บทที่ 2(3)
ประตูรถฝั่งผู้โดยสารด้านหลังคนขับถูกเปิดออก และผู้มาใหม่ที่รู้สัญญาณเป็นอย่างดีก็ก้าวเท้าเข้าไปนั่งในรถด้วยความประหม่า
“ช้าไปสามนาที” ทันทีที่อริสรานั่งลง เสียงเข้มก็เอ่ยขึ้นโดยที่เจ้าของเสียงนั้นไม่แม้แต่จะหันมามอง เขาเอาแต่สนใจไอแพดบนตักของตัวเองด้วยท่าทางที่สบาย ต่างจากเธอที่ตัวเกรงยิ่งกว่าลูกหมาตอนโดนหมอจับฉีดยา
“ขอโทษด้วยค่ะ พอดีหนูหารถของคุณไม่เจอ”
คุณ…สรรพนามเดียวที่เธอใช้เรียกผู้ชายที่เคยเจอคืนนั้น หญิงสาวไม่แม้แต่จะสืบเสาะหาชื่อเสียงเรียงนามของเขาด้วยซ้ำเพราะไม่คิดว่าต้องมารู้จักกัน
“เรื่องแค่นี้ยังทำไม่ได้ แล้วเรื่องนั้นฉันจะไว้ใจเธอได้ยังไง” เจ้าของนัยน์ตาสีดำสนิทวางอุปกรณ์สื่อสารของตัวเองไว้บนชั้นวางหลังเบาะก่อนจะกอดอกด้วยท่าทางสุขุมแล้วจึงหันหน้ามามองเธอ
“หนูรับปากแล้วว่าจะไม่ทำให้คุณเดือดร้อน หนูไม่เคยบอกใครเรื่องที่เราเจอกันคืนนั้น”
คืนนั้นเธอจำได้ว่าเขาห้ามไม่ให้เธอพูดถึงเขาหลังจากจบงานของตัวเอง ห้ามแอบถ่ายรูป ห้ามเอ่ยชื่อเขาให้ใครฟัง เธอเดาได้ว่าเขาคงไม่ใช่คนธรรมดาหรือไม่ก็คงเป็นเพราะเขามีครอบครัวแล้ว
แน่นอนว่าเธอไม่คิดจะพูดเรื่องที่ตัวเองตัดสินใจผิดพลาดไปทำงานแบบนั้นแน่
“แต่เธอเก็บอาการไม่ได้เวลาเจอฉัน”
“หนูไม่คิดว่าเราจะมาเจอกันอีก”
“โลกมันแคบนิดเดียว”
ผิดมหันต์ เธอคิดว่าโลกมันกว้างเกินกว่าคนสองคนที่เดินคนละทางจะมาเจอกันได้ เธอพยายามไม่ไปไหน ไม่พบเจอผู้คน ตื่นเช้ามาช่วยแม่ ตกเย็นทำขนมเพื่อส่งเช้าวันถัดไป กลางดึกอาบน้ำนอน
ไม่มีทางไหนเลยที่เธอต้องมาเจอคนอย่างเขา นอกจากว่าเขาเองนั่นแหละที่เดินมาหาเธอเอง
“ต่อไปนี้ถ้าเจอคุณ หนูจะหนีให้ไกล”
“แบบนั้นคนจะยิ่งสงสัยหรือเปล่า”
เขาทำท่าทางขบคิดแต่อริสรากลับมองว่ามันดูไม่จริงใจเหลือเกิน เธอไม่ได้รู้จักนิสัยใจคอของเขา แม้แต่ชื่อยังไม่รู้จักแต่กลับ ‘กล้า’ มาเจอเขาลำพังได้ยังไงกัน
“แต่เราไม่ได้มีอะไรกันนะคะ หนูยังไม่ได้ทำอะไรเลย คนที่คุณควรจะระวังต้องเป็นอีกคนที่รับงานแทนหนูหรือเปล่า” เธอเถียงแล้วขมวดคิ้วเข้าหากัน
“ฉันไม่ได้เอาคนที่รับงานต่อ เพราะฉันกังวลว่าเธอมาไม่ดี เธอเป็นคนของใคร วางแผนมาทำลายฉันหรือเปล่า”
อริสราอ้าปากค้างกับความคิดของผู้ชายที่นั่งข้างกัน เขาดูละครหลังข่าวมากไปหรือเปล่า เธอก็แค่ลูกแม่ค้า
“คุณคิดมากไปแล้วค่ะ หนูไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคุณเป็นใคร ทำไมต้องทำอย่างนั้น”
ทำไมตัวเองถึงเพิ่งจะนึกได้ว่ามันอันตราย ผู้ชายคนนี้ดูอันตรายมาก
“พูดแค่นี้คิดว่าฉันจะเชื่อหรือไง ศัตรูฉันมีอยู่รอบด้าน ไม่แน่ เธออาจจะเป็นคนของพวกนั้น”
“แล้วหนูต้องทำยังไง”
“นั่นสิ เธอต้องทำยังไงดีนะ”
ฟังดูแปลกๆ อริสราขยับคิ้วเข้าหากันเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย เขาจะให้เธอทำอะไรกันแน่ หรือว่าคำพูดแบบนี้มันแปลว่า…
เขาหลอกเธอมาลอบฆ่า! เพื่อปิดเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น…
“อันที่จริงมันมีอยู่วิธีหนึ่ง” หนุ่มวัยสามสิบสามเอ่ยด้วยท่าทางสบายๆ ผิดกับอีกคนที่นั่งตัวแข็งทื่อเพราะรอฟังข้อเสนอของเขา
“อะ…อะไรเหรอคะ”
“ฉันจะรู้สึกปลอดภัย ถ้าดึงคนที่มีโอกาสเป็นศัตรูให้มาอยู่ใต้คำสั่งของตัวเอง”
เธอขยับคิ้วตาหมายจะตั้งคำถามเพราะคำพูดของเขามันห่างไกลจากความเข้าใจอยู่มาก แต่ดูเหมือนเขาจะดูออกว่าเธอไม่ได้ฉลาดกับคำพูดอ้อมค้อมพวกนี้นักจึงพูดประโยคถัดมา
“เธออาจจะมีเงินใช้หนี้เร็วกว่าที่เป็นอยู่หลายเท่า”
เขารู้…
“คะ” สมองของอริสราราวกับหยุดประมวลผลไปชั่วขณะ
“เธอเป็นหนี้ไอ้วี ฉันก็ไม่ค่อยชอบขี้หน้ามัน เราเป็นพวกเดียวกันได้นะ เราเข้ากันได้ดีเลย”
แต่นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญที่เธอควรสนใจ เขาจะรู้เรื่องของเธอมาจากไหนมันก็ไม่สำคัญเท่าคำพูดเชื้อเชิญของเขามันฟังดูแปลกๆ
อยู่ใต้คำสั่ง...
เข้ากันได้ดี...
แถมยังมีเงินให้ใช้หนี้อีกต่างหาก…
