บท
ตั้งค่า

โชคชะตาลิขิต

5

โชคชะตาลิขิต

“ข้าเคารพรองแม่ทัพต่งมานาน ได้เห็นว่าเจ้าเป็นบุตรสาวของนางจึงมีความคิดอยากจุดธูปไหว้นางหน่อยได้หรือไม่” ซูเหวินมองหน้าผู้พูดด้วยความงุนงง เหตุใดนางจึงกล่าวพิกลเช่นนี้ มีผู้ใดกันเดินเข้าบ้านผู้อื่นขอไหว้ผู้ล่วงลับ พอเห็นผู้เป็นนายเดินมาองครักษ์ก็หลบไปอยู่ข้างประตูหลีกทางให้ผู้เป็นเจ้านาย

“เจ้าเป็นผู้ใด เหตุใดมาโหวกเหวกหน้าจวนผู้อื่นเช่นนี้ แปลกยิ่งนัก”

“ข้าองค์หญิงหนิงเอ๋อ”

“ข้าจะแน่ใจได้อย่างไรว่าเจ้าเป็นองค์หญิง” ซูเหวินกล่าวขณะเดินไปยืนอยู่ตรงหน้าสตรีที่แสร้งปลอมตัวเป็นชาย มองนางอย่างชั่งใจแปดในสิบส่วนเชื่อไปแล้วว่านางเป็นองค์หญิง คิดว่าหากนางตั้งใจหลอกจริงคงไม่กล้ามาถึงจวนเช่นนี้

“หน้าข้าเจ้าคงไม่เคยเห็น แต่คงรู้จักป้ายหยกตระกูลไป๋นี่ใช่หรือไม่” สตรีอายุน้อยกว่ายื่นป้ายหยกขาวสลักคำว่าไป๋ ดูก็รู้ว่าเป็นของในวังอย่างแน่นอน แต่นางกลับคิดว่าแปลกอยู่ดี องค์หญิงหนิงเอ๋อผู้ไม่เคยสนใจงานรื่นเริง งานของสตรีในวังเลย อยู่ ๆ มาหน้าจวนเช่นนี้

“ถวายบังคมองค์หญิง”

“ไม่ต้องมากพิธี หากเจ้ามั่นใจแล้วให้ข้าเข้าไปได้หรือไม่” สาวใช้ องครักษ์ รวมถึงคนงานเฝ้าประตูจวนล้วนพากันตกใจที่นางเป็นองค์หญิงจริง ๆ ซ้ำยังแต่งตัวเช่นนี้อยู่นอกวังอีก

“ทรงมาถึงหน้าจวน หม่อมฉันจะกล้าไม่ต้อนรับได้อย่างไร เชิญองค์หญิง” ซูเหวินผายมือเชิญให้องค์หญิงเข้าจวน เดินผ่านลานหน้าประตูใหญ่ก็พาไปทางลานประลอง ลานประลองร้างผู้คนมีเพียงคนเฝ้าประตูสองคนเท่านั้น

ไม่ว่าจะเป็นผู้ใดยามได้เห็นต้นเฟิงหายากก็ต้องมองจนตาค้าง ความงดงามของลานประลองนั้นยากจะละสายตาจริง ๆ

ซูเหวินเลือกพาองค์หญิงหนิงเอ๋อไปนั่งโต๊ะหินใต้ต้นเฟิง แทนที่จะพาไปยังโถงรับแขก เพราะเห็นว่านางแต่งตั้งเช่นนี้คงไม่เหมาะจะให้ผู้อื่นได้เห็นจึงพานางไปยังลานประลองแทน

“องค์หญิงมาที่นี่ทำไมหรือเพคะ” เมื่อองค์หญิงนั่งลงนางจึงเอ่ยถามพลางไล่หญิงรับใช้ให้ไปนำชามารับแขก ซูเหวินยืนยิ่งอยู่ข้างโต๊ะม้าหินอ่อน อย่างไรสตรีตรงหน้าก็เป็นองค์หญิง สามชาติก่อนนางไม่เคยได้สนิทชิดเชื้อกับองค์หญิงหนิงเอ๋อ เพราะนางเป็นน้องสาวร่วมอุทรขององค์ชายสาม และองค์ชายสามกับองค์หญิงสี่ไม่ค่อยลงรอยกันสักเท่าไร

“ข้าไม่ได้ตั้งใจ ก็แค่ตามมาขอบคุณเท่านั้นที่ก่อนหน้านี้ช่วยข้าเอาไว้ แต่เมื่อรู้แล้วว่าเจ้าเป็นบุตรีรองแม่ทัพต่งจึงอยากรู้จัก เจ้านั่งลงเถอะ” องค์หญิงกล่าวด้วยรอยยิ้มพลางยื่นมือไปตบเก้าอี้หินอ่อนเรียกสองสามที

นางเดินมานั่งอย่างว่าง่าย ไม่ได้นึกเกรงกลัวหรือเกรงใจเพียงแต่อยากหยั่งเชิงนิสัยองค์ญิงผู้นี้ ดูว่านางมีนิสัยเหมือนองค์หญิงหนิงลี่พี่สาวหรือไม่ สองสามชาติก่อนนางมักถูกสตรีผู้นั้นหาเรื่องอยู่เสมอ

“ขอบพระทัยองค์หญิง ซูเหวินเป็นแค่ราษฎรตัวเล็ก ๆ จะมีสิ่งใด้ให้องค์หญิงสนพระทัยกันเพคะ”

“ข้าบอกตามตรงที่จริงก็ไม่ได้อยากรู้เรื่องเจ้าสักเท่าใด ข้าอยากรู้เรื่องมารดาเจ้ามากกว่า อยากรู้ว่านางฝึกวิชาต่อสู้ กลยุทธ์ต่าง ๆ จากผู้ใด”

“เช่นนั้นขอตอบตามตรง ซูเหวินแม้จะเป็นบุตรสาวแต่มารดาไม่ปรารถนาให้ดำเนินรอยตามจึงไม่เคยสั่งสอนวิชาเหล่านั้นให้ มีเพียงรำกระบี่เท่านั้นที่มารดาสอน หากจะให้บอกว่าอาจารย์ของท่านแม่เป็นใครก็คงจะเป็นท่านตา ซึ่งทั้งสองไม่อยู่แล้วเกรงว่าจะมาสอนองค์หญิงไม่ได้”

“น่าเสียดาย เจ้าว่าข้าพอจะเป็นอย่างรองแม่ทัพต่งได้หรือไม่ ข้าชื่นชมนางยิ่งนัก ภายหน้าก็อยากเป็นวีรสตรีเช่นนาง” องค์หญิงพูดไปเรื่อยเปื่อยราวกับกำลังบอกเล่าเรื่องชีวิตให้สหายอย่างไรอย่างนั้น เมื่อรู้ว่าต่งซูเหวินเป็นบุตรสาวรองแม่ทัพต่งอคติในใจก็ลดลง กลายเป็นสบายใจจะพูดคุยกับนางทั้งที่นางไม่เข้าหาผู้อื่นก่อน

“องค์หญิง...”

“ขอโทษ ข้าไม่ค่อยมีเพื่อน เมื่อมีคนให้พูดด้วยจึงลืมตัวไป อีกทั้งเจ้าดูไม่เหมือนบุตรสาวผู้สูงศักดิ์คนอื่น ๆ พวกนางมักประจบข้าเพราะรู้ว่าข้าเป็นลูกที่ฮ่องเต้โปรดปราน” แม้จะกล่าวขอโทษแต่นางก็ยังคงเล่าเรื่องราวไม่หยุด ชวนให้ต่งซูเหวินขบขัน นางหัวเราะเบา ๆ ให้ท่าทีองค์หญิงหนิงเอ๋อ

สาวใช้เดินถือกาน้ำชามาวางลงบนโต๊ะหินอ่อน พอได้ยินเสียงหัวเราะหญิงสาวผู้มาเยือนจึงหันมองเจ้าของเสียงหัวเราะ แววตางุนงง ขมวดคิ้วแน่น นางคิดตรึกตรองอยู่สักครู่จึงหัวเราะตามเจ้าของจวน

ทั้งที่ตนเองเพิ่งกล่าวขอโทษแต่ยังพูดไม่หยุด เจ้าของบ้านไม่มีโอกาสพูดสักคำ ช่างน่าขันยิ่งนัก

“เจ้าน่าสนใจยิ่งนัก”

“องค์หญิงคิดไปเองกระมัง หม่อมฉันมิได้ทำสิ่งใดเลย”

“เอาเถอะ เอาเป็นว่าข้าถูกใจเจ้านัก เช่นนั้นมาเป็นสหายกันเถอะ”

“เดี๋ยวก่อนองค์หญิง...”

“อย่างไรเราก็เป็นสหายกันแล้ว เจ้ารำกระบี่ให้ข้าดูได้หรือไม่” ครานี้เป็นต่งซูเหวินขมวดคิ้ว นางไม่เคยพบเจอคนเช่นนี้มาก่อนจริง ๆ พูดเองเออเองไปเสียหมดนางยังไม่ได้ตอบตกลงเสียหน่อย แต่กระนั้นนางก็ไม่ได้ดูมีพิษมีภัยหรือร้อยเล่ห์มารยาทเช่นหนิงลี่

“ให้ข้ารำกระบี่ก็มิใช่ปัญหา เพียงต้องเตรียมตัวสักหน่อย แต่นี่เย็นมากแล้วหากรอนานกว่านี้เกรงว่าทางกลับวังขององค์หญิงจะอันตราย”

“ไม่เป็นไรข้ารอได้ หากฟ้ามืดเสียก่อนเดี๋ยวก็มีคนมารับข้าเอง อย่าห่วงเลย” องค์หญิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม ยืนยันว่าจะมืดค่ำเพียงใดก็อย่างดูรำกระบี่ของรองแม่ทัพต่ง บุคคลที่ตนเองนับถือมาแสนนาน ป่านนี้นางยังไม่กลับคนผู้นั้นคงออกมาตามหานางแล้วกระมัง เช่นนี้จะกลัวอันตรายทำไม

ท่านหญิงต่งเตรียมตัวสักพักก็หลันอันฉีก็กระบี่บางสองเล่มเดินตามมา ส่วนหงอิงก็แบกฉินตามมาด้วย

“อันฉี เจ้าเล่นฉินเป็นหรือไม่”

“พอได้ขอรับ”

“เช่นนั้นเจ้าเล่นเพลงที่ข้าเล่นวันประลองได้หรือไม่” นางถามองครักษ์ข้างกายอีกครั้ง พลางยื่นมือไปชักกระบี่บางสองเล่มในมือเขามาถือเอาไว้

หงอิงเดินไปวางฉินลงบนแท่นไม้ข้างโต๊ะหินอ่อนซึ่งอยู่ห่างจากต้นเฟิงไม่มากนัก

“ข้าจะพยายาม” หลันอันฉีกล่าวด้วยความเจียวตัวเดินไปนั่งหน้าฉิน วางฝักกระบี่ลงข้างกาย พอเห็นผู้ร่วมแสดงพร้อมหญิงสาวจึงถือกระบี่เดินไปยืนอยู่ใต้ต้นเฟิง

ชายหนุ่มเริ่มบรรเลงเพลงฉินที่จำได้ไม่เคยลืมวันนั้น เมื่อเขาเริ่มนางก็ขยับร่างกายอ่อนช้อย พริ้วไหวราวกับกลีบดอกไม้ร่วงหล่นจากต้นในฤดูสารท งดงามเพลินตา ประกอบกับแสงตอนพลบค่ำ ทำให้นางยิ่งดูงดงามท่ามกลางการร่ายรำกระบี่

ใบเฟิงถูกลมพัดลมลงใบแล้วใบเล่า ท่วงทำนองเพลงยังคงเล่นไปไม่หยุด การร่ายรำก็ยังอ่อนหวานและแข็งแรงไปพร้อม ๆ กัน

มือยังคงอยู่บนสายฉิน แต่สายตากับจดจ้องอยู่ที่เรือนร่างเพรียวบางไม่วางตา เช่นเดียวกับสายตาอีกคู่ตรงประตูทางเข้าลานประลอง...

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel