บทที่ ๔
ณ ห้างสรรพสินค้าชื่อดังใจกลางเมืองหลวง เวลาบ่ายแก่ๆ จวนจะคล้อยเย็นเช่นนี้ทำให้ผู้คนค่อนข้างหนาตา ไม่ว่าจะเป็นผู้ใหญ่ หรือบรรดานักศึกษาต่างพากันเดินขวักไขว่กันเต็มไปหมด ร้านอาหารต่างๆ ก็เต็มไปด้วยผู้คน บางร้านถึงขนาดรอคิวกันก็มี
ณรันดากับปานชนกจูงมือเด็กสองคนไว้คนละคน โดยคุณแม่เป็นคนจูงน้องพาฝัน ส่วนน้องทอฝันไปเดินอยู่ข้างปานชนกแทน เด็กทั้งคู่เดินผ่านไปตรงไหนก็มีแต่คนทักทายยิ้มให้ เพราะใครเห็นก็รู้จักทั้งนั้น บางคนเขามาขอถ่ายรูปด้วย เธอก็ไม่ขัดและยังคอยบอกให้ลูกสาวทำความเคารพทุกคนที่เข้ามาทักทาย ซึ่งทั้งคู่ก็ทำตามแต่โดยดี
ทั้งหมดเดินผ่านร้านอาหารหลายร้านเพื่อตรงไปยังร้านไอศกรีมตามที่ได้ให้สัญญากับลูกสาวทั้งสองคนไว้
“เฮ้อ... ไม่ได้มาเดินห้างซะนาน ไม่คิดว่าคนจะเยอะขนาดนี้” ณรันดาถึงกับบ่นอุบเมื่อเดินไปทางไหนก็เห็นแต่ผู้คนเต็มไปหมด
“เป็นธรรมดา เราชินซะแล้ว”
ปานชนกหันมายิ้มให้เพื่อนรักอย่างเข้าใจ
นานเท่าไรแล้วที่ณรันดาจะได้มีโอกาสออกมาเดินเล่นในห้างสรรพสินค้าเหมือนอย่างวันนี้ เพราะวันๆ เธอเอาแต่ทำงานและใช้ชีวิตอยู่กับเด็กเล็กที่โรงเรียนอนุบาล นานๆ ครั้งจะได้ออกมาเปิดหูเปิดตาตามห้างใหญ่ๆ เช่นนี้ ส่วนเรื่องพาลูกสาวเธอไปเที่ยวหรือเดินเล่นซื้อของ มันกลายเป็นหน้าที่ของปานชนกไปโดยสิ้นเชิง เพราะเมื่อเสร็จจากงานของเด็กๆ เธอก็มักชอบพามาเดินเล่นหาอะไรกินไปเรื่อย ซึ่งณรันดาก็ไม่ได้ห้ามอะไร
“คุณแม่ขา จะถึงร้านไอติมแล้วค่ะ”
เสียงน้องพาฝันดังขึ้นเมื่อจำได้ว่าร้านไอศกรีมที่มารดาสัญญาว่าจะพามาทานอยู่แถวนี้
“จำได้แบบนี้คุณแม่ก็รู้หมดสิคะว่าน้าป่านพาหนูมาทานบ่อย”
ปานชนกเอ่ยพร้อมกับหยิกแก้มยุ้ยของเด็กน้อยที่ชื่อพาฝันหนึ่งที
“อ้าว มาทานกันบ่อยแล้วงั้นคุณแม่ว่าวันนี้งดดีกว่าไหมคะ”
ณรันดาได้ทีแกล้งลูกสาว
“ไม่นะคะ พี่ทอฝัน น้องพาฝัน อยากกิน”
สองพี่น้องตัวน้อยรีบพูดขึ้นพร้อมกันทันที น้องทอฝันจากที่เดินอยู่กับปานชนกรีบวิ่งมากระตุกแขนอีกข้างของณรันดา
“คุณแม่ล้อเล่นค่ะ... คุณแม่สัญญาแล้วก็ต้องทำตามสัญญาสิคะ ไปค่ะ ถึงร้านแล้ว”
ณรันดารีบรุนหลังลูกสาวทั้งสองเข้าไปด้านในร้านทันที
เสียงร้องไชโยดีใจของเด็กดังขึ้น แล้วก็วิ่งตามพนักงานสาวสวยของร้านที่ให้การต้อนรับเข้าไปโต๊ะด้านในซึ่งดูเหมือนจะเป็นโต๊ะที่ทั้งคู่นั่งเป็นประจำเสียด้วย
“วันนี้ทานอะไรดีคะน้องทอฝัน น้องพาฝัน ทานเหมือนเมื่อวันก่อนหรือเปล่าคะ”
พนักงานสาวคนเดิมกล่าวทักทายพร้อมถามเมนูจากเด็กน้อยอย่างเป็นกันเอง
“นี่แสดงว่าเป็นลูกค้าประจำกันเลยหรือจ๊ะ”
ณรันดามองหน้าลูกสาวนิดหนึ่งก่อนหันไปยิ้มให้พนักงานสาวอย่างเป็นกันเอง
“ค่ะ น้องๆ เป็นแขกประจำร้านเลยค่ะ”
พนักงานสาวหน้าหวานหันมาตอบพร้อมรอยยิ้ม พลางส่งเมนูให้แก่ผู้ใหญ่ทั้งสอง
“ทานอะไรคะลูกสาว ช็อกโกแลตหรือสตรอว์เบอร์รีดีจ๊ะ”
ณรันดาถามลูกสาวที่กำลังชะเง้อมองดูเมนูในมือเธออยู่
“พี่ทอฝันเอาช็อกโกแลตค่ะ เอาสองลูกเลยนะคะ” แฝดผู้พี่เลือกก่อน
“น้องพาฝันเอาช็อกโกแลตด้วย เอาสองลูกด้วยนะคะ”
ตามด้วยเสียงของแฝดผู้น้อง พร้อมกับซบหน้าเข้ากับแขนของมารดาอย่างประจบ
“โอเค... งั้นเอาอันนี้ค่ะ”
เมื่อลูกสาวเลือกเมนูได้แล้ว ณรันดาจึงหันไปสั่งรายการที่เด็กๆ เลือกกับพนักงานสาวหน้าหวานคนเดิม
“นี่ป่าน ช่วงนี้ทอฝันกับพาฝันมีงานอะไรอีกเยอะหรือเปล่า... เราจำได้ว่าเสร็จงานนี้แล้วก็ว่างแล้วใช่หรือเปล่า”
ณรันดาถามเพื่อนรักที่เป็นคนจัดคิวให้เด็กๆ อย่างใคร่รู้
“จริงๆ ตอนแรกหมดงานแล้ว... แต่เพิ่งมีนิตยสารเกี่ยวกับเด็กมาติดต่อให้ยายสองแสบไปถ่ายแบบชุดให้หน่อย เราเห็นว่างานนี้ถ่ายแค่แป๊บเดียว และอีกอย่างถ่ายที่สตูด้วย ก็เลยรับงานไว้โดยไม่บอกก่อน คงไม่ว่ากันนะปลาย”
“จะว่าทำไมกัน เรายกหน้าที่นี้ให้ป่านดูแล ก็ดูไปตามความเหมาะสมนั่นแหละ เราถามดู เพราะตั้งใจว่าถ้างานหมดแล้วว่าจะพายายสองแสบไปเที่ยวตามประสาเด็กเหมือนคนอื่นบ้าง... บอกตรงๆ นะ เราสงสารลูกจริงๆ แล้วก็เริ่มไม่อยากให้ลูกรับงานแล้วด้วยซ้ำไป”
หญิงสาวนึกสงสารลูกสาวทั้งสองคนจริงๆ ที่ต้องทำงานตั้งแต่เด็กเช่นนี้
“คิดมากน่าปลาย เงินทุกบาทที่สองคนได้มาเธอก็เก็บไว้เป็นทุนการศึกษาเขา และอีกอย่างยายสองแสบก็ดูจะชอบงานนี้ซะด้วย เราว่าปล่อยให้ทำต่อไปเถอะ เราก็ช่วยๆ กันดูงานที่มันไม่หนักมากให้”
“เฮ้อ... อย่างว่าแหละนะ ถ้าเราไม่ได้ลูกก็คงลำบากเหมือนกัน”
ณรันดาถอนหายใจน้อยๆ ก่อนเอื้อมไปลูบศีรษะลูกสาวทั้งสองคน พร้อมส่งยิ้มให้เมื่อสองสาวตัวแสบเงยหน้าขึ้นมองเธอ
ณรันดายังจำได้ว่าตลอดช่วงเวลาที่เธอหนีผู้ชายที่ไร้หัวใจมา และมารู้ที่หลังว่ามีหัวใจดวงน้อยติดมาด้วยนั้น เธอรู้สึกดีใจมาก และยิ่งรู้ว่ามีหัวใจดวงน้อยอยู่ถึงสองดวง เธอยิ่งดีใจเป็นที่สุด
ในความโชคร้ายของเธอนับว่ายังมีสิ่งที่สวยงามรออยู่ข้างหน้า เธอเฝ้าทะนุถนอมลูกในท้องจนกระทั่งคลอดออกมา
ดีที่ว่าตลอดเวลาที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ตามลำพังนั้นเธอยังมีปานชนกคอยดูแล ให้ความช่วยเหลือ และให้กำลังใจอยู่ตลอด และก็ปานชนกอีกนั่นแหละที่เป็นคนชักนำให้เธอนำเด็กทั้งคู่เข้าสู่วงการนี้ เพราะคิดว่ามันเป็นทางเดียวที่จะสามารถหาเงินให้แก่เธอและลูกๆ ได้เป็นอย่างดี
ปานชนกเป็นคนจัดการทุกอย่างเองทั้งหมด ฉะนั้นตลอดระยะเวลาที่เด็กๆ อยู่ในวงการจึงแทบจะไม่มีใครเคยเห็นหน้ามารดาของเด็กฝาแฝดคู่นี้ และด้วยความน่ารักไร้เดียงสาของน้องทอฝันกับน้องพาฝัน เด็กทั้งคู่จึงได้แจ้งเกิดในวงการบันเทิงมาจนถึงปัจจุบันนี้
ซึ่งทำให้หญิงสาวก็เริ่มมีโอกาสได้ออกมาทำงานนอกบ้าน หลังจากที่เธอได้รู้จักกับมาร์ค เจ้าของโรงเรียนอนุบาล เมื่อครั้งที่เขาเป็นคนติดต่อให้ลูกสาวของเธอมาเป็นพรีเซนเตอร์ให้แก่ทางโรงเรียนในครั้งนั้น มาร์คเกิดมีความรู้สึกดีๆ ให้เธอ ประจวบกับเห็นความสามารถของเธอ เขาเลยถือโอกาสชวนเธอเข้ามาทำงานด้วย
ณ ตอนนั้นเธอเห็นว่ามันเป็นโอกาสที่ดีที่เธอจะมีรายได้ เพราะทั้งเงินเดือนและตำแหน่งที่มาร์คเสนอให้นั้นไม่น้อยเลยทีเดียว และที่สำคัญการที่จู่ๆ จะได้ทำงานในตำแหน่งงานที่ดีเช่นนี้มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย และก็คิดว่าเพื่อลูกจะได้ไม่ต้องทำงานต่ออีก จึงตัดสินใจรับงานที่เขาเสนอให้
แต่แล้วเธอก็ไม่อาจที่จะหยุดหรือห้ามโชคชะตาของเด็กทั้งคู่ได้ เพราะจากผลงานที่ผ่านมาของเด็กๆ ยิ่งทำให้มีคนติดต่อเข้ามามากมายจนไม่สามารถที่จะปฏิเสธได้ เธอจำต้องยอมให้ทั้งสองคนอยู่ในวงการนี้ต่อไป
“ขอบใจมากเลยนะป่าน... ถ้าเราไม่ได้ป่านคงแย่”
หญิงสาวเอ่ยขอบคุณเพื่อนรักจากใจจริง
“เราเพื่อนกันก็ต้องช่วยเหลือกันอยู่แล้ว... เออ ว่าแต่คุณรวิชญ์เขาไม่เคยติดต่อเธอเลยหรือ”
ปานชนกมองหน้าเพื่อนรักสีหน้าเจื่อนๆ เล็กน้อย เพราะรู้ดีว่าเป็นคำถามที่ไม่สมควรถาม
จะว่าไปแล้วนับจากณรันดาหนีจากเขามานั้น เธอก็เก็บตัวไม่ค่อยออกไปไหนมาไหน อยู่แต่บ้านรับแปลหนังสือ และเขียนบทความอยู่กับบ้าน ไม่ติดต่อกับใคร ยกเว้นปานชนกเพียงคนเดียวเท่านั้น
“เขาจะติดต่อมาทำไมกันล่ะ... เราไม่ได้มีความสำคัญอะไรกับเขาสักหน่อย”
น้ำเสียงที่ดังเล็ดรอดออกมานั้นแสดงชัดเจนว่าเธอยังคงน้อยใจเขาคนนั้นอยู่
“แต่อย่างน้อยเขาก็เป็น...”
“ป่านสัญญากับเราแล้วนะว่าจะไม่ให้ใครรู้ว่าพ่อยายสองคนนี้เป็นใคร”
ณรันดารีบพูดดักขึ้นโดยไม่รอให้เพื่อนรักพูดจนจบประโยค
ขณะกำลังพูดคุยเด็กในร้านก็เอาไอศกรีมมาเสิร์ฟให้พอดี ณรันดาจึงเลื่อนถ้วยไอศกรีมที่พนักงานสาวเพิ่งเอามาเสิร์ฟให้ไปวางตรงหน้าลูกสาว
“แต่ป่านว่านะ อีกหน่อยเขาต้องรู้แน่... เพราะนับวันยายแสบนี่งานจะยิ่งเยอะขึ้นเรื่อยๆ และเป็นที่รู้จักของหลายคนมากขึ้น”
“นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่เราอยากให้ลูกเลิกทำงานนี้”
ณรันดาพูด ตามความรู้สึกจากใจจริง เพราะส่วนลึกๆ เธอกลัวว่าวันหนึ่งผู้ชายคนนั้นจะรู้ และจะมาพรากเอาแก้วตาดวงใจไปจากเธอ
“ยังไงเขาก็พ่อลูกกันนะปลาย”
ป่านชนกพูดพลางปรายตามองหน้าเด็กน้อยสองคนที่กำลังให้ความสนใจกับการกินไอศกรีมอยู่อย่างไม่สนใจว่าผู้ใหญ่สองคนที่นั่งด้วยนั้นคุยอะไรกัน
“เลิกพูดถึงมันเถอะ... เพราะเขาคงไม่สนใจอะไรเราหรอก”
ว่าแล้วณรันดาก็เปลี่ยนเรื่องสนทนาและหันไปให้ความสนใจกับเด็กน้อยสองคนแทน ปานชนกได้แต่ส่ายน้อยๆ อย่างอ่อนใจกับท่าทีไม่สนใจของเพื่อนรัก
