บทที่ 3
พิชญาเฝ้ารอจนถึงเช้าวันใหม่จึงทำใจให้กล้าเดินทางไปยังคฤหาสน์ธีรภรณ์เพื่อขอเข้าพบคุณหญิงโสภาตามแผนที่ที่อีกฝ่ายได้เคยให้เอาไว้เมื่อนานมาแล้ว การปรากฏตัวของหญิงสาวสร้างความดีใจให้กับหญิงชราเป็นอย่างมากต่างจากหญิงสาววัยกลางคนที่นั่งขนาบข้างอย่างสิ้นเชิงที่จดจ้องมองหญิงสาวตรงหน้าตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสายตาเหยียดหยามอย่างหนัก
“ยังไงเสียเพ็ญก็ยังไม่เห็นด้วยหรอกนะคะคุณแม่ที่คุณแม่จะส่งผู้หญิงหิวโหยเงินอย่างแม่คนนี้ไปที่เกาะเพื่อยั่วตาชรัสให้กลับบ้าน คุณแม่ก็รู้ว่าหลานชายของคุณแม่น่ะเป็นคนหัวรั้นและดื้อมากแค่ไหน กะอีแค่ผู้หญิงหน้าตาจืดๆ คนเดียวจะไปทำอะไรได้” คำพูดที่ดังขึ้นพาลทำรอยยิ้มที่เคยมีหดหายไปอย่างช้าๆ คุณหญิงโสภาส่ายหน้าไปมาอย่างสุดแสนจะอดทนต่อความคิดตื้นๆ ของลูกสะใภ้ที่มักจะคิดอะไรง่ายๆ ไม่ได้มองให้ลึกซึ้งลงไปถึงข้างในที่มีดีกว่ารูปลักษณ์ภายนอกเป็นไหนๆ
พิชญานั้นเป็นคนฉลาดและมีจิตใจที่ดีงาม หล่อนจึงเป็นจุดต่างจากหญิงสาวคนไหนๆ ที่ถูกส่งไปที่เกาะแห่งนั้น และเป็นดั่งความหวังเดียวที่เหลืออยู่
“อย่าไปใส่ใจคำพูดของแม่เพ็ญเลยนะหนูแพรไหม ย่าเชื่อมั่นในตัวของหนูเสมอ และเรื่องของวิไลแม่ของหนูหนูเลิกห่วงไปได้เลย ย่าจะคอยดูแลแม่ของหนูให้เป็นอย่างดีแทนในส่วนของหนูด้วย” คุณหญิงโสมรัตน์เอ่ยขึ้นราวกับจะรู้ทันว่าอีกฝ่ายกำลังหนักใจถึงเรื่องใดอยู่ทำเอาผู้ได้ยินถึงกลับน้ำตาคลอในความเมตตากรุณาที่ท่านมีให้ก่อนจะรีบยกมือขึ้นไหว้พร้อมเอ่ยคำขอบคุณที่กลั้นกรองออกมาจากหัวใจทันที..
“ขอบคุณมากนะคะคุณท่าน”
“ยังจะมาเรียกคุณทงคุณท่านอยู่อีก เรียกคุณย่าเถอะจะได้ชินปาก เพราะอีกหน่อยเราคงจะเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว” พิชญานั้นไม่เห็นพ้องตรงกับความคิดของหญิงชราเลยแม้แต่น้อย ความมั่นใจที่ไม่เคยมีมาตอนนี้กลับดิ่งหายลงไปเรื่อยๆ ไม่รู้เลยว่าจะทำเช่นไรภารกิจที่สำคัญนี้ถึงได้สำเร็จ อีกทั้งยังไม่รู้เลยว่ามีอะไรบ้างที่รอเธออยู่ที่เกาะแห่งนั้น..
วันเดินทางมาถึงไวเสียจนน่าใจหาย พิชญาที่ทำได้แต่เพียงนั่งแน่นิ่งมาตลอดการเดินทางบนเรือลำเล็กที่ถูกจัดเตรียมเอาไว้ให้ล่วงหน้าเริ่มมีอาการวิตกกังวลต่างๆ นาๆ ทันทีที่ภาพของเกาะขนาดปานกลางไม่เล็กจนเกินไปและก็ไม่ใหญ่จนเกินไปที่ค่อยๆ ปรากฏต่อสายตาอย่างเชื่องช้าทีละนิดๆ อย่างใจเย็น ดวงตากลมใสจ้องมองอาณาเขตที่กว้างใหญ่ของเกาะตรงหน้าอยู่นานแม้จะทำใจยากลำบากแค่ไหนแต่อย่างไรเสียเธอก็มาไกลเกินกว่าจะก้าวถอยหลังกลับไปได้แล้วในตอนนี้ มีแต่จะต้องทำใจดีสู้เสือข่มเอาความกลัวทั้งหมดที่มีทิ้งลงไปในมหาสมุทรและเรียกเอาความกล้าทั้งหมดที่มีอยู่ขึ้นมาสู้แทน
ทว่ายังไม่ทันที่เรือลำเล็กจะได้ทันถึงจุดปลายทางทางของมันซึ่งก็อยู่ไม่ไกลเท่าไหร่กัปตันเรือซึ่งเป็นเพียงลุงแก่ๆ ธรรมดาคนหนึ่งกลับดับเครื่องขึ้นมาเสียดื้อๆ ทำเอาหญิงสาวเริ่มชักเกิดความสงสัยในสิ่งผิดปกติตรงหน้าก่อนจะจ้องมองชายชราเพื่อต้องการคำตอบว่าเหตุใดถึงไม่ไปต่อทั้งๆ ที่เหลือระยะทางอีกไม่เท่าไหร่ก็จะถึงฝั่งอยู่แล้ว
“จอดเรือทำไมเหรอคะลุง” เสียงหวานร้องถามขึ้นอย่าใคร่รู้ภวนาให้เรือแค่เผลอดับไปเท่านั้นเพราะเธอไม่ชอบเอาเสียเลยที่ต้องมาอยู่นิ่งๆ กลางทะเลลึกเช่นนี้ ภาพความทรงจำในวัยเด็กที่เกือบจะจมดิ่งไปกับน้ำลึกผุดขึ้นมาในสมองอย่างเชื่องช้าตอกย้ำเอาความจริงที่ว่าหญิงสาวนั้นกลัวการว่ายน้ำแค่ไหนขึ้นมากะทันหัน ความกลัวเข้าจู่โจมในทันทีก่อนจะได้รับคำตอบที่น่าตกใจในนาทีต่อมาจากชายชราเบื้องหน้า
“เรือมันไปต่อไม่ได้แล้วนังหนู ข้าคงมาส่งเอ็งได้ใกล้ที่สุดแค่นี้แหละนะ ที่เหลือเอ็งต้องว่ายน้ำเข้าฝั่งเอาเอง” ชายชราเอ่ยตอบกลับไปด้วยท่าทีหวาดวิตก สายตายังคงจ้องมองชายฝั่งราวกับกำลังหวาดกลัว ว่าจะมีใครสักคนสังเกตุเห็นเรือของตัวเองเข้า
“ลุงว่ายังไงนะคะ!”
