๒ รักหวานชื่น (๒)
“จ่ายแล้วจริงๆ เอา เอาสลิปให้ดูก็ได้...”
การกระทำของเธอไม่มีความหมาย โทรศัพท์ถูกปิดจนตกพื้นก่อนที่ชายทั้งสี่จะเปิดประตูห้องด้วยการถีบจนบานไม้หลุดเพื่อเข้าไปข้างใน
“เข้าไปค้นของมัน!” สั่งเสียงเข้ม ดังจนคนข้างห้องพากันออกมาดู
แต่พอเห็นว่าผู้ชายร่างใหญ่มีปืนในครอบครองก็ไม่มีใครกล้าเข้ามาช่วยสักคน ต่างหลีกหนีหน้าแล้วปิดประตูเข้าห้องเหมือนเดิม เธอรีบเข้าไปขวางแล้วยกมือไหว้อย่างน่าสงสาร น้ำตาไหลเป็นทางด้วยความหวาดกลัวก็ต้องพยายามทำตัวเข้มแข็งเอาไว้
เธอไม่มีสิทธิ์อ่อนแอ!
ต้องเข้มแข็งเพื่อเอาตัวรอดเท่านั้น...
“อย่านะ อย่าเข้าไปนะ!!”
เสียงร้องห้ามของเธอไม่เป็นผล สุดท้ายแล้วคนเหล่านั้นก็เดินเข้ามาในห้องแล้วรื้อของจนกระจัดกระจาย แต่สิ่งที่ทำให้หญิงสาวเจ็บปวดคือตุ๊กตาของหล่อนถูกอีกฝ่ายขว้างลงพื้นไม่ไยดี ถึงมันจะเป็นเพียงนุ่นถูกยัดในผ้านุ่ม แต่สำหรับจิรัศยาแล้วตุ๊กตาคือครอบครัวเดียวของหล่อน
จะทำลายของอย่างอื่นก็ได้ แต่ต้องไม่ใช่ของขวัญชิ้นสำคัญที่มารดาให้ไว้!
“อย่า อย่าทำ” รีบเข้าไปห้ามแต่กลับถูกดันออกมาจนล้มลงบนพื้นแข็ง มือบางไถลไปตามพื้นจนเกิดรอยแดง
“น่ารำคาญออกไป!! หรือมึงอยากจะให้กูเอามึงไปขายซ่องมาใช้หนี้” ถูกตะโกนใส่หน้าเสียงดังจนสะดุ้ง
ความกลัวเกาะกินใจก็ต้องฮึดสู้เพื่อตัวเอง ร่างบางพยายามหยัดกายลุกขึ้นเพื่อห้ามปราม ของทุกอย่างในห้องโดยรื้อจนกระจัดกระจาย แล้วก็ไม่มีใครเข้ามาช่วยหล่อนได้สักคน เพื่อข้างห้องไม่มีความกล้าเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายมีปืน
เหมือนเธอจะทำได้แค่ภาวนาให้มีเจ้าชายขี่ม้าขาวเข้ามาช่วยตัวเอง ดวงตากลมแทบมองไม่เห็นภาพตรงหน้าเมื่อน้ำตาบดบัง จนเธอต้องเช็ดน้ำตาปอยๆ ค่อยเดินเข้าไปห้ามปรามคนกลุ่มนี้ที่ไม่มีความเกรงใจให้กันสักนิด
เธอจ่ายเงินตรงเวลาแล้วยังจ่ายเงินต้นทบดอก ไม่มีขาดสักงวดแถมยังจ่ายเกินอีกต่างหาก เหตุใดจึงไม่เห็นใจกันบ้างเลย
“ไม่ อย่า...” ร้องไห้สะอื้นพยายามเปล่งเสียงที่ขาดหายเพื่อหยุดรั้งคนกลุ่มนั้น เรี่ยวของเธอช่างน้อยนิดเหลือเกิน แค่จะยืนให้มั่นยังทำได้ยาก ถูกผลักอีกครั้งก็ล้มลงนั่งลงบนพื้น มองความวุ่นวายตรงหน้าด้วยความหมดหวัง
เธอช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ แล้วก็ไม่มีใครเข้ามาช่วยในสถานการณ์ที่แสนเลวร้าย สิ่งเดียวที่จิรัศยาทำได้คือร้องไห้แล้วกล่าวโทษในโชคชะตาของตัวเอง
“เกิดอะไรขึ้นน่ะ!”
แต่แล้วกลับมีอัศวินขี่ม้าขาวเข้ามาช่วยจนได้ เขาร้องตะโกนด้วยความตกใจแล้วไล่สายตามองผู้ชายทั้งสี่กับสภาพห้องเละเทะ ค่อยหยุดสายตาที่หญิงสาวเพียงคนเดียวซึ่งกำลังร้องไห้อย่างน่าสงสาร ไม่รอช้ารีบเข้าไปโอบกอดเธอแนบอก
“พี่โมกข์!”
หัวใจอุ่นวาบเมื่อได้เห็นหน้าของคนที่ตัวเองรักมาตลอด
เขามาช่วยเธอแล้ว...เจ้าชายในดวงใจของเจ้าเอย
หญิงสาวกอดเอวสอบเอาไว้แน่นเหมือนต้องการหาที่พึ่ง ร้องไห้ไม่อายกลุ่มชายฉกรรจ์เมื่อรู้สึกว่าตัวเองมีที่พึ่งแล้ว เริ่มมีพลังฮึดสู้ขึ้นมาอีกครั้งโดยไม่ได้สังเกตเลยว่าเจ้าของร่างกายสูงใหญ่ที่เธอกำลังกอด ส่งสัญญาณบางอย่างให้คนที่เข้ามาพังข้าวของหล่อน
“นี่ใคร ผัวมึงเหรอ หน้าตาคุ้น...” เพียงแค่ประโยคแรกที่มันเอ่ยขึ้นหลังจากร่างสูงเข้ามาในห้อง ก็ทำให้เธอกลัวจนต้องรีบปล่อยเขาเป็นอิสระ หันมาเผชิญหน้าแล้วกางแขนเพื่อเป็นการปกป้องโมกข์ ถึงแม้ว่าตัวเองยังจะเอาไม่รอดก็ตาม
แต่ใครจะมาแตะคนที่เธอรักไม่ได้เด็ดขาด!
“อย่ายุ่งกับเขา!” ประกาศกร้าวเสียงหนักแน่น ดวงตากลมวาวโรจน์อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ขนาดร่างสูงเองยังอึ้งกับการกระทำของเธอ แต่ก่อนที่เรื่องจะถูกลากยาวไปมากกว่านี้ เขาเลือกจะถามคนของตัวเองเป็นอันดับแรก
“เอย มีอะไร...ทำไมคนพวกนี้...” เธอยังไม่ทันได้ตอบ ชายหนึ่งในกลุ่มนั้นก็ก้าวเข้ามายืนกลางห้อง พลางจ้องดวงหน้าสวยแล้วแสยะยิ้ม
“เมียมึงติดหนี้พวกกูห้าแสน ไม่สิ พ่อของเมียมึงติดหนี้เสี่ยกูห้าแสน กูก็แค่มาทวงเงินไม่มีอะไรมากหรอก หรือว่ามึงจะจ่ายแทนมัน” จำนวนเงินก็ไม่ได้มากเท่าไหร่สำหรับดาราดัง เขาพยักหน้ารับทราบกำลังจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อโอนเงินจ่าย กลับถูกร่างบางขัดขึ้นเสียก่อน
“เอา เอาไปเลย ฉันมีเท่านี้พวกนายเอาไปหมดเลย” เธอหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมาแล้วยื่นใบสีเทาสองใบให้แก่เจ้าหนี้ มีติดตัวเท่านี้จึงคิดจะประวิงเวลาไปก่อน ทว่าอีกฝ่ายกลับหัวเราะเยาะกับจำนวนเงินอันน้อยนิด
“ฉันจะจ่ายเอง”
เอ่ยเสียงเข้มจนจิรัศยาหันขวับมามองเขา ร้องเรียกชายหนุ่มเสียงดังเหมือนกำลังดึงสติอีกฝ่าย ทว่าเขาได้ตัดสินใจแล้วจึงต้องไปให้สุด
“พี่โมกข์!” ดวงกลมวาวจ้องใบหน้าของอดีตคนรักนิ่ง ส่ายหน้าแล้วจับแขนเขาไว้แน่นไม่ยินยอมให้ชายหนุ่มทำเช่นนั้น มันคือหนี้ของครอบครัวเธอที่ต้องชดใช้เอง ไม่อยากให้ร่างสูงต้องเข้ามาข้องเกี่ยวด้วย
ไม่อยากโดนว่าเกาะเขากินหลังจากครอบครัวล้มละลาย...
ไม่ต้องการพึ่งพาใครอีกแล้ว แต่ดูเหมือนรุ่นพี่สุดหล่อจะไม่ยอมให้เธอรั้งเอาไว้ เขาปลดมือบางแล้วเปลี่ยนเป็นกอบกุมไว้แน่น ยกมือขึ้นมาลูบศีรษะมนแล้วยิ้มให้เธออย่างอ่อนโยน จากที่เคยตัวสั่นเทาด้วยความกลัวกลับถูกความอบอุ่นเข้ามาแทนที่
“เอยรออยู่ที่นี่นะ เดี๋ยวพี่มา” ส่ายหน้าไปมาแล้วกุมมือเขาไว้แน่น
“ไม่นะพี่โมกข์”
“รอพี่นะครับ พี่จะรีบกลับมา” บอกอีกครั้งเพื่อให้หญิงสาวยอมปล่อย แล้วคราวนี้เธอก็ยอมปล่อยมือหนาก่อนจะมองตามแผ่นหลังกว้างที่เดินออกไปคุยกับกลุ่มคนทวงหนี้อย่างอาจหาญ เห็นเพียงทั้งห้ากำลังพูดคุยกันด้วยใบหน้าเคร่งขรึมที่ข้างหอพัก แต่ไม่อาจได้ยินว่าคุยอะไรกันบ้าง
หล่อนเดินเป็นหนูติดจั่นอยู่หน้าห้อง ถือโทรศัพท์เอาไว้แล้วคิดจะโทรหาผู้พิทักษ์สันติราช กลับต้องเปลี่ยนใจตัวเรื่องจะเข้าตัว เมื่อชะเง้อมองทางระเบียงเห็นว่าเขาไม่โดนทำร้าย แล้วอีกฝ่ายก็ไม่ได้มีท่าทีคุกคามคนของตนแต่อย่างใด
“โทรหาตำรวจ...ไม่ๆๆ รอ พี่โมกข์บอกให้รอไงเอย เธอต้องรอนะ ใจเย็นก่อน ใจเย็น...” สูดลมหายใจเข้าก่อนปล่อยออกอย่างเชื่องช้า เธอไม่คิดว่าเขาจะมาช่วยได้ทันเวลาราวกับรู้ว่ากำลังเกิดเรื่องร้ายกับตน
โชคดีเหลือเกินที่เป็นโมกข์...
คิดดังนั้นก็ยิ้มกว้างพลางเช็ดน้ำตาออกจากใบหน้า แค่คิดถึงดวงหน้าคมหัวใจก็อบอุ่นขึ้นมาอย่างน่าประหลาด
เขาคือที่พึ่งพิงและความหวังเดียวของเธอในตอนนี้
