องครักษ์คนใหม่
3
องครักษ์คนใหม่
หญิงสาวพาหลันอันฉีเดินตามไปทางโต๊ะหินอ่อนใกล้ลานประลอง ต้นเฟิงต้นใหญ่เริ่มเปลี่ยนจากสีเขียวเหลืองเป็นสีแดง เมื่ออากาศเริ่มเย็นลง ทั่วทั้งจวนสกุลต่งมีแค่ลานประลองนี้เท่านั้นที่มีต้นเฟิงอยู่ แม้จะเป็นช่วงที่ใบกำลังเปลี่ยนสีแต่บนพื้นกลับไม่มีใบเฟิงอยู่เลย
บ่งบอกว่าลานประลองแห่งนี้ถูกดูแลเป็นอย่างดี ไม่ว่านางจะถูกกลั่นแกล้งจากแม่เลี้ยงเท่าใด แต่ลานนี้ไม่เคยถูกละเลย เพราะลานประลองแห่งนี้เป็นความทรงจำของมารดานาง
“ท่านหญิงมีสิ่งใดจะสั่งข้าหรือ” หลันอันฉีถามเสียงเข้ม ไม่มีได้ก้าวร้าวรุนแรง เพียงเป็นเอกลักษณ์ของบุรุษเท่านั้น พ่อบ้านพยักหน้าให้หลังจากท่านหญิงต่งมองหน้าครู่เดียว เขาเดินปลีกตัวออกไปปล่อยให้นางได้บอกกล่าวคำสั่งแค่ผู้ติดตามคนใหม่
“ข้ามิได้ต้องการองครักษ์เก่งกาจเท่านั้น แต่ข้ายังอยากได้องครักษ์ฉลาดเฉลียวอีกด้วย และเจ้าเป็นผู้เดียวที่เอ่ยทักทำนองฉินของข้า เหตุใดจึงทักเพลงฉินแทนที่จะถามหัวข้อการประลองต่อไปเล่า” ต่งซูเหวินถามเสร็จก็นั่งลงบนหินอ่อนสีเดียวกับหยก รอฟังคำตอบจากหลันอันฉี
“นี่ลานประลอง คงไม่มีผู้ใดนำเครื่องดนตรีมาเล่นที่นี่หากไม่มีเหตุผล เช่นนั้นข้าจึงรู้สึกว่าทำนองฉินนี้อาจเกี่ยวกับหัวข้อการประลองต่อไป ข้าเคยฟังเพลงนี้แต่ไม่ใช่ทำนองที่เศร้าสร้อยเช่นนี้จึงพลั้งปากออกไป” หลันอันฉีกล่าวจบนางก็แย้มยิ้มด้วยใบหน้าพอใจ เช่นนี้นางจึงบอกว่าอยากได้ผู้ที่ฉลาดเฉลียวพอจะสงสัยสิ่งเล็กน้อยอย่างไรเล่า
“เช่นนี้ข้าจึงเลือกเจ้าอย่างไรเล่า เพราะเจ้าเฉลียวกว่าผู้อื่น พอใจคำตอบของข้าหรือไม่”
“ขอบคุณคุณท่านหญิงต่ง”
“เรียกข้าว่าคุณหนูเหมือนหงอิงเถอะ หากเจ้าไม่มีสิ่งใดสงสัยก็ให้หงอิงพาไปดูห้องพัก ยามโหย่วค่อยไปหาข้า หงอิง...” พอสั่งองครักษ์คนใหม่เสร็จนางก็ให้หงอิงพาเขาออกไปพัก ทำแผลตามเนื้อตัวเสียก่อน รอยามโหย่วค่อยออกไปหาเรื่องทำให้คนวุ่นวาย
ชายหนุ่มเดินถือห่อผ้าตนเองตามหงอิงออกประตูข้างไปยังเรือนด้านข้าง ซึ่งเป็นเรือนคุณหนูของบ้านซึ่งก็คือนาง ส่วนตัวนางเองยังคงนั่งมองต้นเฟิงต่อไป
มารดานางเป็นวีรสตรีแต่ชีวิตบุตรสาวกลับน่าขันนัก เพราะเห็นมารดาให้บิดามีอนุภรรยา ในชาติก่อน ๆ นางจึงยอมเป็นอนุภรรยาเพราะรักองค์ชายสี่ฟังใจ ทั้งบิดาก็เห็นดีเห็นงามด้วย เห็นบิดามีความสุขนางก็ดีใจจึงแต่งเป็นอนุภรรยาถึงสามชาติ
แต่พอนางแต่งเป็นอนุภรรยาแล้วบิดากลับบอกว่าหากนางหย่าห้ามกลับสกุลต่ง เช่นนี้นางจึงจำต้องทนไป เมื่อย้อนเวลามาครานี้นางจะขัดใจทุกคนสนใจเพียงอนาคตกับความสุขตนเองเท่านั้น
สิ่งใดไม่เคยทำ ไม่เคยกล้า นางจะเปลี่ยนมันให้หมด...
“คุณหนูท่านจะไปที่ใดหรือเจ้าคะ หงอิงไม่เคยเห็นคุณหนูออกจากจวนหลังยามเซิน” หงอิงถามขณะที่เดินตามผู้เป็นเจ้านายออกจากจวนในยามโหย่ว คุณหนูของนางเป็นสตรีอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือนไม่ค่อยออกไปที่ใด หากไม่ใช่งานที่จัดขึ้นในวัง นอกจากจะออกจากจวนในยามโหย่วคุณหนูของนางยังจัดหาองครักษ์มาด้วย
แต่ถึงจะถามไปคุณหนูไม่อยากตอบนางก็ไม่ได้คำตอบอยู่ดี ทั้งสามเดินมาจนถึงร้านเครื่องประดับตระกูลซู ตระกูลของชายาเอกในชาติก่อน นางมาเพื่อสืบข่าวและหาเรื่องวุ่นวายให้ซูซิงเยียน
นางสาบานกับตนเองว่าจะก่อกวนซูซิงเยียนไม่ให้นางได้มีความสุขไปตลอดชีวิต...
“คุณหนูอยากซื้อเครื่องประดับใหม่หรือเจ้าคะ” หงอิงถามเสียงใส ช่างเป็นสาวน้อยที่ไร้เดียงสาเสียจริง ซูเหวินคิดเช่นนั้นจากนั้นยิ้มให้สาวใช้ตนเอง ค้อมตัวลงยื่นหน้าไปหานาง กระซฺบเบา ๆ ด้วยรอยยิ้มร้ายกาจ “ข้าอยากมาสร้างความวุ่นวาย”
“คุณหนู! คุณหนูพูดสิ่งใดกันเจ้าคะ”
“อันฉี เจ้ายินดีทำตามที่ข้าสั่งหรือไม่” หลันอันฉีขมวดคิ้วเล็กน้อย จ้องหน้านางถึงจะสงสัยแต่เขาจะไม่ปฏิเสธคำสั่งของผู้เป็นเจ้านาย
“คุณหนูเชิญสั่ง”
“ดี เช่นนั้นเจ้าลองไปสืบดูสิว่าร้านตระกูลซูติดต่อค้าขายกับผู้ใดบ้าง” องครักษ์หนุ่มรับคำเดินจากไปทำตามคำสั่งของผู้เป็นนายแม้จะยังนึกสงสัย ก่อนนี้นางยังกล่าวว่าจะสร้างวุ่นวายอยู่แท้ ๆ
“เราเข้าไปดูเครื่องประดับสักหน่อยดีกว่าหงอิง”
“คุณหนูจะดูเครื่องประดับใหม่หรือเจ้าคะ”
“ไปดูลาดเลา” นางว่าจบก็เดินนำหงอิงเข้าไปในร้านเครื่องประดับตระกูลซู ภายในร้านมีเครื่องประดับงดงามมากมายให้เลือกชม ทั้งพู่ห้อยกระบี่ หยกห้อยเอว ปิ่นปักผม
ซูเหวินแสร้งเดินเลือกพู่ห้อยกระบี่อยู่สักครู่ เถ้าแก่ของร้านจึงเดินเข้ามาถามไถ่ ดูแลตามประสาผู้ดูแลร้าน
“คุณหนูท่านตาถึงมาก พู่ห้อยกระบี่นี้ทั่วทั้งเมืองมีเพียงร้านของเราเท่านั้น”
“เช่นนี้เอง ข้าตามหาพู่ห้อยที่ถูกใจมาทั่วทั้งตรอกจึงถูกใจเพียงของในร้านเถ้าแก่”
“คุณหนูตาถึงยิ่งนัก เครื่องประดับของร้านเราไม่มีผู้ใดไม่รู้จัก ทุกสิ่งทุกอย่างร้านใดไม่มีร้านของเรามีทุกสิ่ง”
“เช่นนี้ คุณหนูซูเข้าร้านบ้างหรือไม่ ข้าได้ยินว่านางมีสายตาเฉียบแหลม อยากให้คุณหนูซูดูสักหน่อยว่าหยกชิ้นใดเหมาะกับข้า”
“เกรงว่าคุณหนูคงต้องรอนาน คุณหนูซูเพิ่งมาที่ร้านไปเมื่อสองวันก่อน นางจะมาอีกครั้งต้นเดือนหน้า”
“เช่นนั้นวันนี้คงต้องเอาไปแต่พู่แล้วกระมัง”
นางแสร้งเอ่ยวาจาด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน ฝ่ามือเรียวหยิบพู่ห้อยเอวสีเดียวกับท้องฟ้าหลังฝนที่งดงาม เดิมทีเพียงอยากหลอกถามข่าวคราวเท่านั้น แต่เมื่อได้จับมาถือเอาไว้จึงนึกถึงกระบี่บางของมารดา
“คุณหนู พู่นี่ให้ข้าใส่กล่องให้นะขอรับ” นางยื่นพู่ห้อยกระบี่ให้เถ้าแก่นำไปใส่กล่อง ลับหลังเถ้าแก่ผู้ดูแลร้าน สาวใช้คนสนิทจึงมากระซิบถาม
“คุณหนูจะซื้อไปให้ผู้ใดเจ้าคะ ท่านไม่ใช้กระบี่เสียหน่อย อีกอย่างคุณหนูบอกว่าจะเข้ามาดูลาดเลามิใช่หรือ”
“ข้าไม่ใช่กระบี่แต่มิใช่ไม่มีกระบี่ ข้าไม่ใช้ให้อันฉีก็ย่อมได้ เจ้าจะกังวลไปทำไม หงอิงของไม่กี่ตำลึงเท่านั้น”
