
บทย่อ
หนึ่งหนุ่มเงียบขรึม กับหนึ่งสาวขี้แกล้ง จากมิตรภาพจะก้าวข้ามผ่านเส้นบาง ๆ นั้น เป็นความรักได้หรือไม่
1
ตอนที่ 1 : ฝนแรก
เสียงฟ้าร้องคำรามอยู่ไกล ๆ ก่อนสายฝนจะเทกระหน่ำลงมาราวกับมีใครไปเปิดก๊อกน้ำบนฟ้าไว้เต็มแรง ลมกรูพัดจนต้นไม้ข้างอาคารเรียนสะบัดรัว ๆ ผู้คนเริ่มแตกฮือยืนค้างอยู่ใต้ชายคา ควานหาร่มในกระเป๋าอย่างลนลาน บางคนตัดใจวิ่งฝ่าสายฝนออกไปเหมือนนักวิ่งแข่ง 100 เมตร
“ซวยแล้ว… ร่มก็ไม่ได้เอามา” น้ำตาลกอดกระเป๋าแน่น พลางมองผืนฟ้าที่กลายเป็นม่านฝนสีเทา เธอเพิ่งส่งรายงานเสร็จแบบฉิวเฉียด เหนื่อยจนลืมฟังพยากรณ์อากาศไปเลย ใบหน้ากลมเล็กเชิดใส่เม็ดฝนอย่างหัวเสีย เสื้อเชิ้ตสีอ่อนเริ่มชื้นติดผิวตั้งแต่ยังยืนอยู่ใต้ชายคา เพราะละอองฝนถูกลมปะทะพัดเข้ามาไม่หยุด
เธอสูดหายใจลึก “จะยืนรอให้ฝนหยุดก็ไม่รู้จะอีกนานแค่ไหน… รถเมล์ก็หายาก” สองเท้าขยับไปข้างหน้าอย่างลังเล จะวิ่งดีไหมนะ แต่รองเท้าผ้าใบคู่โปรดเพิ่งซักเมื่อวาน…เสียงฝนเคาะพื้นปูนเป็นจังหวะดังขึ้นอีกขั้น ราวกับท้าทายให้เธอก้าวขาออกมา
เธอกัดฟัน “ลุยเลยแล้วกัน!” สองขาก้าวออกไป ร่างกายปะทะน้ำเย็นเฉียบซัดใส่แขนและแก้มทันที ผมที่มัดหลวม ๆ เปียกชื้น หยดน้ำเกาะเป็นเม็ดบนขนตา ทัศนวิสัยพร่าเลือน เธอก้มหน้าหลุบสายตา มองเห็นเพียงลานกว้างที่ต้องข้ามไปยังป้ายรถเมล์อีกฝั่ง ถ้าถึงตรงนั้นได้ยังพอมีหลังคาให้หลบ
"เอาวะ ไหน ๆ ก็มาถึงขนาดนี้ละ"
หนึ่ง สอง สาม… เธอนับก้าวในใจ แต่แค่ไม่กี่วินาที ความเย็นก็แทรกทะลุเสื้อเชิ้ตจนเธอสั่นไปทั้งตัว เธอเริ่มชะลอเพราะพื้นลื่น แล้วแวบหนึ่งที่เงยหน้าเพื่อดูทิศทาง ละอองฝนสาดใส่ดวงตาจนต้องหรี่ตาลง จากนั้น เงาสีดำก็โผล่มาเหนือศีรษะโดยไม่ทันตั้งตัว
ร่มเรียบ ๆ สีดำสนิท ถูกกางขึ้นครอบเหนือศีรษะเธออย่างพอดิบพอดี อุณหภูมิรอบตัวเหมือนลดเสียงฝนลงครึ่งหนึ่ง เธอหันขวับ สายตาปะทะกับดวงตาคมเข้มที่เปียกชื้นนิด ๆ จากละอองฝนชายขอบร่ม
คีตนั่นเอง เขาเป็นเพื่อนในคลาสเดียวกัน เรียนเอกเดียวกันนั่นแหละ แต่เหมือนอยู่กันคนละโลก น้ำตาลเป็นประเภทพูดเก่ง หัวเราะง่าย แสดงอารมณ์ใส่ทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนถ้าหากไม่พูดอกมามันจะล้นอกจะอกแตกตาย ส่วนคีต… เงียบ นิ่ง หน้านิ่งจนบางคนคิดว่าเขาเย็นชา แต่ใคร ๆ ก็ยอมรับว่าเขาทำงานเป๊ะและเชื่อถือได้แบบสุด ๆ
“นาย… ทำไม..” เธอยังพูดไม่ทันจบ เขาก็ขยับร่มเข้าหาเธออีกนิด แล้วก้าวไปข้างหน้าอย่างนิ่ง ๆ ราวกับว่าไม่จำเป็นต้องตอบ
“นี่! ฉัน… ฉันเดินเองได้ ไม่ต้อง..”
คีตเอียงหน้ามองเธอแวบเดียว แล้วตอบสั้น ๆ เสียงทุ้มต่ำกลบเสียงฝนได้พอดี “ไปป้ายรถ” ไม่ใช่คำถาม ไม่ใช่คำอ้อนวอน เป็นประโยคบอกเล่าที่มั่นคงเหมือนตัวเขา เธอชะงักหนึ่งวินาที ก่อนจะยอมก้าวตามโดยอัตโนมัติ ร่มคันเดียวค่อนข้างเล็กสำหรับสองคน เธอพยายามเบี่ยงตัวออกห่างเพราะเกรงใจ แต่ผลคือแขนเสื้อข้างนอกของเธอเปียกทันที และทุกครั้งที่เธอขยับออก เขาก็ขยับเข้ามาอีกครึ่งก้าว เอียงร่มมาทางเธอมากกว่าเดิม
“อย่าเอียงมาทางฉันขนาดนั้นสิ นายเปียกหมดแล้วนะ” เธอพึมพำ แล้วก็รู้สึกว่าหน้าร้อนวาบขึ้นมาเองโดยไม่มีเหตุผล
“ไม่เป็นไร” เขาว่าอย่างนั้น
สองคำสั้น ๆ นั่นกลับทำให้หัวใจเธอสั่นแรงกว่าฟ้าแลบที่เพิ่งแหวกเมฆลงมาเสียอีก
พื้นปูนตรงหน้ามีแอ่งน้ำเล็ก ๆ ที่เธอไม่ทันเห็น จังหวะก้าวเท้าผิดไปเพียงนิดเดียวทำให้เธอเสียสมดุล “โอ๊ย!” ร่างกายเอนไปข้างหน้าเหมือนภาพสโลว์โมชั่น แล้วก่อนที่จะได้จูบกับพื้นปูนแข็ง มือใหญ่ก็ฉวยเอวเธอไว้แน่นรวดเดียว แรงกระตุกพอดีดึงให้เธอถลาเข้าหาเขาแทน
เธอแทบจะชนอกเขา มันใกล้มากจนได้ยินเสียงลมหายใจอุ่น ๆ ของอีกฝ่าย ใกล้จนได้กลิ่นสะอาด ๆ ที่ปะปนกับกลิ่นฝน
“เดินดี ๆ หน่อย” เสียงเขาไม่ดังนักติดจะดุเสียด้วยซ้ำ
น้ำตาลสะบัดหน้า ปากไวตามสัญชาติญาณ “ก็ถนนมันลื่น ใครจะไปรู้เล่า!”
คีตไม่เถียงกับเธอ เขาเพียงจัดร่มให้เข้าที่ มือที่จับเอวเลื่อนมาจับข้อมือเธอแทน เขาไม่บีบแรง แต่น้ำหนักนั้นมั่นคง หลายวินาทีกว่าที่เขาจะค่อย ๆ เลื่อนฝ่ามือไปประสานกับมือของเธอแทน นิ้วเรียวยาวล็อกพอดีราวกับเคยทำมาก่อน ทั้งที่ความจริงพวกเขาไม่เคยจับมือกันแบบนี้เลยด้วยซ้ำ
ความอุ่นจากมือเขาส่งผ่านเข้ามาอย่างง่ายดาย น้ำตาลเม้มปาก “..ก็แล้วแต่นายเถอะ” เสียงเธอแผ่วเบากว่าปกติอย่างน่าประหลาด แต่ปลายนิ้วเธอบีบตอบไปแล้วโดยไม่รู้ตัว
ทั้งคู่เดินจนถึงป้ายรถเมล์ที่มีผู้คนยืนเบียดกันเพื่อหลบฝน พื้นเปียกลื่น มีกลิ่นฝนกับกลิ่นเหล็กชื้น ๆ ฟุ้งอยู่ในอากาศ เสียงน้ำหยดจากขอบหลังคากระทบพื้นเป็นจังหวะ
