โซ่เสน่หานายหัว

102.0K · จบแล้ว
ชนิตร์นันท์
75
บท
12.0K
ยอดวิว
7.0
การให้คะแนน

บทย่อ

นายหัวสุดหล่อหน้าฝรั่งจ๋าแต่แหลงใต้ลิ้นระรัว มันน่าพิสูจน์ตัวตนนัก!เมื่อข่าวร้อนๆ พุ่งเป้าว่า ‘นายหัวไกร บุญโชคช่วย ลอยด์’ เป็นเจ้าพ่อค้ามนุษย์ตัวใหญ่เบิ้ม นักข่าวสาวไฟแรงอย่าง ‘ปณาลี วิสิทธิวงศ์ หรือ เมี่ยงคำ’ จะไม่มีทางปล่อยให้เรื่องเงียบเข้ากลีบเมฆแน่เธอต้องหาข้อมูลเพื่อยืนยันว่านายหัวไกรผิดจริง แม้จะต้องปลอมตัวเป็นลูกจ้างคัดปลาก็ตาม จะพิสูจน์ให้เห็นว่าสื่ออย่างเธอ ไม่ว่าอิทธิพลหรือเงินทองมากองตรงหน้าก็ขวางเธอไม่ได้“ฉันเชื่อว่าเธอเป็นนักข่าวสาวไฟแรงจริงๆ แต่อยากรู้ที่สุดคือ ไฟแรงสูงหรือเปล่า”ร่างสูงแข็งแกร่งรวบร่างเธอกดทาบกับที่นอน ไม่สนใจแรงดิ้นรนและเสียงกรีดร้องอย่างตกใจ“นี่คุณ! คุณจะทำอะไร ปล่อยนะ! ปล่อยฉัน! ปล่อยฉันนะ...”ปณาลีดิ้นรนก่อนจะกรีดร้องอย่างเสียขวัญ เมื่อแผงอกของเขากดทาบอยู่บนหน้าอกหยุ่นนุ่มของเธอฝ่ามือที่ดิ้นรนทุบตีเขาก็กลับถูกรวบไว้เหนือศีรษะด้วยมือเพียงข้างเดียว ส่วนอีกมือของเขานั้นกำลังไล้ไปมาบริเวณปลายคางจนเธอสะท้านไปทั้งร่าง“ปล่อยอะไรล่ะสาวน้อย เมื่อกี้ยังร่ำร้องให้ฉันฆ่าเธออยู่เลย นี่ไง ฉันกำลังจะฆ่า แต่อาวุธของฉันน่ะ... ปลายลิ้น และก็...”“นี่คุณจะทำอะไรฉัน! ปล่อยฉันนะ นี่คุณ! คุณเป็นคนวิตถารเหรอ ปล่อยฉันนะ! ปล่อย!”“หึหึ... กลัวเหรอ คิดว่าจะกลัวอะไรไม่เป็นซะอีก ทำไมล่ะ ฉันมันเป็นไอ้พวกประเภทชอบซื้อเนื้อสดเสียด้วย ยิ่งสดๆ สะอาดๆ ไม่เคยผ่านแมลงชอนไชฉันยิ่งชอบ อยากขายไหมล่ะ เท่าไร เรียกได้มากเท่าที่ต้องการ อย่างเธอนี่... อืม... สดๆ ซิงๆ แบบนี้ ฉันให้สองหมื่น อะอะ... อย่าคิดว่ามันน้อยไปนะ”ปณาลีที่อ้าปากจะร้องประท้วง ถูกเขาชะงักคำพูดไว้ด้วยปลายนิ้ว ก่อนที่อารมณ์สนุกจะทำให้เขาพูดยั่วเธอต่อ พลางใช้นิ้วมือคลึงริมฝีปากของเธอเล่นราวจะกระตุ้นอารมณ์“ไอ้พวกข้างนอกอีกสิบคน ราคามันก็ลดหลั่นไปตามจำนวนครั้งที่ใช้งาน พร้อมบริการหรือยัง ฉันจะได้เริ่ม...”

นางเอกเก่งแก้แค้นมาเฟียพระเอกเก่งนิยายปัจจุบันนิยายสืบสวนสอบสวน

ตอนที่ 1

“เอี๊ยด!!”

เสียงเบรกห้ามล้อของมอเตอร์ไซค์คันเล็กกะทัดรัดประหยัดน้ำมันที่แล่นมาจอดอยู่หน้าร้านข้าวแกงได้อย่างพอดิบพอดี ก่อนที่เจ้าของรถจะวาดต้นขาเรียวเล็กลงมายืนอยู่ด้านข้างด้วยท่าทางทะมัดทะแมงสุดๆ

หมวกกันน็อคสีแปร๊ดไม่ต่างจากรถถูกถอดออกก่อนจะสะบัดศีรษะไปมา รวบเส้นผมหยักศกยาวเคลียไหล่ด้วยผ้ารัดผมสีดำที่คล้องอยู่ที่ข้อมืออย่างลวกๆ เผยให้เห็นใบหน้าสวยหวานจิ้มลิ้ม ตาโต ปากนิด จมูกหน่อย ทั้งที่การแต่งกายนั้นช่างไม่เข้ากับใบหน้าสักนิด

ชุดเสื้อเชิ้ตกางเกงยีนสวมทับด้วยแจ็คเก็ตขนาดพอดีตัวกับรองเท้าผ้าใบยี่ห้อดังแต่คล้ายไม่ได้ซักมาสัก ๑๐ ปี ประกอบกับย่ามหนังใบเก่งสะพายแล่งพร้อมกระเป๋าใส่กล้องคล้องคอ ท่าทางแมนเกินหญิงบ่งบอกถึงอาชีพเสี่ยงๆ ที่เธอภูมิใจนักหนา เมื่อจัดเสื้อผ้าหน้าผมให้เข้าที่ ฝ่ามือบอบบางก็ลูบไล้เจ้ารถคู่ชีพอย่างขอบอกขอบใจที่เจ้าสองล้อเพื่อนเกลอพาเธอฝ่าดงรถติดมาถึงที่หมายได้อย่างปลอดภัยโดยไม่บุบสลายไปสักตารางนิ้วเดียว

ตึกสูง ๙ ชั้น ซึ่งเป็นที่ตั้งออฟฟิศของหนังสือพิมพ์ยักษ์ไม่ใหญ่เท่าไรของเมืองไทยตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้าคือจุดหมายที่ต้องการมาถึงให้ไวที่สุดแต่ก็ยังช้าไปจนได้

ดวงตาสวยหวานต่างจากบุคลิกซนๆ มองนาฬิกาที่ข้อมือพร้อมกับขบกัดริมฝีปากล่างของตัวเองอย่างมันเขี้ยว เพราะเกิดอุบัติเหตุระหว่างทางมาทำงานทำให้เธอต้องเข้างานสายจนได้ ทั้งที่มีประชุมกับ บก. ช่วงเช้าเสียด้วย

ร่างงามระหงที่พาตัวเองเดินเร็วรี่เข้าไปด้านในทำให้คนที่กำลังตักข้าวเข้าปากอยู่ในร้านข้าวแกงต้องรีบทิ้งช้อนทิ้งส้อมแล้ววิ่งตามเจ้าของร่างเล็กกะทัดรัดไม่แพ้รถคู่ชีพเข้าไปในออฟฟิศโดยเร็ว

สัญญาณไฟหน้าลิฟต์ที่ค่อยๆ เลื่อนลงมาอย่างอ้อยอิ่ง โดยไม่สนใจเลยว่าผู้รอโดยสารนั้นจะรีบเร่งมากน้อยแค่ไหนทำให้เจ้าของใบหน้าสวยหวานต้องสบถออกมาอย่างหัวเสียสุดๆ

“โธ่โว้ย! ให้มันได้อย่างนี้สิ นี่มันตั้งใจจะให้สายไปทุกพิกัดเลยหรือไงนะ”

‘มัน’ ที่เอ่ยถึงก็คืออุปสรรคที่ช่างมากมีนักตั้งแต่ช่วงเช้าที่ผ่านมา และเหมือนว่าวิญญาณที่สิงสถิตอยู่ในลิฟต์จะได้ยิน เพราะแค่เธอบ่น มันก็เหมือนจะเคลื่อนตัวลงด้านล่างอย่างเร็ว

ลิฟต์โดยสารเฉพาะเจ้าหน้าที่ของออฟฟิศเปิดออก ซึ่งแน่นอนว่าผู้โดยสารนั้นมีเธอเพียงคนเดียว ก็นี่มันปาเข้าไปจะ ๑๐ โมงแล้วนี่ ใครล่ะจะบ้ามาทำงานพร้อมกันกับเธอ แต่ก่อนที่ช่วงขาเรียวยาวจะก้าวเข้าไปนั้น

“เมี่ยง! รอเดี๋ยว! รอเดี๋ยว... เมี่ยงหยุดก่อน หยุ้ดดดด...”

เสียงแปดหลอดที่ดังมาก่อนตัวทำให้ ‘ปณาลี’ หรือ ‘เมี่ยงคำ’ ต้องกลอกตาขึ้นมองเพดานลิฟต์ที่เธอเพิ่งรู้ในวันนี้ว่ามันเป็นอะลูมิเนียมมันวาวและใสเสียจนสะท้อนสีหน้าและแววตาสุดแสนจะรำคาญของเธอออกมาได้ ก่อนจะพ่นลมหายใจออกทางปากพร้อมรีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติโดยเร็ว

“คะพี่หนูนา มีอะไรหรือเปล่าคะ”

ใบหน้ายิ้มแย้มของปณาลีเอ่ยถาม ‘หนูนา’ หนุ่มแอ๊บแมนสุดแสนเพอร์เฟคที่แต่เดิมเคยชื่อว่า ‘นพ’ แต่สำหรับอาชีพเปิดตัวได้แรงอย่างนักข่าวสายบันเทิง นพก็เลยขอเปิดตัวเป็น ‘หนูนา’ ได้อย่างน่ารักน่าชัง

แต่ถ้าจะให้เธอวิจารณ์เธอก็คิดว่านังเก้งตัวแม่นี่น่าจะชื่อว่า ‘หนูหริ่ง’ มากที่สุด เพราะเธอรู้ดีว่า ‘นังนี่’ มายาสาไถเก่งสุดๆ และไม่รู้ว่าวันนี้จะมาเสี้ยมมาหลอกล่ออะไรให้เธอต้องหน้าแตกอีกบ้าง

เพราะเมื่อหลายวันก่อน หนูนานี่แหละที่เอาข่าวเรื่องการค้าของเถื่อนที่ท่าเรือแห่งใหญ่ในกรุงเทพฯ มาบอกเธอ ทำให้เธอรีบกระหืดกระหอบไปขอ ‘พี่วิทิต’ บก. ประจำหนังสือพิมพ์ ‘ข่าวสารบ้านเรา’ ให้อนุญาตให้เธอไปทำข่าวนี้ เพราะงานลุยๆ แบบนี้แหละที่เธอชอบ

แต่ดันกลายเป็นว่าเธอได้รับคำตำหนิจากพี่วิทิตมาเป็นกระบุง เพราะข่าวนี้พี่วิทิตมอบหมายให้คนอื่นไปทำแล้ว พร้อมกับต่อว่าฝากท้ายมาด้วยว่า เธอควรจะมีจมูกไวให้มากกว่านี้ตามสัญชาตญาณของนักข่าวที่ ‘หูผีจมูกมด’ แปลว่า รู้เรื่องอะไรก็ทันท่วงทีไปหมด

ข่าวสารบ้านเมืองต่างๆ ควรจะเสพไว้บ้าง ไม่ใช่มัวแต่ยืนฝันนั่งฝันกินอุดมการณ์ที่จะมี ‘ผู้ก่อการดี’ สักคนคาบข่าวมาบอก เพราะนักข่าวสมัยนี้ต้องเก่งไอที ต้องรู้จักหาข้อมูลผ่านอินเทอร์เน็ต ต้องมีสายข่าวอยู่ทุกที่ อาชีพนักข่าวของเธอจึงจะรุ่ง ไม่อย่างนั้นพี่วิทิตก็ยังเห็นว่าเธอควรจะทำงานคัดกรองข่าวอยู่ในออฟฟิศเท่านั้น ถ้าไม่มีประสบการณ์มากพอ การออกไปทำงานด้านนอกก็จะไปป่วนคนอื่นเสียเปล่าๆ

‘ทำตัวให้มันสวยหวานสมกับหน้าตาหน่อยนะเมี่ยง’

ปณาลีจำได้ดีถึงคำพูดและสายตาเอือมระอาที่พี่วิทิตใช้มองเธอ นั่นมันไม่ใช่การชื่นชม แต่มันเป็นการทำลายทางสายตาอย่างรุนแรงว่าเธอนั้น ‘ไม่ได้เรื่อง’ และ ‘ไม่เหมาะกับอาชีพนักข่าวภาคสนาม’ เลยสักนิด แต่คนทะยานอยากอย่างเธอ อยากได้อะไรต้องได้ อยากทำอะไรก็ต้องได้ทำและต้องสำเร็จด้วย จะไม่ยอมให้คำสบประมาทหรือขวากหนามเล็กๆ มาทำให้เสียงานใหญ่แน่

“เมี่ยง! นี่พี่ถามทำไมไม่ตอบ นี่เรานอนน้อยจนเบลอหรือเปล่า” หนูนาถอนหายใจหลายๆ เฮือก เมื่อนักข่าวสาวคนโปรดของ บก. ดูจะไม่ได้สนใจในคำถามของเธอเลยสักนิด

“ว่าไงนะพี่ เอ่อ... เมี่ยงไม่ได้ฟัง คงเบลอจริงๆ อะ” ปณาลียิ้มแหย เมื่อเผลอคิดเพลินจนลืมไปว่ายังมีเก้งตัวใหญ่ยืนอยู่ตรงหน้า

“พี่ถามว่าได้ข่าวแล้วหรือยัง” หน้าตากระตือรือร้นอยากบอกสุดขีด