บท
ตั้งค่า

ข้าขอเลือกเอง

1

ข้าขอเลือกเอง

ผ่านไปกว่าครึ่งชั่วยามฮ่องเต้เสด็จมายังอุทยานเพื่อเข้าร่วมงานชมโคมไฟ เนื่องจากบ้านเมืองอยู่ในยามสงบ องค์จักรพรรดิจึงให้จัดงานเฉลิมฉลองให้ราษฎรได้ผ่อนคลาย และให้องค์ชายได้ทำความรู้จักกับบรรดาคุณหนูสูงศักดิ์จากหลากหลายตระกูล

“ถวายบังคมฮ่องเต้/กุ้ยเฟย” ทั้งคุณหนู คุณชาย เชื้อพระวงศ์ต่างพากันทำความเคารพเจ้าครองแคว้นที่เพิ่งเสด็จมา องค์จักรพรรดิในวัยกลางคนส่งยิ้ม โบกมือให้ทั้งหมดทำตัวตามสบาย กระทั่งพระองค์เดินไปนั่ง

“ขอบพระทัย” ทุกคนพากันขยับไปนั่งเมื่อพระองค์ทรงอนุญาต

“เรามาดูครู่เดียวก็จะกลับแล้ว พวกเจ้าตามสบาย”

“เซียวกงกงเริ่มงานเถิด ข้าอยากเห็นนักว่าผู้ใดจะวาดโคมได้งดงามที่สุด” ฮ่องเต้กล่าวจบ ฮองเฮาจึงหันไปสั่งให้เซียวกงกงเริ่มการวาดโคมรูปลงบนโคมกระดาษ ผู้ตัดสินย่อมเป็นฮ่องเต้และกุ้ยเฟย ฮ่องเฮาของแคว้นสิ้นพระชนม์ไปเมื่อสองปีก่อน เนื่องจากตรอมใจที่บุตรชายป่วยตายไปเมื่อสามปีก่อน บัดนี้ตำแหน่งฮ่องเฮาจึงยังว่างอยู่

ว่ากันว่าหากองค์ชายองค์ใดได้ขึ้นเป็นไท่จื่อพระมารดาจะถูกแต่งตั้งเป็นฮ่องเฮาเช่นเดียวกัน ทุกครั้งที่มีงานรื่นเริงฮ่องเต้จะทรงพาหวงกุ้ยเฟยและกุ้ยเฟยมาร่วมกัน เพียงแต่วันนี้หวงกุ้ยเฟยประชวร ทำให้มีเพียงฮ่องเต้กับกุ้ยเฟยเท่านั้น 

“เชิญท่านหญิง คุณหนู คุณชายที่อยากร่วมวาดภาพแจ้งแก่นางกำนัลข้างกายได้เลย” เซียวกงกงว่าจบบรรดาผู้ที่อยากร่วมแข่งขันก็หันไปสั่งนางกำนัลให้เตรียมหมึก พู่กัน โคมกระดาษ

ผู้ร่วมงานชมโคมไฟจำนวนมากแต่ผู้ที่อยากลงแข่งมีไม่มากนัก ของถูกเตรียมอย่างรวดเร็ว ภายในเวลาเพียงหนึ่งเค่อ บรรดาผู้ร่วมแข่งก็ได้เริ่มวาดหมึกลงบนโคมกระดาษ ในอุทยานมีการร่ายรำของสาวงามให้ชมระหว่างรอการวาดโคมเสร็จสิ้น

ผู้ร่วมแข่งวาดภาพในวันนี้มีเพียงหกคนเท่านั้น ทุกคนล้วนเป็นสตรี ไม่มีบุรุษร่วมลงแข่งเลย เพียงแต่นั่งมอง ยืนมองกันในที่ของตนเท่านั้น

เวลาครึ่งชั่วยามผ่านไป โคมกระดาษก็ถูกนางกำนัลทั้งหกยืนถือไว้ตรงหน้าให้องค์ฮ่องเต้ได้ทอดพระเนตร ภาพทุกภาพบนโคมล้วนแต่งดงามวิจิตรทั้งสิ้น ภาพทุกภาพล้วนวาดเป็นดอกเหมยทั้งสิ้น มีเพียงหนึ่งในหกภาพเท่านั้นที่ต่างจากภาพอื่น

“โคมดวงที่สามเป็นของผู้ใด” องค์จักพรรดิทรงตรัสถามเมื่อได้ทอดพระเนตรโคมทุกดวงแล้ว นางกำนัลที่ถือโคมกระดาษอยู่ค้อมตัวให้องค์จักรพรรดิจากนั้นหันกลับไปชูโคมให้เจ้าของดูว่าเป็นโคมของผู้ใด

“หม่อมฉันเพคะ” ต่งซูเหวินลุกยืนค้อมตัวลงเล็กน้อย ตอบองค์จักรพรรดิด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล เมื่อเห็นว่าเป็นโคมของผู้ใดฮ่องเต้ก็ทรงแย้มพระโอษฐ์พร้อมพยักหน้าเล็กน้อย

“ที่แท้ก็เป็นเจ้า งดงามนัก ผู้อื่นล้วนวาดดอกเหมยเหตุใดเจ้าจึงวาดไม่เหมือนผู้อื่น ภาพนี้มีความหมายอย่างไร” ผู้อื่นล้วนวาดทิวทัศน์ในยามนี้ แม้ไม่เหมือนกันทั้งหมดก็คล้ายกันแปดในสิบส่วน

ภาพดวงตะวันกลมโต ส่องแสงให้ผู้คน ต้นไม้ แม้แต่สัตว์เล็กสัตว์น้อย ภาพของนางจึงสะดุดตามากกว่าทุกภาพ

“ภาพของหม่อนฉันมีความหมายถึงพระองค์เพคะ”

“ข้าหรือ เหตุใดข้าจึงเป็นข้า” องค์จักรพรรดิถามอย่างสงสัย สีหน้าตั้งอกตั้งใจ รอฟังคำตอบของนาง

“พระองค์คือดวงตะวันเพียงหนึ่ง แม้ในยามหนาวเหน็บก็มอบความอบอุ่นให้ ในยามมืดมนก็มอบแสงสว่าง พระองค์ทรงเป็นทุกอย่างให้ราษฎรหากมีพระองค์บ้านเมืองย่อมสงบสุขรุ่งเรืองเพคะ ราษฎรเช่นเราหวังเพียงให้ดวงตะวันอยู่บนฟ้ามอบแสงสว่างและความอบอุ่นให้บ้านเมืองไปแสนนาน” นางกล่าวจบก็ประสานมือ ค้อมตัวรับให้พระองค์

“ดี ดีมาก เราชอบ ไม่เสียแรงที่เป็นคนสกุลต่ง” ฮ่องเต้ทรงสรวลเสียงดัง ชอบใจความหมายภาพวาดของนางยิ่งนัก เพราะมันไม่ได้มีเพียงความหมายที่ดี แต่กลับวิจิตรงดงามทั้งที่ใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วยามเท่านั้น

“ขอบพระทัยเพคะ”

“เจ้าเห็นด้วยหรือไม่กุ้ยเฟย”

“เพคะ ฝ่าบาทงดงามและมีความหมายยิ่งนัก เห็นทีคงไม่ต้องประกาศผู้ชนะแล้วกระมัง” กุ้ยเฟยกล่าวเสียงอ่อนโยน พลางเทสุราใส่จอกให้ฮ่องเต้

“เช่นนั้นก็ดี เจ้าต้องการสิ่งใดบอกมาเถิด”

“ซูเหวิน ขอบังอาจทูลฝ่าบาท เนื่องจากซูเหวินขาดมารดาแต่เด็กไม่มีผู้ใดคอยดูแลเรื่องออกเรือน จึงอยากทูลขอพระองค์ทรงอนุญาต เรื่องการออกเรือนขอให้ซูเหวินสามารถควบคุมได้ด้วยตนเอง ผู้อื่นไม่สามารถบังคับได้” หลังจากนางกล่าวจบทั้งอุทยานเงียบสงัดไม่มีเสียงผู้ใดเอ่ยออกมา กระทั่งเสียงเครื่องดนตรีก็หยุดบรรเลงเช่นกัน เรื่องนี้ไม่เคยมีผู้ใดกล้ากราบทูลมาก่อน บุรุษหลายคนต่างจ้องมองนางด้วยท่าทีตกใจ แต่ก็มีบุรุษถึงสามคนมองนางด้วยท่าทีชื่นชม

“ได้ เราอนุญาต เจ้าเป็นบุตรสาวแม่ทัพต่ง ท่านตาและมารดาเจ้าช่วยเรากอบกู้บ้านเมืองจนต้องสิ้นชีพไป หากเจ้าไม่มีความสุขเราก็ยากสงบใจ ขอเพียงเจ้าต้องการหากขาดเหลือสิ่งใดบอกข้า ถือเสียว่าข้าเป็นญาติผู้ใหญ่คนหนึ่ง” หนึ่งในผู้ที่ชื่นชมนางก็คือองค์จักรพรรดิ ด้วยความเป็นคนจิตใจสูงส่ง มีคุณธรรม พระองค์จึงมีจิตคิดถึงสกุลต่งอยู่เสมอ เป็นไปได้ก็อยากให้นางได้อภิเษกกับองค์ชายสักองค์

แต่ก็ยังนึกถึงความสุขของนางเลยมิอาจบังคับนางได้...

“ซูเหวินขอบพระทัยฝ่าบาท”

“หรือเจ้าถูกใจบุรุษคนใด ข้าจะเป็นธุระให้เอง”

“ยังเพคะ ซูเหวินเพียงกลัวว่าวันข้างหน้าอาจได้ออกเรือนกับผู้ที่ไม่ได้รักชอบกันเท่านั้น” นางรู้ว่าพระองค์ทรงรักใคร่เอ็นดูนางไม่ต่างจากหลานแท้ ๆ แต่สามชาติก่อนเป็นนางที่ดึงดันอยากเป็นชายารองเอง

“เอาเถิด ทุกท่านเชิญดื่มกินกันให้เต็มที่”

หลังจากฮ่องเต้ทรงไปจากอุทยานจัดเลี้ยง บรรดาผู้ร่วมงานก็ทยอยกันกลับ บางคนยังนั่งดูการร่ายรำ ร่ำสุรา ส่วนซูเหวินพอฮ่องเต้กลับ นางก็ตั้งใจปลีกตัวออกไปเช่นเดียวกัน

“ท่านหญิง จะกลับแล้วหรือ” ซูเหวินเดินตามนางกำนัลออกจากอุทยาน ตั้งใจจะกลับจวน มัวแต่มองพื้นที่โคมไฟส่องจนไม่ได้มองว่าผู้ใดยืนขวางทางอยู่ นางค่อย ๆ เงยหน้ามองภาวนาในใจอย่าให้เป็นองค์ชายสี่ผู้นั้นเด็ดขาด

“องค์ชายสามนี่เอง ถวายบังคมองค์ชายสาม” ซูเหวินถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก จากนั้นกล่าวทักทายเขาด้วยรอยยิ้ม พอรู้ว่าไม่ใช่องค์ชายหนิงจินก็รีบยิ้มให้อย่างเป็นมิตรทันที

“เหตุใดจึงมีท่าทีโล่งอกเช่นนั้น คิดว่าข้าเป็นผีสางหรือ” องค์ชายถามด้วยรอยยิ้มขบขัน จนนางเองหลุดหัวเราะออกมาเช่นกัน

“จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร องค์ชายมีสิ่งใดจะรับสั่งหรือไม่เพคะ”

“ไม่มี”

“เช่นนั้นซูเหวินขอตัว” แม้จะสงสัยแต่นางไม่อยากกล่าวถาม นางไม่ควรอยู่พูดคุยกับผู้ใดทั้งสิ้น กล่าวลาเสร็จก็เดินอ้อมไปอีกด้าน ไม่ได้มองด้วยซ้ำว่าองค์ชายเดินมากับผู้ใด เห็นเพียงผ่าน ๆ ก็รู้ว่าคนผู้นี้ผิวขาวนวลยิ่งนัก ยามนี้ไม่เหมาะแก่การอยู่ลำพังกับองค์ชายองค์ใดทั้งสิ้น นางจึงรีบปลีกตัวออกมาเสียก่อน

ในที่สุดวันนี้นางก็ไม่ได้อยู่ตามลำพังกับองค์ชายหนิงจิน ถือว่านางแก้ไขวันนี้ได้อย่างดี...

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel