๙ หลบหน้า (๒)
“ไม่เอาหรอกพี่มิ หนูไม่กล้า” ดมิสาเปลี่ยนมาเป็นจับแขนเล็กพลางจ้องเข้าไปในดวงตาที่เต็มไปด้วยความหวาดหวั่นนั้น
“ช่วยพี่สักครั้งเถอะนะ แล้วเดือนหน้าพี่จะให้กล้วยอยู่กะเช้า” ได้ยินข้อเสนอนั้นก็ตาวาว หล่อนได้อยู่กะดึกมาสามเดือนติดแล้ว หากอยู่กะเช้าก็ดีเหมือนกันนาฬิกาชีวิตจะได้ไม่รวน ทั้งยังได้ทิปจากแขกอีกด้วย ทว่าลืมนึกเรื่องยอดของผู้เข้าพักซึ่งลดลงเป็นจำนวนมาก
หัวหน้าแผนกเห็นความลังเลในดวงตากลมก็ตบไหล่อีกฝ่าย พลางยิ้มให้อย่างใจดีก่อนจะเอ่ยประโยคที่ปิดการปฏิเสธ
“ขอบใจมากนะกล้วย เดี๋ยวพี่ไปหาคุณหยางก่อน ฝากด้วยนะ อ้อ แล้วอยากลืมจดวาระการประชุมแล้วส่งเรื่องให้พี่วันพรุ่งนี้ล่ะ” สั่งเรียบร้อยพร้อมเดินออกจากห้องน้ำด้วยความรวดเร็ว หล่อนขึ้นลิฟต์ไปยังห้องพักของมิสเตอร์หยาง นักธุรกิจชาวจีนที่มักบินไปกลับไทย-จีนเป็นว่าเล่น
อีกทั้งฝ่ายนั้นยังมาติดพันหล่อนด้วย รู้ดีว่าทางบ้านของเขาคงไม่ยอมรับถึงได้พยายามปฏิเสธ อีกทั้งไม่มีใจเสน่หาต่อชายหนุ่ม ตัดการติดต่อทุกช่องทาง เว้นช่องว่างระหว่างเจ้านายกับลูกน้องชัดเจน
ทว่าวันนี้คงต้องขอให้หยาง หยงชิงช่วยเสียแล้ว...
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
เคาะประตูไม้สีทึบด้วยใจลุ้นระทึก กังวลว่าจะรบกวนคนตัวสูงหรือเปล่า รอไม่นานก็ถูกเปิดออกพร้อมหนุ่มรูปหล่อซึ่งอยู่ในชุดไปรเวท วันนี้เขาว่างจึงคิดจะไปเที่ยวกับเพื่อน แต่ดูเหมือนว่าเพื่อนจะไม่สำคัญเสียแล้ว
“วันนี้คุณต้องการไกด์นำเที่ยวไหมคะ” ถามพลางส่งรอยยิ้มหวาน ทำเอาชายหนุ่มตาพร่ามัวไปชั่วขณะ เขาตกหลุมพรางของหล่อนเข้าอย่างจัง พยักหน้าขึ้นลงอย่างรวดเร็ว
“ครับ” คำตอบเพียงเท่านั้นก็ทำเอาใจหล่อนแอบถอนหายใจโล่งอก
วันนี้หนีการพบหน้าโดยตรงได้แล้ว หวังว่าต่อจากนี้เธอจะไม่ต้องเจอเขาอีก เดี๋ยวภูวิศคงกลับนิวยอร์กแล้วให้คนดูแลโรงแรมแห่งนี้แทน และเราคงไม่ได้พบกัน...
หัวหน้าแผนกต่างๆ ทยอยเข้ามาภายในห้องประชุมแห่งนี้ นั่งตามตำแหน่งที่เขียนไว้ข้างหน้าตนเอง หญิงสาวซึ่งถูกหัวหน้าไหว้วานแทบนั่งไม่ติดเก้าอี้ มองคนระดับสูงกว่าอย่างกระสับกระส่าย ตื่นเต้นจนทำตัวไม่ถูก มือเย็นเฉียบกระทั่งเห็นประธานคนใหม่เดินเข้ามา
ทุกคนต่างลุกขึ้นยืนทักทาย ก่อนจะรีบนั่งลงเมื่อร่างสูงประจำที่ ดวงตาคมกวาดมองทุกคนอย่างช้าๆ ก่อนจะหยุดที่หญิงสาวซึ่งสวมชุดเครื่องแบบพนักงานต้อนรับ มองป้ายชื่อพบว่าเป็นผู้จัดการแผนกต้อนรับส่วนหน้า
ซึ่งแน่นอนเขารู้ว่าไม่ใช่ผู้หญิงคนนี้!
“มาครบกันแล้วใช่ไหม” หัวใจของสาวพนักงานต้อนรับดังแทบทะลุออกมาจากอก ก้มหน้าต่ำที่สุดไม่สบตาใคร ภาวนาให้การประชุมผ่านไปโดยเร็ว
“ผมขอเริ่มการประชุมเลยแล้วกัน ผมจะขอพูดสามเรื่องแบบรวบรัดสั้นๆ” ถึงหน้าจะออกฝรั่งเพราะเป็นลูกครึ่งแต่กลับพูดไทยชัด เขาอาศัยอยู่ประเทศนี้ตั้งแต่เกิดจนจบมหาวิทยาลัย คงไม่แปลกเท่าไหร่ ทว่าหลายคนที่ไม่รู้ต่างอ้าปากค้าง ตอนแรกนึกว่าจะต้องพูดภาษาอังกฤษกับเจ้านายใหม่เสียแล้ว
ตลอดสามชั่วโมงที่นั่งอยู่ในห้องนั้นหล่อนนึกว่าตนเองจะถูกแช่แข็งเสียแล้ว สายตาของภูวิศจับจ้องมายังที่นั่งของเธอบ่อยครั้ง มันไม่ได้ทำให้เขินอายสักนิดถึงใบหน้าเขาจะหล่อมากแค่ไหนก็ตาม ในเมื่อรู้สึกว่ากำลังจะถูกเจ้านายสังหารด้วยแววตาคมคู่นั้น
พยายามจดทุกอย่างที่เขาพูดให้มากที่สุด ตั้งสติเพื่อจะได้นำไปรายงาน ดมิสาได้ถูกต้อง ตอนแรกที่เขาบอกจะพูดสั้นๆ ก็นึกดีใจว่าคงสามสิบนาทีหรือหนึ่งชั่วโมง แต่ลากยาวมาสามชั่วโมงก็เข้าใจแล้ว
คำว่าสั้นของเรามันต่างกัน...
“วันนี้พอแค่นี้แล้วกันครับ” คนฟังลอบถอนหายใจกันถ้วนหน้า เห็นหน้าหล่อแบบนั้นแต่เคี้ยวชะมัด มาทำงานวันแรกก็สั่งเสียยาวเหยียด ทั้งยังปรับเปลี่ยนแผนงานบางส่วนและนโยบายให้สอดคล้องกับงานปัจจุบัน
ทุกคนทยอยลุกขึ้นเพื่อออกจากห้อง หญิงสาวที่มาแทนหัวหน้าก็อยากออกไปใจจะขาดแต่รอให้ผู้จัดการแผนกออกไปก่อน และเมื่อห้องเริ่มร้างผู้คนจึงรีบยืนเต็มความสูง คิดว่าอย่างไรก็รอดแล้วทว่าเสียงเข้มดังขัดจนต้องหยุดที่เดิม
“ผู้จัดการแผนกต้อนรับส่วนหน้า...ผมขอคุยด้วยเป็นการส่วนตัว” ร่างสูงที่นั่งหัวโต๊ะยกแขนขึ้นค้ำบนโต๊ะพลางมองมายังคนที่ใจหล่นไปอยู่ตาตุ่ม ลอบกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบากแล้วค่อยนั่งลงที่เดิม
“คะ คือว่า ดิฉันไม่ใช่ผู้จัดการค่ะ” บอกเสียงสั่นด้วยความกลัว ยิ่งยามจ้องดวงตาเรียวทำเอาแข้งขาพลันอ่อนแรง ไม่รู้ทำไมดมิสาจึงได้ผลักเธอลงมาบนกองไฟที่ร้อนระอุขนาดนี้
“แล้วผู้จัดการของคุณไปไหน ทำไมส่งคุณมาแทน เขาไม่รู้หรือไงว่าประชุมวันนี้สำคัญแค่ไหน” เอากายพิงพนักเก้าอี้พลางเคาะนิ้วลงบนโต๊ะเป็นจังหวะระหว่างรอคำตอบจากพนักงานต้อนรับที่ตัวสั่นเงินงก ไม่เคยเจอสถานการณ์กดดันขนาดนี้มาก่อน
เพิ่งเรียนจบมาได้ห้าเดือน เข้าทำงานที่นี่สี่เดือน อยู่เวรกะเช้าหนึ่งเดือนนอกนั้นก็กะดึกที่แทบไม่พบเจอผู้คน หล่อนเลยไม่มีภูมิต้านทานกับการจ้องเอาเรื่องของผู้บริหารหนุ่มหล่อ
“พะ พี่มิต้องดูแลลูกค้าวีไอพีค่ะ” เขาพยักหน้าขึ้นลงช้าๆ อย่างใช้ความคิด
“ใคร” กล้วยอยากให้เวลานี้รีบผ่านพ้นไปเหลือเกิน หล่อนรู้สึกเหมือนกำลังถูกยมบาลสอบสวนทั้งที่ตนเองไม่มีความผิด
“มิสเตอร์หยาง หยงชิงค่ะ” มือหนาค่อยกำเข้าหากันแน่น พอจะทราบว่านักธุรกิจคนนั้นเป็นใครในเมื่อตระกูลหยางใหญ่และร่ำรวยอันดับต้นๆ ของประเทศจีน ที่บ้านทำบริษัทผลิตรถยนต์รายใหญ่ของเอเชีย และส่งออกยุโรป ในเครือ Yang Group มีโรงงานตามประเทศต่างๆ ทำให้ต้องเดินทางตลอดเวลา
ทว่าทำไมอีกฝ่ายถึงปักหลักที่ไทย...
“นัดพบคุณสุเมธแล้วใช่ไหม” ร่างสูงหันไปถามผู้ติดตามที่ยืนนิ่งรอรับคำสั่ง
“ครับ” หลังจากนั้นประธานหนุ่มหล่อก็ลุกขึ้นก่อนก้าวออกจากห้องทันที ไม่ถามอะไรหล่อนอีกจนคนที่เหมือนกำลังจะตกปากเหวผ่อนลมหายใจเสียงดังเมื่อรู้ว่าตนเองรอดตายแล้ว
คุณภูวิศน่ากลัวชะมัด ใครจะบอกว่าหล่อเหลือร้าย รวยเหลือล้นเธอก็ขอลาขาด ไม่หลงใหลได้ปลื้มไปด้วยหรอกนะ แววตาคมดุดั่งราชสีห์ที่รอขย้ำเหยื่อ สงสารภรรยาในอนาคตจริงๆ ที่ต้องตกอยู่ใต้อาณัติของสามี
โดยที่กล้วยไม่รู้เลยว่า เรื่องจะกลับตาลปัตร...
ราชสีห์ต่างหากที่จะตกอยู่ในเงื้อมือของหนู
“ถึงเวลาเลิกงานพอดี เดี๋ยวผมไปส่งคุณที่บ้านแล้วกันนะครับ” หลังจากพาเขาเที่ยวทั้งวันเธอก็คิดจะกลับไปจัดการงานที่คั่งค้าง สัปดาห์หน้าต้องแจ้งยอดรายจ่ายต่างๆ ให้ผู้จัดการโรงแรมได้รับทราบ คงกลับโรงแรมเพื่อไปเอาเอกสารก่อน
“กลับโรงแรมดีกว่าค่ะ ฉันยังมีงานต้องทำ” ตอบกลับเป็นภาษาไทย และหยาง หยงชิงก็พูดภาษาไทยเช่นกัน เขาลงเรียนอย่างหนักมาสามปีเพื่อเอาใจหญิงสาวผู้นี้ แต่ก็เหมือนว่าเส้นกั้นระหว่างกันไม่ได้ลดลงเลย
ดมิสาให้เขาเป็นเพียงลูกค้าวีไอพีเท่านั้น ทั้งที่ชอบหล่อนมากแท้ๆ หากอีกฝ่ายตอบรับก็พร้อมจะพาไปทำความรู้จักกับครอบครัว อาจพบเจออุปสรรคสักหน่อยถ้าจับมือกันคงผ่านไปได้
ทว่าเธอไม่คิดอะไรกับเขาสักนิด มันทำให้ความหวังของหนุ่มนักธุรกิจจีนเริ่มจะหรี่ลง อีกทั้งบ้านก็หมั้นหมายไว้กับลูกสาวรัฐมนตรี
เส้นทางรักเหมือนจะถึงทางตันเสียแล้ว
“ทำไมคุณถึงพาผมเที่ยวล่ะครับ โดดงานเหรอ” ระหว่างทางกลับโรงแรมเขาก็หันมาถาม ดมิสาเป็นคนขับรถยนต์ให้เพราะมีใบขับขี่ อีกทั้งรู้เส้นทางดีกว่าคนนั่งข้างกาย
“จะว่าอย่างนั้นก็ได้ค่ะ” เบี่ยงไปยังถนนอีกเส้น ช่วงเย็นรถเริ่มติดทำให้ต้องนั่งสนทนากับผู้ร่วมทาง หากไม่มีเรื่องของภูวิศเธอก็คงไม่ต้องตกอยู่ในบรรยากาศแสนอึดอัดอย่างนี้หรอก รู้ทั้งรู้ว่ามิสเตอร์หยางชอบตนเองมากแค่ไหน และเธอก็ชัดเจนว่าไม่ได้คิดกับเขาในเชิงชู้สาว
วันนี้กลับต้องมาใกล้ชิด เพิ่มความหวังให้อีกฝ่าย เห็นใบหน้าหล่อยิ้มแย้มมีความสุขก็เริ่มรู้สึกผิด นึกขอโทษเขาในใจหลายรอบ
พาหนะค่อยเคลื่อนไปอย่างช้าๆ จนกระทั่งถึงโรงแรมนรินยาซึ่งไม่ค่อยมีคนเข้าพัก ดีที่แขกประจำยังเข้าพักเหมือนเดิม อย่างคุณหยาง หยงชิงเมื่อมาไทยก็พักที่นี่ตลอด อาจเพราะหญิงในดวงใจทำงานอยู่โรงแรมนี้จึงต้องทำตามเสียงหัวใจเรียกร้องสักหน่อย
“ขอบคุณสำหรับวันนี้นะครับ” จอดรถยนต์หน้าโรงแรม ก่อนจะเปิดประตูหวังเข้าไปข้างใน ร่างสูงถึงได้มายืนดักพร้อมพูดขอบคุณ ทั้งที่จริงอยากคุยกับหล่อนนานกว่านี้
“ยินดีค่ะ ถ้าต้องการอะไรเรียกพนักงานได้ทุกเมื่อนะคะ” ค้อมศีรษะแล้วเดินเลี่ยงเข้าไปข้างใน ไม่เปิดโอกาสให้เขาได้พูดอะไรด้วยอีก ชายหนุ่มถอนหายใจแสนเสียดายที่ได้อยู่กับหล่อนน้อยเหลือเกิน เวลาทั้งวันก็ไม่เพียงพอ
ต้องการมองหน้าดมิสาไปตลอดชีวิต...ทำอย่างไรถึงจะได้หล่อนมาข้างกาย ต้องทุ่มเงินเท่าไหร่ เป็นร้อยล้านเลยไหม
“สวัสดีครับ มิสเตอร์หยาง” เสียงกล่าวทักทายเป็นภาษาอังกฤษสำเนียงผู้ดีทำเอาต้องหันไปมอง ก่อนที่จะยิ้มอย่างดีใจ เข้าไปหานักธุรกิจที่เคยพบกันในงานเลี้ยงของท่านลอร์ดเดวิด คาเมรอน เป็นขุนนางเก่าแก่ในประเทศอังกฤษ มีนักธุรกิจทั่วโลกเข้าร่วมงาน และพวกเขาก็รู้จักกันวันนั้น
“อ้าว มิสเตอร์ภูวิศ” เข้าไปจับมือพลางกอดทักทายกัน หลังจากนั้นจึงย้ายไปยังส่วนรับรองของโรงแรมโดยมีผู้ติดตามของภูวิศเดินไปด้วย
“ไม่คิดว่าจะเจอคุณที่นี่ นึกว่าอยู่นิวยอร์กเสียอีก” นั่งลงบนโซฟานุ่มในห้องรับรองแขกที่อยู่ด้านในสุด ทำไว้สำหรับแขกวีไอพีที่ต้องการความเป็นส่วนตัว แต่ช่วงนี้ไม่ค่อยได้ใช้สักเท่าไหร่เลยว่างไม่ต้องจองล่วงหน้าก็สามารถเข้าใช้งานได้เลย
เครื่องดื่มทยอยมาเสิร์ฟราวกับว่าภูวิศเตรียมของเหล่านั้นไว้ก่อนแล้ว ชายชาวจีนดูจะตื่นเต้นไม่น้อยที่เจอเพื่อน ต่างจากเจ้าของโรงแรมที่มีมาดนิ่งกว่าปกติ ออกจะไม่ชอบใจเมื่อเห็นรอยยิ้มที่มิสเตอร์หยางมอบให้คนของตน
“ผมมาอยู่ไทยได้สักพักแล้ว ต้องรับผิดชอบโครงการที่นี่” ตอบเสียงเรียบแล้วยกกาแฟขึ้นดื่ม ในขณะที่คู่สนทนาก็หยิบน้ำชามาจิบ
“คุณจะอยู่นานไหมครับ” ถามด้วยความอยากรู้
“อาจจะตลอดไปครับ” คนฟังนิ่งค้าง เริ่มสงสัยแล้วว่าเหตุใดภูวิศถึงได้ละทิ้งความก้าวหน้าในนิวยอร์กมาอยู่ในประเทศโลกที่สามแห่งนี้ เหตุผลคงมีไม่เยอะหรอก และหนึ่งสิ่งที่เขาสงสัยนั่นคือ...
มีคนรักอยู่ที่นี่
ริมฝีปากเรียวยกยิ้มทันที พลางขยับเข้าไปใกล้คนที่ดื่มด่ำกับกาแฟเล็กน้อย กระซิบพอให้ได้ยินกันสองคนเนื่องจากในห้องยังมีเอ็ดเวิร์ดยืนรอรับคำสั่งด้วย
“คุณมีคนรักอยู่ไทยใช่ไหมครับ” ได้ยินมาบ้างว่าภูวิศถูกหมั้นหมายกับลูกสาวของเศรษฐีในนิวยอร์ก แต่คงไม่ได้เกิดจากความเต็มใจ ก็แค่ครอบครัวเห็นว่าเหมาะสม เกื้อหนุนในทางธุรกิจเท่านั้น
“ทำไมคิดอย่างนั้นล่ะครับ” วางแก้วลงบนโต๊ะพลางยกขาขึ้นไขว้ห้าง ประสานมือบนตักพลางจ้องคู่สนทนานิ่ง ท่าทีน่าเกรงขามทำให้หยาง หยงชิงเริ่มอึดอัด
“ผมก็แค่เดาเอาน่ะครับ” เจ้าของโรงแรมคนใหม่อมยิ้มเพียงนิดเดียว แล้วค่อยพยักหน้าอย่างช้าๆ เป็นการยอมรับข้อสันนิษฐานของฝ่ายตรงข้าม ที่พูดมาก็ไม่ผิดนัก เขากะจะมาอยู่สักพักแต่พอรับรู้เรื่องสำคัญแผนจึงถูกเปลี่ยนทันที
คิดจะลงหลักปักฐานที่บ้านเกิดเมืองนอนของตนเองอีกครั้ง แน่นอนว่าบิดาไม่ยอม ทุกคนค้านหัวชนฝาแต่มีหรือที่คนอย่างภูวิศจะฟังใคร ร่างสูงเริ่มดำเนินการทุกอย่างโดยไม่สนใจครอบครัวที่อยู่นิวยอร์กสักนิด อย่างไรไม่นานคุณเกวินก็คงจะทราบสาเหตุว่าทำไมบุตรชายถึงอยากอยู่ประเทศไทยนัก
“ครับ คุณเดาถูก” จ้องใบหน้าที่แสดงความดีใจเมื่อคาดเดาได้ถูกต้อง
“ผมว่าแล้วเชียว เขาเป็นใครหรือครับ” ถามด้วยความอยากรู้ ทว่าร่างสูงกลับทำเป็นมีลับลมคมในราวไม่ต้องการบอก
“อีกไม่นานคุณจะรู้ครับ” บอกเป็นนัย แล้วชวนคุยเรื่องอื่น มิสเตอร์หยางก็คล้อยตามโดยง่าย ไม่สงสัยสักนิดว่าผู้หญิงคนนั้นของภูวิศคือใคร
บางทีอาจเป็นคนที่ครอบครองหัวใจเขาทั้งดวง หวังว่าคงไม่เกิดศึกชิงนางขึ้นกลางโรงแรมหรอกนะ...
