บท
ตั้งค่า

ตอนที่ 1

“เอี๊ยด!!”

เสียงเบรกห้ามล้อของมอเตอร์ไซค์คันเล็กกะทัดรัดประหยัดน้ำมันที่แล่นมาจอดอยู่หน้าร้านข้าวแกงได้อย่างพอดิบพอดี ก่อนที่เจ้าของรถจะวาดต้นขาเรียวเล็กลงมายืนอยู่ด้านข้างด้วยท่าทางทะมัดทะแมงสุดๆ

หมวกกันน็อคสีแปร๊ดไม่ต่างจากรถถูกถอดออกก่อนจะสะบัดศีรษะไปมา รวบเส้นผมหยักศกยาวเคลียไหล่ด้วยผ้ารัดผมสีดำที่คล้องอยู่ที่ข้อมืออย่างลวกๆ เผยให้เห็นใบหน้าสวยหวานจิ้มลิ้ม ตาโต ปากนิด จมูกหน่อย ทั้งที่การแต่งกายนั้นช่างไม่เข้ากับใบหน้าสักนิด

ชุดเสื้อเชิ้ตกางเกงยีนสวมทับด้วยแจ็คเก็ตขนาดพอดีตัวกับรองเท้าผ้าใบยี่ห้อดังแต่คล้ายไม่ได้ซักมาสัก ๑๐ ปี ประกอบกับย่ามหนังใบเก่งสะพายแล่งพร้อมกระเป๋าใส่กล้องคล้องคอ ท่าทางแมนเกินหญิงบ่งบอกถึงอาชีพเสี่ยงๆ ที่เธอภูมิใจนักหนา เมื่อจัดเสื้อผ้าหน้าผมให้เข้าที่ ฝ่ามือบอบบางก็ลูบไล้เจ้ารถคู่ชีพอย่างขอบอกขอบใจที่เจ้าสองล้อเพื่อนเกลอพาเธอฝ่าดงรถติดมาถึงที่หมายได้อย่างปลอดภัยโดยไม่บุบสลายไปสักตารางนิ้วเดียว

ตึกสูง ๙ ชั้น ซึ่งเป็นที่ตั้งออฟฟิศของหนังสือพิมพ์ยักษ์ไม่ใหญ่เท่าไรของเมืองไทยตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้าคือจุดหมายที่ต้องการมาถึงให้ไวที่สุดแต่ก็ยังช้าไปจนได้

ดวงตาสวยหวานต่างจากบุคลิกซนๆ มองนาฬิกาที่ข้อมือพร้อมกับขบกัดริมฝีปากล่างของตัวเองอย่างมันเขี้ยว เพราะเกิดอุบัติเหตุระหว่างทางมาทำงานทำให้เธอต้องเข้างานสายจนได้ ทั้งที่มีประชุมกับ บก. ช่วงเช้าเสียด้วย

ร่างงามระหงที่พาตัวเองเดินเร็วรี่เข้าไปด้านในทำให้คนที่กำลังตักข้าวเข้าปากอยู่ในร้านข้าวแกงต้องรีบทิ้งช้อนทิ้งส้อมแล้ววิ่งตามเจ้าของร่างเล็กกะทัดรัดไม่แพ้รถคู่ชีพเข้าไปในออฟฟิศโดยเร็ว

สัญญาณไฟหน้าลิฟต์ที่ค่อยๆ เลื่อนลงมาอย่างอ้อยอิ่ง โดยไม่สนใจเลยว่าผู้รอโดยสารนั้นจะรีบเร่งมากน้อยแค่ไหนทำให้เจ้าของใบหน้าสวยหวานต้องสบถออกมาอย่างหัวเสียสุดๆ

“โธ่โว้ย! ให้มันได้อย่างนี้สิ นี่มันตั้งใจจะให้สายไปทุกพิกัดเลยหรือไงนะ”

‘มัน’ ที่เอ่ยถึงก็คืออุปสรรคที่ช่างมากมีนักตั้งแต่ช่วงเช้าที่ผ่านมา และเหมือนว่าวิญญาณที่สิงสถิตอยู่ในลิฟต์จะได้ยิน เพราะแค่เธอบ่น มันก็เหมือนจะเคลื่อนตัวลงด้านล่างอย่างเร็ว

ลิฟต์โดยสารเฉพาะเจ้าหน้าที่ของออฟฟิศเปิดออก ซึ่งแน่นอนว่าผู้โดยสารนั้นมีเธอเพียงคนเดียว ก็นี่มันปาเข้าไปจะ ๑๐ โมงแล้วนี่ ใครล่ะจะบ้ามาทำงานพร้อมกันกับเธอ แต่ก่อนที่ช่วงขาเรียวยาวจะก้าวเข้าไปนั้น

“เมี่ยง! รอเดี๋ยว! รอเดี๋ยว... เมี่ยงหยุดก่อน หยุ้ดดดด...”

เสียงแปดหลอดที่ดังมาก่อนตัวทำให้ ‘ปณาลี’ หรือ ‘เมี่ยงคำ’ ต้องกลอกตาขึ้นมองเพดานลิฟต์ที่เธอเพิ่งรู้ในวันนี้ว่ามันเป็นอะลูมิเนียมมันวาวและใสเสียจนสะท้อนสีหน้าและแววตาสุดแสนจะรำคาญของเธอออกมาได้ ก่อนจะพ่นลมหายใจออกทางปากพร้อมรีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติโดยเร็ว

“คะพี่หนูนา มีอะไรหรือเปล่าคะ”

ใบหน้ายิ้มแย้มของปณาลีเอ่ยถาม ‘หนูนา’ หนุ่มแอ๊บแมนสุดแสนเพอร์เฟคที่แต่เดิมเคยชื่อว่า ‘นพ’ แต่สำหรับอาชีพเปิดตัวได้แรงอย่างนักข่าวสายบันเทิง นพก็เลยขอเปิดตัวเป็น ‘หนูนา’ ได้อย่างน่ารักน่าชัง

แต่ถ้าจะให้เธอวิจารณ์เธอก็คิดว่านังเก้งตัวแม่นี่น่าจะชื่อว่า ‘หนูหริ่ง’ มากที่สุด เพราะเธอรู้ดีว่า ‘นังนี่’ มายาสาไถเก่งสุดๆ และไม่รู้ว่าวันนี้จะมาเสี้ยมมาหลอกล่ออะไรให้เธอต้องหน้าแตกอีกบ้าง

เพราะเมื่อหลายวันก่อน หนูนานี่แหละที่เอาข่าวเรื่องการค้าของเถื่อนที่ท่าเรือแห่งใหญ่ในกรุงเทพฯ มาบอกเธอ ทำให้เธอรีบกระหืดกระหอบไปขอ ‘พี่วิทิต’ บก. ประจำหนังสือพิมพ์ ‘ข่าวสารบ้านเรา’ ให้อนุญาตให้เธอไปทำข่าวนี้ เพราะงานลุยๆ แบบนี้แหละที่เธอชอบ

แต่ดันกลายเป็นว่าเธอได้รับคำตำหนิจากพี่วิทิตมาเป็นกระบุง เพราะข่าวนี้พี่วิทิตมอบหมายให้คนอื่นไปทำแล้ว พร้อมกับต่อว่าฝากท้ายมาด้วยว่า เธอควรจะมีจมูกไวให้มากกว่านี้ตามสัญชาตญาณของนักข่าวที่ ‘หูผีจมูกมด’ แปลว่า รู้เรื่องอะไรก็ทันท่วงทีไปหมด

ข่าวสารบ้านเมืองต่างๆ ควรจะเสพไว้บ้าง ไม่ใช่มัวแต่ยืนฝันนั่งฝันกินอุดมการณ์ที่จะมี ‘ผู้ก่อการดี’ สักคนคาบข่าวมาบอก เพราะนักข่าวสมัยนี้ต้องเก่งไอที ต้องรู้จักหาข้อมูลผ่านอินเทอร์เน็ต ต้องมีสายข่าวอยู่ทุกที่ อาชีพนักข่าวของเธอจึงจะรุ่ง ไม่อย่างนั้นพี่วิทิตก็ยังเห็นว่าเธอควรจะทำงานคัดกรองข่าวอยู่ในออฟฟิศเท่านั้น ถ้าไม่มีประสบการณ์มากพอ การออกไปทำงานด้านนอกก็จะไปป่วนคนอื่นเสียเปล่าๆ

‘ทำตัวให้มันสวยหวานสมกับหน้าตาหน่อยนะเมี่ยง’

ปณาลีจำได้ดีถึงคำพูดและสายตาเอือมระอาที่พี่วิทิตใช้มองเธอ นั่นมันไม่ใช่การชื่นชม แต่มันเป็นการทำลายทางสายตาอย่างรุนแรงว่าเธอนั้น ‘ไม่ได้เรื่อง’ และ ‘ไม่เหมาะกับอาชีพนักข่าวภาคสนาม’ เลยสักนิด แต่คนทะยานอยากอย่างเธอ อยากได้อะไรต้องได้ อยากทำอะไรก็ต้องได้ทำและต้องสำเร็จด้วย จะไม่ยอมให้คำสบประมาทหรือขวากหนามเล็กๆ มาทำให้เสียงานใหญ่แน่

“เมี่ยง! นี่พี่ถามทำไมไม่ตอบ นี่เรานอนน้อยจนเบลอหรือเปล่า” หนูนาถอนหายใจหลายๆ เฮือก เมื่อนักข่าวสาวคนโปรดของ บก. ดูจะไม่ได้สนใจในคำถามของเธอเลยสักนิด

“ว่าไงนะพี่ เอ่อ... เมี่ยงไม่ได้ฟัง คงเบลอจริงๆ อะ” ปณาลียิ้มแหย เมื่อเผลอคิดเพลินจนลืมไปว่ายังมีเก้งตัวใหญ่ยืนอยู่ตรงหน้า

“พี่ถามว่าได้ข่าวแล้วหรือยัง” หน้าตากระตือรือร้นอยากบอกสุดขีด

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel