ตอนที่ 6 ตามหา
ฉันก้าวเดินเข้าไปในห้องน้ำถอดเสื้อผ้าของตัวเองออกจนหมดสิ้น มองเรือนร่างเปลือยเปล่าตัวเองด้วยความรังเกียจและขยะแขยงร่างกายของฉันในตอนนี้ ฉันอยากจะเผาตัวเองทิ้งไปเดี๋ยวนี้เลยก็ทำได้ แต่ว่าฉันกลับทำไม่ได้ เพราะฉันมีไพลินน้องสาวสุดที่รักของฉัน ฉันไม่คิดไม่ฝันที่จะมาทำงานแบบนี้ แต่ที่ทำแบบนี้ฉันต้องการเงินมาจุนเจือครอบครัวของเราสองคนให้ตลอดรอดฝั่ง เพราะเงินมันง่ายจ่ายคล่อง ถ้าฉันจะนอนกับผู้ชายไฮโซสักหนึ่งคน อย่างน้อยคืนๆ หนึ่งไม่ต่ำกว่าห้าหมื่น ฉันมาถึงจุดนี้ มันก็กลับตัวก็ไม่ได้แล้วจริงๆ
เรื่องที่ฉันทำงานแบบนี้ ฉันไม่ได้บอกให้ไอ้ลินรู้ ฉันไม่อยากให้น้องเป็นกังวล และไม่อยากให้เพื่อนของมันรู้ว่าฉันทำงานอะไร เพียงบอกมันว่าฉันเป็นแค่เด็กเสิร์ฟ และเป็นผู้ช่วยบาร์เทนเดอร์เท่านั้น
ฉันถอนหายใจเฮือกใหญ่ ปล่อยให้สายน้ำเยียวยาและชำระร่างกายที่โสมมออกไป ให้หมดสิ้น
บ่ายวันใหม่ ฉันขับรถมาจอดที่ลานจอดรถของมหาลัยที่อยู่บนตึก ฉันก้าวเดินลงจากรถลงและปิดประตูรถ แต่ไม่ลืมที่จะล็อกรถในทันที ฉันก้าวเดินไปที่บันไดจากชั้นสามลงมา เดินมายังชั้นล่างมายังโต๊ะใต้อาคาร เห็นว่าเพื่อนของฉันคือนังพิมพ์ กับนังตา นั่งอยู่ตรงยาวและเล่นเกมหรือแชทไลน์อยู่หรือเปล่าไม่รู้ เห็นมันขะมักเขม้นมาก ฉันก้าวเดินผ่านโต๊ะยาวหลายตัว ผู้ชายในโต๊ะบางคนสอดสายตามายังฉัน ขณะที่ฉันสวมใส่เสื้อนักศึกษาและกระโปรงยาว แต่ฉันกลับไม่สนใจผู้ชายเหล่านั้นแต่อย่างใด
“มาแล้วเหรอมึง กว่าจะมาได้” พิมพ์มันบอกด้วยรอยยิ้ม
“กูก็มาแล้ว มึงโน้ตให้กูหรือเปล่า” ฉันเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม และนั่งลงบนเก้าอี้
“จดแล้วมึง กูส่งให้มึงทางเฟส มึงยังไม่ได้เปิดอ่านอีกเหรอ” พิมพ์เอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงที่ดูเซ็งๆ
“ขอบใจมาเพื่อน” ฉันเอ่ยบอกด้วยรอยยิ้ม และสวมกอดมันทันทีด้วยความดีใจ ที่มีเพื่อนอย่างมึง
“แล้วมึงมาเรียนบ้างนะ กูอยากให้มึงมาฟังอาจารย์บ้าง เดือนนี้มึงพึ่งมาแค่สองสามวันเอง” ตาเอ่ยบอกฉัน
“พูดสะเป็นบทสวด กูจะมาทุกวันเลย ถ้ากูว่าง” ฉันเอ่ยบอกด้วยรอยยิ้ม กลับรู้สึกได้ว่าสายตาของใครบางคนกำลังจ้องมองฉันอยู่ที่มุมเสา ฉันจึงรีบหันไปดูทันที กลับไม่มีใครยืนอยู่หลังเสา
“มีอะไรวะ” นังตาเอ่ยถามฉันด้วยความสงสัย
“สงสัยช่วงนี้กูนอนน้อยมั้ง เลยรู้สึกเบลอๆ”
“มึงเลิกทำงานเป็นเด็กเอ็นได้ไหม กูเป็นห่วงมึง” นังพิมพ์เอ่ยบอกฉันด้วยความเป็นห่วง มีเพียงมันสองคนเท่านั้นที่รู้ว่าฉันทำงานแบบนี้
“กูจะทำไปก่อนจนกว่าจะจบ จบมากูจะไปสมัครงานที่บริษัทดีๆ และกูจะเลิกถาวร ตอนนี้กูคงต้องทำไปก่อน พวกมึงไม่ต้องห่วง กูหาทางรอดได้” ฉันเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“พวกกูเป็นห่วงมึงมาก มึงเป็นผู้หญิงคนหนึ่งนะ มึงอย่าลืมข้อนี้” นังตาเอ่ยบอกด้วยความเป็นห่วงอีกครั้ง
“กูสัญญาว่าจะดูแลตัวเองให้ดีที่สุด กูยังมีไอ้ลินที่กูต้องดูแลอีกคนหนึ่ง” ฉันเอ่ยบอกด้วยรอยยิ้ม
“มึงสัญญากับกูนะ เมื่อมึงเรียนจบแล้วมึงต้องเลิก” นังตาเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง สายตาของมันเป็นห่วงฉันอย่างมาก อีกทั้งมันอย่างจับมือฉันอย่างอ้อนวอน
“กูสัญญา” ฉันเอ่ยบอกด้วยรอยยิ้ม และจับบนมือของมัน มองใบหน้ามันที่ดูจริงจัง ฉันยิ้มกว้างทันที
สองวันต่อมา...
ฉันก้าวเดินเข้าไปยังโรงรับจำนำ เห็นว่าผู้คนไม่เยอะมาก เพราะเป็นช่วงบ่ายโมงของวันอังคารทำให้คนไม่เยอะเท่าที่ควร ฉันก้าวเดินไปหายังหลงจู้ที่ฉันคุ้นเคย เนื่องด้วยฉันนั้นมาวางของบ่อย หลงจู้เผยรอยยิ้ม และทักทายฉันโดยทันที
“ดาวเป็นไงบ้างสบายดีไหม” หลงจู้เอ่ยถามฉันอย่างเป็นมิตร
“สบายดี หลงจู๊ ฉันมีของมาจำนำ ดูสิใช่เพชรจริงไหม” ฉันเอ่ยบอกและส่งต่างหูเพชรข้างเดียวที่คล้ายห่วงตัวเรือนเป็นเงิน ล้อมด้วยเพชรหลายเม็ด ส่งให้หลงจู้ หลงจู้ดูอยู่ครู่หนึ่ง และมองใบหน้าฉันด้วยความแปลกใจ
“ต่างหูเพชรน้ำงาม” หลงจู้เอ่ยบอก
“จริงเหรอ” ฉันเอ่ยบอกด้วยความแปลกใจ เพราะฉันคิดว่ามันจะโกหกฉัน และคิดว่าเป็นเพชรปลอมเสียด้วยซ้ำ
“จริง”
“หลงจู๊ให้ฉันได้เท่าไหร่”
“ห้าหมื่น”
“ห้าหมื่น!!!”
พอฉันได้ยินว่าห้าหมื่นทำให้ฉันรู้สึกช็อกด้วยความตกใจ
“ใช่” หลงจู๊เอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง ฉันจึงหยิบนาฬิกาขึ้นมาจากกระเป๋าสะพายทันที แล้วส่งให้หลงจู๊อีกครั้ง เขาให้ชายอีกคนที่เป็นลูกน้องดูให้เพียงไม่นานนัก ลูกน้องเขาเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาและส่งให้กับหลงจู้
“นาฬิกายี่ห้อนี้รุ่นลิมิเต็ด มีเพียงร้อยเรือนบนโลก ดาวเธอได้มาจากไหน” หลงจู้ถามด้วยความสงสัย
ห้ะ!!! หนึ่งร้อยเรือนบนโลก มันต้องบ้าไปแล้วแน่เลยที่ยอมให้นาฬิกามาแบบนี้ ฉันจึงประมวลความคิดใหม่ และเอ่ยบอกหลงจู้ไป
“มันเป็นสมบัติชิ้นสุดท้ายของพ่อ” ฉันเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“ทั้งหมดนี้ฉันให้ล้านสาม” หลงจู้เอ่ยบอกเช่นนี้ ฉันแทบล้มทั้งยืนล้านสามเลยเหรอ
“โอเคไหมดาว” หลงจู้เอ่ยถามฉันอีกครั้ง
“โอเค โอเคมากๆ เลย” ฉันเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นราวกับถูกหวย ไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้จับเงินล้านในพริบตาเดียว อย่ามากก็ไม่เกินห้าแสน แต่นี่ล้านสามเชียวเลยนะเว้ย ไม่อยากจะเชื่อว่าไอ้นั่นแม่งจะรวยขนาดนี้ รู้อย่างงี้กูปล้นเข็มขัดที่มันใส่ก็คงจะดี เดี๋ยวนะกูคิดบ้าอะไรอยู่ แต่ก็ช่างเถอะ ไม่ต้องเจอกับมันดีที่สุด
-คิมหันต์-
วันที่ 24 มิถุนายน 2560
ดารา สิริรัตน์
ว/ด/ป เกิด ; 28 เมษายน 2539
ที่อยู่ ; 19/16 แยก 2 ซอย 3 หมู่บ้านบำรุงธานี แขวง xxx เขต xxx กรุงเทพ รหัสไปรษณีย์ xxx
โทรศัพท์มือถือ ; 094 – 711 – 000
ข้อมูลธนาคาร ; ธนาคาร xxx
รหัสธนาคาร ; xxx
เลขที่บัญชี ; xxx
จำนวนเงินคงเหลือ ณ วันที่ วันที่ 24 มิถุนายน 2560 ; 3,527.52 บาท
อาชีพ ; นักศึกษาปริญญาตรี มหาวิทยาลัย xxx คณะศิลปศาสตร์ การจัดการโรงแรม เอกภาษาอังกฤษ
เกรดเฉลี่ยล่าสุด ; 3.00
การศึกษาก่อนหน้า ; โรงเรียน xxx
การทำงาน ; ลุกซ์ไนต์คลับ ถนน xxx แขวง xxx เขต xxx กรุงเทพ
บิดา ; นายทรงกลด สิริรัตน์ เสียชีวิตแล้ว
มารดา ; นางอรุณ สิริรัตน์ เสียชีวิตแล้ว
น้องสาว ; ไพลิน สิริรัตน์ ยังมีชีวิตอยู่
ผมอ่านข้อความในใจในไอแพดในตอนนี้ ได้อ่านทวนอยู่ประมาณสามรอบ ผมให้บอดี้การ์ดอย่างรุจไปสืบเรื่องนี้มาทั้งหมด เพราะผมต้องการรู้จักเธอมากขึ้น อีกทั้งมันไม่ได้เป็นการยากที่ผมจะสืบหาเธอ วันนี้ผมได้แอบไปส่องดูเธอที่คณะศิลปศาสตร์ เพราะเธอนั้นอยู่ในมหาลัยเดียวกับผม ผมจึงมุ่งตรงไปหาเธอได้โดยง่าย ผมเองเฝ้ามองเธออยู่ประมาณห้านาที ก่อนที่เธอนั้นจะรู้ตัวว่าผมกำลังจ้องมองเธออยู่ที่ตรงหลังเสา พอเธอหันใบหน้ามา จังหวะนั้น ผมก็เดินออกไปทันที พร้อมกับไอ้จักร และไอ้ใหญ่ที่ยืนอยู่ที่รถบีเอ็ม มองพฤติกรรมของผมแบบงงๆ ผมเองก็งงกับตัวเหมือนกันที่มาถ้ำมองเธอเหมือนกับคนโรคจิตแบบนั้น ทั้งที่ผมไม่เคยทำแบบนี้มาก่อน
“คุณคิมจะให้ผมทำอย่างไงต่อไปครับ” รุจเอ่ยถามผมที่กำลังมองไอแพดอยู่เช่นเดิม
“เดี๋ยวมึงออกไปข้างนอกกับกู บอกให้บอดี้การ์ดเตรียมตัวด้วย”
“ไปที่ไหนครับ”
“ไปลุกซ์ไนต์คลับ”
“ครับคุณคิม”
