บทที่ 1 ตอนที่ 5
ปัง! “เปิดประตู!! จีนัส!! ฉันบอกให้เธอเปิดประตูเดี๋ยวนี้”
เสียงเคาะรัวหลายครั้ง จนประตูห้องเธอแทบพังพร้อมกับเสียงเรียกที่เต็มไปด้วยความโมโห ทำให้กันต์ศิตางค์ที่อยู่บนที่นอนใช้ผ้าห่มคลุมโปงมิดชิดปิดหูปิดตาทำเหมือนไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น ทั้งๆ ที่เสียงนั้นมันดังลั่นจนห้องแทบถล่มอยู่รำไร
“จีนัส!! ถ้าเธอไม่เปิดฉันพังเข้าไปแน่! เปิด!”
ปัง ปัง ปัง ศิลาภินยังคงโหมทุบประตูทั้งเรียกให้หญิงสาวในห้องออกมาพบเขา มันนานพอแล้วที่กันต์ศิตางค์ได้ใช้ความเอาแต่ใจของตัวเอง ถึงเวลาที่เธอต้องออกมาทำตามความต้องการของคนอื่นบ้าง
และมันก็ไม่ใช่เรื่องหนักหนาสาหัสอะไรเลย แค่ไปจุดธูปหน้าศพน้องสาวตัวเองแล้วบอกให้อภัยอโหสิกรรมต่อดวงวิญญาณอาภัพเท่านั้น ทุกอย่างก็จบทุกคนก็ได้ไม่พลอยห่วงกังวลไปด้วย
“...” เงียบ ไม่มีเสียงตอบรับ กันต์ศิตางค์กำลังเปิดสงครามเย็นกับเขาอยู่ ใช่ว่าอยากใช้วิธีรุนแรงบังคับกัน แต่ตลอดเวลาสองสามวันที่ผ่านมาทั้งเขาและทุกคนพยายามพูดดีด้วยก็แล้วกล่อมก็แล้ว ขอร้องก็แล้วให้หญิงสาวยอมไปไหว้ศพน้องสาวสักครั้ง
แต่ดูเหมือนมันจะไร้ผล...
และคืนนี้เป็นคืนสุดท้ายแล้วที่ศพของฉัตรชฎาจะตั้งสวดพระอภิธรรมเพื่อส่งดวงวิญญาณไปสู่สุคติภพ เมื่อถึงวันพรุ่งนี้ร่างของเธอก็จะถูกเผากลายเป็นผงธุลี ไม่มีทางคืนสภาพเป็นฉัตรชฎาได้อีกแล้ว
กริ๊ก! “จีนัส!” เสียงประตูถูกปลดล๊อกพร้อมๆ กับฝีท้าวหนักๆ เดินย่ำเข้ามาในห้องและผ้าห่มผืนโตที่คลุมร่างเธอไว้ก็ถูกดึงออกไป กันต์ศิตางค์ลืมตาโพลงมองบุรุษที่เรียกชื่อเธอซึ่งยืนเท้าสะเอวถมึงทึงอยู่ตรงหน้า เธอรีบผลุนผลันลุกนั่งด้วยความโมโหที่ถูกละเมิดสิทธิ์ความเป็นส่วนตัว “คุณมีสิทธิ์อะไรเข้ามาในนี้...ออกไปนะ!!”
“สิทธิ์เหรอ...พี่มีแน่สิทธิ์ที่เข้ามาได้อย่าบอกนะว่าเธอลืมไปแล้ว...”
“เลว...ฉันบอกให้ออกไปไงเล่าออกไปสิ...เข้ามาทำไม...โอ๊ย!!!”
“ไปแต่งตัวซะ...เดี๋ยวนี้” ชายหนุ่มขยับเข้าไปคว้าแขนที่ยื่นออกมาและบิดกลับเข้าหาเจ้าตัวจนเธอร้องเสียงลั่นด้วยความเจ็บ
“แต่งตัว...ไปไหนปล่อยสิ โอ๊ย!!! เจ็บ!!”
“เจ็บก็ฟังแล้วก็ทำตามที่พี่บอกจีนัสอย่าให้พี่ต้องใช้ความรุนแรงมากกว่านี้ ไปแต่งตัวพี่จะพาเราไปไหว้ศพของจีน” ศิลาภินจ้องดวงหน้าหวานเขม็ง ยังไงเสียเวลานี้เขาก็จะไม่ยอมเธออีกแล้ว
“คุณ...กล้าดียังไงมาบังคับให้ฉันทำเรื่องที่ไม่อยากทำ รักกันนักหวงกันหนาก็ไปอยู่ด้วยกันไปไหว้กันเองสิมายุ่งอะไรกับฉันด้วย” หญิงสาวน้ำตาคลอเบ้ารู้สึกเจ็บจี๊ดในหัวอกขึ้นมาทันที ที่แท้เขาทำทุกอย่างก็เพื่อฉัตรชฎา แม้แต่วินาทีสุดท้ายเขาก็ยังเลือกทำเพื่อให้เธอคนนั้นสบายใจ
“ไป หรือ ไม่ ไป...”
“ไม่!! อื้อ!” ก่อนประโยคถัดไปจะถูกพ่นออกมาจีบปากบางกลับถูกฉกปิดเสียก่อนแล้ว ศิลาภินไล่มือไปจับไหล่มนทั้งสองข้างของหญิงสาวและลากเข้าหาตัวในขณะที่เขาเองก็ทรุดนั่งลงบนที่นอนนุ่มเพื่อรั้งร่างบางให้อยู่ในอ้อมกอดได้ถนัดถนี่
กันต์ศิตางค์ชาวาบไปถึงขั้วหัวใจไม่นึกสักนิดว่าเขาจะทำถึงขนาดนี้ สมองของเธอมึนงง สับสนและยังจับต้นชนไปลายไม่ถูก
“อื้อ...”
“นิ่งไว้...นิ่งๆ” เมื่อหญิงสาวในอ้อมกอดเริ่มขัดขืนนิดๆ ศิลาภินจึงละริมฝีปากออกจูบซับตรงเปลือกปากสาวคล้ายปลอบขวัญก่อนจะทาบทับบนกลีบปากสีสดนั้นอีกครั้ง ฉกชิมความหอมหวานที่รอคอยมาแสนนานอย่างสมใจ ก่อนจะรุกไล่พรมจูบทั่วดวงหน้าหยอกเอินอย่างคุ้นเคยแม้จะร้างรามานานปี
“นี่...ปล่อย!!” สติเริ่มกลับมาอีกครั้งหลังจากหลงมนต์สะกดแห่งรสจูบนั้นอยู่พักใหญ่ กันต์ศิตางค์รวบรวมกำลังทั้งหมดผลักร่างหนาให้ออกจากตัวแต่ไร้ผล ดูเหมือนเขารู้ทันเสียก่อนจึงรัดเธอไว้แน่นยิ่งขึ้น หญิงสาวน้ำตาเอ่อไหลออกจากเบ้ากับความพ่ายแพ้ที่ถูกเขาบังคับขืนหัวใจ
“ทีนี้จะยอมไปรึยัง...ถ้าไม่ยอมไปงานศพเธอก็ต้องยอมพี่...ว่าไงจะเลือกอย่างไหน”
ชายหนุ่มรู้สึกเจ็บแปลบทันทีที่ได้เห็นน้ำตานั้น แต่ก็ทำเป็นไม่ยี่หระเขาต้องไม่ใจอ่อนเด็ดขาดยังไงวันนี้ก็ต้องลากกันต์ศิตางค์ไปที่วัดให้ได้ เขาได้ทีขู่ซ้ำทั้งยังจับความรู้สึกลนลานของคนในอ้อมกอดได้เป็นอย่างดี
แต่ใช่ว่ามีแต่เธอเสียเมื่อไหร่ล่ะที่จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเขาก็เช่นกัน แทบจะยั้งอารมณ์เมื่อครู่ไม่อยู่ด้วยซ้ำถ้าหากเธอไม่ผลักตัวเขาออกจนได้สติและได้เห็นว่าเธอกำลังร้องไห้ มีหวังคงเลยเถิดไปกว่านี้แน่
“ปล่อยก่อน...”
“พี่ถามว่าเธอ...จะไปหรือไม่ไป...หืม...” ใบหน้าคมสันโน้มเข้ามาความหอมหวานอีกครั้ง ปากก็ขู่เธอแต่ใจนั้นกลับเต้นสั่น ศิลาภินอยากให้หญิงสาวรีบตอบรับให้โดยเร็วที่สุดก่อนที่เขาจะยั้งตัวเองไม่อยู่และเธอจะไม่มีโอกาสได้เลือกอีก “ป่ะ...ไป...” ลมหายใจอุ่นๆ ของเขาที่เป่ากระทบใบหน้ามีอิทธิพลต่อจิตใจเธอเหลือเกิน ยิ่งได้อยู่ในอ้อมแขนนี้อีกครั้งมันราวกับวันเวลาย้อนกลับไปถึงตอนที่ยังไม่เกิดเรื่อง แค่ได้สัมผัส...แค่ได้แตะต้องนี่เธอถึงกับลืมเลือนความบาดหมางที่แสนเจ็บปวดไปชั่วขณะเลยหรือ หญิงสาวถอนหายใจและแหงนหน้ามองเพดานเพื่อกลืนน้ำตา
“ปล่อยสิ...ฉันจะได้ไปเปลี่ยนเสื้อผ้า”
“อย่าตุกติกนะจีนัส...พี่เอาจริง เราได้รำลึกความหลังกันพักใหญ่แน่ถ้าเธอไม่ได้ไปที่วัดคืนนี้”
ศิลาภินข่มขู่ด้วยน้ำเสียงเบาหวิวตรงริมกกหูขาวสะอาด ทำให้หญิงสาวรีบผลักเขาออกก่อนตัวเองจะกระโดดลงจากเตียงไปเปิดตู้เสื้อผ้าและคว้าเอาชุดดำวิ่งเข้าห้องน้ำไป
รอเวลาไม่นานนักสาวเจ้าในชุดเดรสสีดำสนิท ก็ออกมาจากห้องน้ำให้เขาได้ยลโฉม กันต์ศิตางค์สวยจริงๆ ก่อนนี้หญิงสาวตรงหน้าเขาว่าสวยไม่มีที่ติแล้ว กลับมาอีกครั้งสี่ปีให้หลังเธอกลับสวยขึ้นอีกเป็นกอง
ผิวขาวปานหยวกขับกับชุดสีดำเข้มแขนกุด ที่รัดช่วงทรวงอกจนถึงเอวแล้วปล่อยบานเป็นกระโปรงยาวถึงเข่า รูปร่างสะโอดสะองได้รูปไปกว่าเมื่อก่อนนั่น อาจเป็นเพราะร่างกายของเธอได้พัฒนากระชับเป็นรูปเป็นร่างยิ่งขึ้นตามอายุนั่นเอง มันเพิ่มความน่ากอดน่าลูบไล้เท่าทวีคูณเลยทีเดียว
“จะไปกันได้ยังล่ะ...เมื่อกี้เห็นรีบทำท่าจะเป็นจะตาย”
“อ๋อ...ไปสิ...” เพราะมัวแต่ยืนตะลึงงันจึงไม่รู้ตัวเลยว่าเทพธิดาชุดดำของเขาได้เดินไปรอที่ประตูห้องตั้งนานแล้ว ศิลาภินลุกจากที่นอนอย่างเก้อๆ เดินตามหลังหญิงสาวที่ยังมีอาการกระฟัดกระเฟียดอย่างยิ้มๆ พลางคิดในใจว่าถ้ารู้ว่าใช้ไม้นี้แล้วได้ผลคงใช้ไปนานแล้วล่ะ
