บท
ตั้งค่า

หน้าที่คือต้องปกป้อง

9

หน้าที่คือต้องปกป้อง

หลังกลับจากเรือนฝั่งขวาต่งซุเหวินก็เดินกลับไปที่เรือนฝั่งซ้ายซึ่งเป็นเรือนของตนเอง ท่าทีสบายใจ อารมณ์ดียิ่งนัก หลายชาติก่อนนางไม่เคยเถียงหรือมีท่าทีเช่นกับผู้อื่นมาก่อน พอได้ลองแล้วรู้สึกดีไม่น้อย เช่นนี้นี่เองสองแม่ลูกนั่นจึงมักมาหาเรื่องนางอยู่บ่ายครั้ง

และที่สำคัญยามนี้นางมีคนคอยดูแลปกป้อง มันทำให้นางยิ่งสบายใจมากขึ้นไปอีก ตัวนางเองไม่มีกำลังจะไปสู้กับใครมีเพียงมันสมองเท่านั้น พอได้หลันอันฉีมาราวกับมีมือมีเท้าเพิ่ม โชคดีเสียจริงที่เลือกเขามา

“อันฉี”

“ขอรับคุณหนู” ชายหนุ่มรีบเดินเร็วมายืนขนาบข้างกายนางเพื่อรอฟังคำสั่ง นางมองหน้าเขาอยู่สักพักจึงยิ้มออกมา รอยยิ้มงดงามสดใสทำให้คนที่มองใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นมา

“เจ้าไม่สบายหรือเหตุใดหน้าจึงแดงเช่นนนี้” นางยกมือขึ้นแตะหน้าผากองครักษ์ตรงหน้า ด้วยความตกใจอันฉีก้าวถอยหลังทันทีที่ฝ่ามือเล็กแตะลงบนหน้าผากตน

“ข้าไม่เป็นอะไร คุณหนูมีสิ่งใดจะสั่งหรือไม่”

“เจ้าไม่กลัวถูกลงโทษหรืออย่างไร เมื่อวานก็ท่านพ่อ วันนี้ก็ยังต่งซูหนี่อีก”

“ข้ามีหน้าที่ปกป้องคุณหนู ถึงตายก็ต้องปกป้องนั่นคือหน้าที่ของข้า” หลันอันฉีกล่าวด้วยความเด็ดเดี่ยว เขาหมายความอย่างที่พูดจริง ๆ ไม่ว่าอย่างไรเขาก็จะปกป้องนาง ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นผู้ใดก็ตาม พอได้ยินองครักษ์พูดเช่นนั้นต่งซูเหวินก็ยิ่งรู้สึกสบายใจ หลังมารดากับท่านตาตายไปนางมีเพียงหงอิงที่คอยอยู่เคียงข้าง แต่นางเป็นสตรีไม่สามารถสู้แรงคนมากได้จึงมักถูกรังแกไปพร้อมผู้เป็นนายเช่นนางด้วย

“โชคดีนักที่ข้าเลือกเจ้า”

“เป็นโชคดีของข้าน้อยที่คุณหนูเลือก”

“เจ้าปกป้องข้า ข้าก็จะปกป้องเจ้าเช่นกัน เราจะดูแลกันไปตลอดชีวิต” นางบอกองครักษ์ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม หลันอันฉีเองก็อมยิ้มกับคำพูดนั้นของนายหญิงตนเอง เมื่อพูดกับองครักษ์เสร็จก็หันไปยิ้มให้หงอิงที่ยืนอยู่ด้านหลัง

“อันฉีเจ้ากับหงอิงรอข้าหน้าประตูวัง” ต่งซูเหวินบอกกันสาวใช้และองครักษ์ ขณะเดินลงจากรถม้า นางรับปากกับองค์หญิงหนิงเอ๋อเอาไว้ว่าจะมาสอน จึงเลี่ยงไม่ได้จำใจต้องออกมาจากจวนตั้งแต่เช้า

เพราะที่ที่นางไปเป็นวังหลวงจึงมิอาจพาคนนอกเข้าไปด้วยได้

“เจ้าค่ะคุณหนู” หงอิงรับคำ ส่วนหลันอันฉีพยักหน้าให้แทน เขาตั้งใจจะเดินไปส่งนางถึงหน้าประตูแต่ถูกห้ามไว้ นางเดินไปหน้าประตูเพียงลำพังหยิบหยกสลักออกมายื่นให้ทหารยามเฝ้าประตูดู นางไม่เพียงไม่ได้เข้าไปยังถูกว่าแอบอ้าง

“พวกเจ้าเป็นทหารเฝ้าประตู เหตุใดไม่รู้ว่านี่เป็นป้ายหยกขององค์หญิง” หญิงสาวถามทหารยามเสียงดัง เมื่อตนเองถูกเข้าใจผิดว่าแอบอ้าง แล้วยังไม่คิดจะฟังนางอีกด้วย คิดว่าทหารเหล่านี้คงเป็นทหารใหม่กระมังจึงไม่รู้จักเธอ

“คารวะ หลิงซือฝู” ทหารยามหน้าประตูพากันกล่าวทักบุรุษด้านหลังนาง ซูเหวินหันกลับไปมอง ใบหน้ายังอยู่ในอารมณ์ไม่สู้ดี องค์หญิงบอกกับนางว่าป้ายนี้สามารถผ่านเข้าวังได้เลยแต่นางกลับถูกกักไว้ตรงนี้

“เหตุใดจึงไม่ปล่อยให้ท่านหญิงเข้าไป” หลิงซือฝูกล่าวด้วยน้ำเสียงเข้ม นางได้ยินชื่อเขามาไม่น้อยแต่ไม่เคยพบหน้าเลยสักครั้ง พอเขากล่าวจบนางจึงหันกลับไปมองเพราะนางกับเขาไม่เคยพบกัน เหตุใดเขาจึงรู้จักนาง แม้เห็นจากด้านหลังยังบอกได้ว่าเป็นนาง

หลิงซือฝูเป็นอาจารย์สอนองค์ชายทุกพระองค์ เชี่ยวชาญทุกแขนงวิชา อายุเท่ากับองค์ชายใหญ่ที่ล่วงลับไปแล้วหลายปี และเป็นผู้ที่ฮ่องเต้ทรงโปรดไม่ต่างจากองค์ชายใหญ่ เป็นทั้งที่ปรึกษา ในบางคราไม่ต่างจากบุตรชาย ถึงกับมีผู้คนร่ำลือกันว่าหากเขาเป็นบุตรชายตำแหน่งรัชทายาทคงมิต้องห่วง

เช่นนี้เขาจึงสามารถเข้าออกวังหลวงได้ตลอด เป็นที่เกรงใจของบรรดาขุนนางมากมาย เพียงแต่นางไม่เคยพบเจอเขา พิธีแต่งงานของนางไม่มีผู้คนหลังแต่งงานก็ไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปที่ใด

“คารวะหลิงซือฝู” นางกล่าวทักบุรุษตรงหน้าด้วยท่าทางอ่อนน้อม หลังจากเงยหน้าขึ้นจึงพบว่านางเคยพบเขามาก่อนเพียงไม่รู้ว่าเขาคือหลิงซือฝู

ใบหน้าหล่อเหลาราวหยกสลัก ดวงตากลมโต ปากเรียวเล็กสีอ่อน ดูอ่อนโยน สะอาดสะอ้าน นางเคยพบเขาเมื่อหลายวันก่อนในงานชมโคมไฟ เพียงไม่รู้จักเขาเท่านั้น

“คารวะท่านหญิง เหตุใดมายืนอยู่ตรงนี้” นางยืนมองบุรุษตรงหน้าไม่ขยับเขยื้อนไปไหน แม้เขาจะเอ่ยจบนางก็ยังไม่รู้ตัว คืนนั้นนางรีบจนไม่ทันได้สังเกตว่าเขาเป็นผู้ใด อีกทั้งคืนนั้นมืดจนเห็นไม่ชัดแต่นางจำได้ในทันทีเพราะความงดงามเช่นนี้เห็นได้ไม่บ่อยนัก

“ท่านหญิง”

“ขออภัยหลิงซือฝู เมื่อครู่ท่านถามว่าอย่างไรหรือซูเหวินไม่ทันได้ฟัง”

“ข้าถามว่าท่านหญิงมาทำสิ่งใดที่นี่”

“ซูเหวินมาเพื่อสอนองค์หญิงรำกระบี่ องค์หญิงทรงประทานหยกสลักนี่เพื่อให้ผ่านประตู แต่ทหารยามกลับบอกว่าไม่เคยเห็นจึงไม่ให้ข้าเข้าไป” นางกล่าวจบทหารยามก็วางหยกสลักบนฝ่ามือของหลิงซือฝู เขาลูบคลำบนผิวหยกแผ่วเบาจึงยื่นคืนให้สตรีตรงหน้า

“เหตุใดพวกเจ้าเสียมารยาทต่อท่านหญิงเช่นนี้ หยกนี่เป็ฯขององค์หญิงหนิงเอ๋อ” ทหารยามทั้งสองหน้าซีดขึ้นมาเมื่อถูกหลิงซือฝูต่อว่า คงเกรงว่าเขาจะนำความนี้ทูลต่อองค์จักรพรรดิ

“ขออภัยท่านหญิงเจียวจ้าน ข้าน้อยมีตาหามีแวว”

“ช่างเถอะ รู้ความจริงก็ดีแล้ว เช่นนั้นข้าไปได้หรือยัง ป่านนี้องค์หญิงรอนานแล้วกระมัง”

“เชิญท่านหญิง เชิญหลิงซือฝู” ทหารยามกล่าวรีบพยักหน้าผายมือเชิญให้ทั้งสองเดินเข้าไปด้านในอย่างรีบร้อน เกรงถ่วงไว้นานจะถูกกล่าวโทษจากหลิงซือฝู

“เชิญท่านหญิง” นางเดินนำชายหนุ่มเข้าไป เขาเดินตามนางไปไม่ห่าง เดินไปไม่ไกลก็หยุดเดิน หันซ้ายหันขวาราวกับไม่รู้ว่าจะไปทางไหน

“ท่านหญิง มีสิ่งใดให้ข้าช่วยหรือไม่”

“ซูเหวินเข้าวังแต่เด็กเคยไปเกือบทุกที่เพียงแต่ไม่เคยไปตำหนักองค์หญิง ไม่รู้ว่าต้องไปที่ใด หลิงซือฝูพอจะช่วยบอกได้หรือไม่”

“เช่นนั้น ท่านหญิงตามข้ามาเถอะ” หญิงสาวค้อมตัวแทนคำขอบคุณ เดินเคียงข้างหลิงซือฝูไปจนถึงทางเข้าตำหหนักองค์หญิง ตำหนักองค์หญิงอยู่ใกล้ลานฝึกกระบี่ของเหล่าองค์ชาย

องค์หญิงชื่นชอบการการขี่ม้า ยิงธนู ฝ่าบาทจึงสั่งให้ทำลานด้านข้างเป็นลานฝึกกระบี่ ตอนหลังเหล่าองค์ชายเห็นว่าใกล้กับที่เรียนจึงใช้ลานนี้ในการร่ำเรียนกระบี่

“ขอบคุณหลิงซือฝู”

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel