงบนหน้าท้อง เหม่อมองเพดานอย่างเลื่อนลอย คิดถึงเลโกลัส คิดถึงวันพรุ่งนี้ คิดถึงวันข้างหน้า จนในที่สุดก็ผล็อยหลับไป
เอรอสรอจนได้ยินเสียงหายใจสม่ำเสมอของอีกฝ่าย เขาก็ลุกขึ้นชะโงกหน้ามองลงไปข้างเตียง เด็กสาวนอนหลับตาพริ้ม ผมสยายเต็มหมอน ใบหน้าคลี่ยิ้มอ่อนละมุน เขาอุ้มร่างบางขึ้นมาวางลงบนเตียงอีกฝั่งหนึ่ง คลุมผ้าห่มให้เรียบร้อย ก่อนจะลุกไปยืนข้างหน้าต่างมองค่ำคืนของหมู่บ้านเคอร์เซอร์อย่างครุ่นคิด
“นางเป็นยังไงบ้าง?” เสียงสตรีผู้หนึ่งดังขึ้นมาในห้วงคำนึง ภาพของประเทศเซก้าแจ่มชัดราวกับว่าเขากำลังอยู่ ณ ที่แห่งนั้น
“นางไม่กินอะไรเลยค่ะท่านมิเกล ข้าคะยั้นคะยอเท่าไหร่ก็ไม่ยอม”
“เดี๋ยวข้าจะคุยกับนางเอง” หญิงสูงศักดิ์ชื่อมิเกลเดินเข้าไปในห้องๆ หนึ่ง
หญิงสาวซึ่งงดงามดั่งเทพีมาจุติหันขวับเมื่อเห็นว่ามีใครก้าวเข้ามาในห้องส่วนตัวของเธอ ผมหยักศกสีบลอนด์ส่องประกายอร่ามตา ใบหน้ารูปไข่ ริมฝีปากเต็มอิ่มสีแดงเรื่อ เรือนร่างนั้นหมดจดงดงามไร้ที่ติ มีเพียงดวงตาเท่านั้นที่ดูหมองหม่น
“เจ้ายังทำนายไม่ได้อีกหรือเรเชล?” มิเกลนั่งลงข้างบุตรสาวซึ่งเป็นถึงว่าที่สตรีหมายเลขหนึ่งคนต่อไปของเซก้า ซ้ำยังควบตำแหน่งนักพยากรณ์ของประเทศ แต่จู่ๆ ก็สูญเสียพรสวรรค์นั้นจนไม่อาจทำนายเหตุการณ์ใดๆ ได้อีก
“ข้าสูญเสียไปแล้วซึ่งพลังนั้น” เรเชลตอบ และมองข้ามมิเกลไปด้านหลังเมื่อเห็นว่าในห้องนี้ มิได้มีเพียงเธอกับมารดา แต่ยังมีชายหนุ่มร่างสูงหน้าดุพร้อมสีผมแปลกตาและออร่าเย็นยะเยือกน่ากลัว
“เขามาเพื่อช่วยเจ้า...ข้ารู้วิธีที่จะทำให้เจ้าได้พรสวรรค์นั้นคืนมา อย่าลืมว่าโลกของเรากำลังเข้าสู่ยุคมืด ถ้าประเทศของเราอ่อนแอเมื่อใด ทุกคนจะตายกันหมด ไม้เว้นแม้แต่หญิงงามอย่างเจ้า”
มิเกลขู่บุตรสาวเหมือนดั่งที่เคยทำมาแล้วหลายครั้ง ก่อนจะหันไปหาคนที่เดินตามเข้ามาข้างหลังเงียบๆ ไม่ทันเห็นว่าเรเชลกำลังทำหน้าเหมือนจะร้องไห้
“เอรอส! เพราะท่านอัลเชอร์ไว้ใจเจ้าและให้เราเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ จงไปตามหาคนที่มีปานรูปปีกมังกรที่เกาะมาทิลดา และนำดวงตาสวรรค์มาคืนให้ กับเรเชล!!”
เสียงเร่งเร้าย้ำเตือนดังขึ้นมาราวกับรอจังหวะอยู่ เขาถอนใจออกจากความคิดคำนึง แล้วรีบผละออกจากหน้าต่างเดินมาที่เตียง มองร่างที่นอนคุดคู้ด้วยความหนาว พลันหัวใจก็คลายความรุ่มร้อนลง
โชคชะตากำลังเล่นตลกทำให้เขาได้พบกับชีวิตที่น่าเวทนา แม้จะไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แต่เขาก็ไม่อาจละทิ้งหนึ่งชีวิตที่ควรค่าแก่การมีชีวิตอยู่ เขาบอกกับตัวเองเสมอว่า การที่คนเราได้พบได้รู้จักใครสักคนย่อมใช่เรื่องบังเอิญ พวกเขาเหล่านั้นมีด้ายแดงที่เชื่อมโยงถึงกันและกัน การกระทำของคนๆ หนึ่งมีผลต่อชีวิตของคนอีกคน จากหนึ่งไปสองและกระจายออกไปเรื่อยๆ เหมือนเมล็ดพันธุ์เล็กๆ ที่เจริญเติบโตขึ้น แล้วแตกกิ่งก้านสาขากลายเป็นต้นไม้ จากต้นไม้กลายเป็นผืนป่า และผืนป่าก็เป็นส่วนหนึ่งของโลก โลกเป็นส่วนหนึ่งของจักรวาล เกี่ยวพันกันจนไม่สามารถสูญเสียซึ่งสิ่งหนึ่งสิ่งใด
คารินกับเขาก็คงเป็นเช่นนั้น ตั้งแต่พบเธอเขาก็รู้ว่าจะต้องเจอเรื่องยุ่งๆ และทำให้งานล่าช้า คนที่ตั้งความหวังไว้กับเขาก็ต้องยืดเวลารอคอยต่อไปอีก แม้เวลาเพียงเสี้ยววินาทีก็อาจทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างพลิกผัน ถึงกระนั้นเขาก็ไม่อาจทิ้งเธอไว้ตามลำพัง
ชายหนุ่มเลื่อนผ้าห่มคลุมกายให้เธอแล้วลมตัวลงนอนเคียงข้าง ฤาเขาควรจะปล่อยให้ชีวิตเป็นไปตามชะตาฟ้าลิขิตและธรรมชาติของมัน
คารินขยี้ตา บิดตัวเพื่อให้กล้ามเนื้อพร้อมจะทำงานเต็มที่แล้วผุดลุกขึ้นจากที่นอน เธอหันซ้ายหันขวามองหาเอรอส เพิ่งเห็นว่าตัวเองนั้นนอนอยู่บนเตียง เดาว่าเขาคงอุ้มเธอขึ้นมาและเขาเองต้องนอนหนาวอยู่ทั้งคืน เพราะผ้าห่มทั้งสองผืนถูกเธอยึดครองไว้คนเดียว
หญิงสาวพับผ้าห่มจัดที่นอนให้เรียบร้อยแล้วเดินออกจากห้อง ลงบันไดไปช้าๆ แม้เธอจะตื่นตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้น แต่ก็ยังช้ากว่าเอรอสและสองสามีภรรยาเจ้าของบ้านเช่าที่กำลังช่วยกันทำความสะอาดอยู่ ทันทีที่เห็นเธอพวกเขาก็ยิ้มกว้างทักทาย
“อ้าว! ตื่นแต่เช้าเลยนะ นอนหลับสบายดีหรือเปล่า?”
คารินผงกศีรษะเป็นการตอบว่าเธอนอนหลับสบายดี พลางมองซ้ายมองขวาหาเอรอสที่น่าจะอยู่แถวๆ นี้
“พี่ชายของเจ้าไปแล้วล่ะ ออกไปตั้งแต่พวกข้ายังไม่ตื่น แต่เขาก็ได้จ่ายค่าที่พักไว้ครบแล้ว ทั้งยังฝากบอกว่าให้ดูแลเจ้าให้ดี ไม่ต้องห่วงหรอกนะ” เจ้าของบ้านพักยิ้มให้อย่างอบอุ่น
หญิงสาวใจหายวูบ! เอรอสไปแล้ว!! ไม่จริงแน่ๆ ก็เมื่อคืนเขาไม่ได้พูดว่าจะไป ไม่แน่ว่าเขาอาจจะออกไปเดินยืดเส้นยืดสายอยู่แถวนี้
คารินใช้ขาที่ยังไม่หายดีของเธอเดินกระเผลกๆ ไปที่โรงเก็บม้าด้วยความกังวล พยายามข่มความเจ็บปวดไว้ ภายในใจว้าวุ่นโหวงเหวงเมื่อได้ยินว่าเขาฝากฝังเธอไว้และจ่ายค่าที่พักให้อย่างดิบดี
ไม่มีร่างที่คุ้นตาอยู่ในโรงเก็บม้า เธอตัดสินใจเดินออกไปยังถนนที่ผู้คนเริ่มพลุกพล่านโดยไม่ใส่ใจกับความเจ็บปวดของตนเอง จนกระทั่งเดินต่อไปไม่ไหว จึงหยุดยืนอยู่กับที่ น้ำตาซึมเมื่อไม่เห็นเขาแล้วจริงๆ
เอรอสไปแล้ว...
