บทที่ 1 : จุดเริ่มต้นของความเกลียดชัง
บทที่ 1
จุดเริ่มต้นของความเกลียดชัง
ช่วงเวลาที่เจ็บปวดมากกว่าการสูญเสียคือ...
การไม่สามารถช่วยเหลือใครได้และไม่คิดจะช่วย…
เจ้าของนัยน์ตาคู่สีนิลสนิททอดมองท้องฟ้ากว้างใต้บรรยากาศเงียบสงบไร้ผู้คน มีเพียงเสียงนกร้องสลับคลื่นลมพัดผ่านเข้าหาฝั่ง กลิ่นของน้ำเค็มจากท้องทะเลสีเขียวมรกตให้ความรู้สึกผ่อนคลาย หลังจากที่ออกจากการรักษาตัวโรงพยาบาล กักตัวครบสิบสี่วันตามกติกาของสังคม จัดเสื้อผ้าชายทะเลมาเสียเต็มกระเป๋าเดินทาง ‘ตาณวีร์’ คิดว่าตัดสินใจดีแล้วกับการทำเรื่องเสียเวลาสักเรื่องเช่นพักร้อน
ตัวเขาไม่รู้หรอกว่าชีวิตมาจะมาถึงจุดนี้...
จุดที่ผู้คนจำต้องเปลี่ยนวิถีการดำเนินชีวิต อยู่แต่ในบ้านพักอาศัยและพึ่งพาระบบออนไลน์เสียเป็นส่วนใหญ่ นั่นเป็นเหตุผลหนึ่งให้คนบ้างานอย่างเขายอมจ่ายค่าเช่ารีสอร์ตหรูเป็นเวลาสามเดือนในราคาหกหลักปลาย ๆ เพื่อปลีกตัวจากสังคมเมืองที่ถูกโรคระบาดกลืนกิน
เสียงลอบถอนหายใจดังจากเรือนร่างกำยำเป็นล่ำสัน ชายหนุ่มยกท่อนแขนข้างหนึ่งวางหนุนใต้ศีรษะแทนหมอนอย่างไม่อายรักแร้สมชายชาตรีในเมื่อมันคงต้องมีขนดกดำ มือหยิบแก้วทรงสี่เหลี่ยมจากโต๊ะตัวเล็กขึ้นจรดริมฝีปาก อมบรั่นดีหอมกลมกล่อมไว้ในปากเพื่อลิ้มรสชาติกลมกล่อมราคาแพงของมันค่อยกลืนลงคอช้า ๆ จนได้ยินเสียงฝีเท้าอีกคู่หนึ่งบนผืนทราย
“คุณจะตามผมมาทำไม? คุณเปม...” เสียงทุ้มถามอย่างไม่พอใจ ตัวเขาคงไม่ได้สบายใจนักกับการทำตัวแสนชิลล์ เกาะนี้ควรมีแต่เขาลำพัง
และเมื่อคนขับเรือสาวจำเป็นชำเลืองมองหน้าท้องเป็นลอนหนาเรียงระเบียบเครียดจนถึงแผงอกเปลือยเปล่าอย่างคนมีวินัยในการดูแลตัวเอง เธอถึงกับต้องตั้งสติพูดคุยกับเขาดี ๆ
“พี่สาวฉันขอลาไปทำธุระส่วนตัวค่ะ ฉันเลยอาสามารับใช้คุณตาณจนกว่าจะหมดวันลาพักร้อนของฉัน...”
“ผมไม่ได้ขอร้องให้คุณมาเลยนะคุณเปม ลืมเรื่องระหว่างเราไปเถอะ ผมยังพยายามที่จะลืมมัน...”
ใบหน้าสดสวยครึ่งหนึ่งถูกปิดไว้ด้วยแมสก์สีดำก้มลงมองรองเท้าแตะหนีบของเธอเองที่ถูกกลบด้วยเม็ดทรายละเอียดด้วยความรู้สึกผิด
“ขอโทษจริง ๆ ที่ทำให้คุณต้องเดือดร้อนจนเหม็นขี้หน้าฉันขนาดนี้นะคะ”
“คุณไม่มีปัญญาทำงานให้ผมหรอกคนสวย... คุณมันก็ดีแต่สวย... สวยแต่รูป ผมไม่น่าจูบคุณเลยจริง ๆ”
สักประมาณเดือนที่แล้วได้ ตาณวีร์พบแม่สาวเอวบางร่างน้อยในไนต์คลับผ่านการแนะนำจากเพื่อนฝูง เธอทำให้เขาคลั่งไคล้ในรอยยิ้มและทุก ๆ อย่างราวแม่มดร่ายมนต์เสน่ห์ ท้ายที่สุดแล้วเขาก็หลงรักสาวแปลกหน้าหัวปักหัวปำ
กระทั่งตอนนี้ เขาทำเป็นไม่สนใจสาวผมสั้นประบ่าหน้าสวยหวาน แต่กลับตะแคงหน้าเล็กน้อยเพื่อสูดกลิ่นเส้นผมนุ่มสลวยสีน้ำตาลช็อกโกแลตสยายปลิวลู่ลมทะเล ราวกับว่าเธอจะมีกลิ่นตัวอันเป็นเอกลักษณ์ล่องลอยมาตามลม เธอแต่งตัวทะมัดทะแมงเหมาะสมแก่การขึ้นลงเรือแต่สุภาพด้วยเสื้อเชิ้ตสีขาวครีมพับแขนยาวไว้เหนือข้อศอก กางเกงยีนขาสั้นขับสะโพกกลมกลึง
ค่ำคืนนั้นถ้าไม่ใช่เพราะน้ำเมา ด้วยอายุวัยย่างเข้าสี่สิบปีมีวุฒิภาวะพอสมควร ชายหนุ่มคงไม่กล้าคว้าเธอเข้ามาจูบอย่างดูดดื่มเร่าร้อนท่ามกลางแสงสีสู้ลูกยุของเพื่อนในวงเหล้า
“คุณมาจูบฉันแล้วมาโกรธฉันเนี่ยนะคะ?”
“ใครจะไปคิดล่ะว่ากลางผับที่มีการตรวจตราดีดันมีนังบ้าคนนึงมีหน้าไปเที่ยวโดยไม่ดูสภาพสังขารตัวเอง...”
“แล้วคุณตาณล่ะไปเที่ยวทำไมคะ? วันสุดท้ายของการล็อกดาวน์แท้ ๆ” เธอแย้งเขากลับแต่ทำก้มหน้าก้มตา เหมือนไม่อยากพูดถึงมัน
“ฉันไม่ได้อยากจะติดโควิดเลยนะคะ...”
ให้ตายเถอะพระเจ้า! เขาเกลียดดผู้หญิงคนนี้เป็นบ้า! หล่อนเอาเชื้อโรคร้ายมาติดเขา ยังอุตส่าห์ฝากของแถมเป็นเทสเตอร์สองขีดส่งตรงถึงหน้าบริษัท
ไอ้อุปกรณ์ทางการแพทย์นั่นฟาดเขาหน้าหงายด้วยความเข้าใจผิดคิดว่าโดนอำเละเทะจากลูกน้องคนสนิท ในเมื่อทุกคนรู้ดีว่าเขาเป็นหมัน!
กว่าจะรู้ตัวว่ามันคือเครื่องมือทดสอบเชื้อโรคจากปากเลขาฯ ที่ไม่ยอมเข้าใกล้เขาเกินระยะหนึ่งเมตร ยังคลุมตัวเองด้วยเสื้อกันฝนโง่ ๆ โดยมีรถพยาบาลมารอที่หน้าบริษัทพร้อมนายด่านหน้าในชุด PPE เต็มยศ
“อย่างน้อยฉันก็มีความรับผิดชอบมีความกล้าที่จะมาพบหน้าคุณนะคะ ฉันหายดีแล้วและฉันมาดูแลคุณตาณ ขอโอกาสให้ฉันสักครั้งนะคะ”
“มันไม่จำเป็นนะคุณเปม... ผมมีเงินเช่าเกาะส่วนตัว ผมมีหมอทุกเมื่อที่ผมต้องการเพราะผมเป็นคนรวยต่างจากคุณ คุณจะไปไหนก็ไป...”
“ไปก็ได้ค่ะ... แต่ถ้ามีอะไรเรียกฉันได้ตลอดนะคะ วันนี้ฉันจะพักที่นี่ก่อน พรุ่งนี้ค่อยข้ามฝั่งกลับไปกักตุนเสบียง”
“โชคดี...” แล้วอย่าได้เจอกันอีกเลย!
ไม่สิ… ยัยนี่บอกว่าคืนนี้จะค้างที่นี่! ยัยตัวแพร่เชื้อ! คิดพลันลุกพรวดตามร่างบางที่หันหลังเดิน ขายาว ๆ ย่ำถึงเธอก็หยิบขวดสเปรย์ออกมาจากกระเป๋ากางเกง พ่นไปทั่วจนหญิงสาวหมุนตัวกลับมายกมือปัดป้อง
เปมนีย์สำลักกลิ่นแอลกอฮอล์ด้วยน้ำมือของคนพาลที่แค่นหัวเราะใส่
“หวังดีฆ่าเชื้อให้น่ะครับ”
ริมฝีปากบางเฉียบเม้มปิดสนิทแน่น หญิงสาวพยายามสงบสติอารมณ์อย่างถึงที่สุดเพื่อพูดคุยกับเขาอย่างสันติ
“ฉันเข้าใจที่คุณโกรธฉันนะคะ แต่ฉันตรวจโควิดเรียบร้อยก่อนออกจากโรงพยาบาล ฉันกักตัวครบวันอย่างคนที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมก่อนออกจากบ้านด้วย”
“ไม่รู้... ติดแล้วก็ติดอีกได้”
“ฉันไม่ได้ไปไหน ตั้งแต่ออกจากบ้านมาก็เจอหน้าคุณตาณคนเดียวนี่แหละค่ะ”
“พี่สาวคุณล่ะ พ่อแม่ล่ะ?” ชายหนุ่มโต้แย้งด้วยท่าทีกวนประสาท เหมือนได้รับชัยชนะเล็ก ๆ น้อย ๆ กับการทำให้เธอโกรธได้สำเร็จ
“คุณพ่ออยู่อีกบ้านนึง แม่ฉันอยู่เมืองนอก ส่วนพี่แป๋วไปงานศพคุณป้าค่ะ”
“เธอเป็นเลขานุการของผมมาสิบสองปี ไม่เห็นเธอจะบอกผมว่าญาติเสีย...”
ชายหนุ่มหน้าเจื่อนไปเล็กน้อยพอได้ยินข่าวร้าย สาเหตุให้สาวตรงหน้าต้องใช้รองพื้นเบอร์หนาเพื่อปกปิดรอบดวงตาบวมช้ำของตัวเอง ยังเสนอตัวช่วยเหลือพี่สาวมาทำงานแทนทั้งที่เธอเคยทำงานเลขานุการเสียที่ไหน
“พี่แป๋วเธอไม่อยากรบกวนคุณตาณ คุณเพิ่งรักษาตัวหายดีออกจากโรงพยาบาลมาคงยุ่ง ไม่ก็คงอารมณ์ไม่ค่อยดี...”
ข้อหลังแน่นอนที่สุด ตาณวีร์เริ่มออกอาการหัวเสียตั้งแต่พบหน้าสาวในดวงใจที่เอาเชื้อโรคมาติดเขาแล้วหายตัวไปตอนนาฬิกาตีบอกเวลาเที่ยงคืนอย่างกับนังซิน มันช่างเป็นการกระทำอันแสนโหดร้ายเลือดเย็น!
“คุณฉีดวัคซีนหรือยัง?”
“ฉีดแล้วค่ะสองเข็ม... สปุตเซอร์”
“ว้าว... อภิสิทธิ์ชน?”
“ฉันถือสัญชาติอเมริกันค่ะคุณแม่เกิดที่นั่น ชาวต่างชาติได้รับวัคซีนผ่านหลายช่องทางผ่านกระทรวงต่างประเทศ...”
“พาไปฉีดบ้างสิ”
ประโยคนี้เปมนีย์ได้ยินอยู่บ่อยครั้งจากหนุ่มมากหน้าหลายตาที่เข้ามาทอดสะพานให้เธอเฉพาะช่วงเกิดโรคระบาด เธอเบ้ปากใส่เขาด้วยความแค้นลึก ๆ สุดกันบึ้งหัวใจ
“คุณตาณบอกว่ารวยล้นฟ้าไม่ใช่หรือคะ? แค่วัคซีนดี ๆ คนรวยอย่างคุณคงจองได้อยู่... นะคะ”
