๘ คุณลุงที่ใจดี (๒)
“ไม่เป็นไรค่ะ หนูกลัวอิ่มแล้วกินข้าวเย็นไม่ได้” ปฏิเสธเสียงใสแล้วตักไอศกรีมรสหวานเข้าปาก ไม่น่าเชื่อว่าจะอยู่ปอหนึ่งทั้งที่คำพูดคำจาค่อนข้างโตกว่าอายุ
“อ่ะ หนูลืมไปว่ายังไม่ได้แนะนำตัว สวัสดีค่ะ หนูชื่อน้องชิชาอยู่ป.1/2 ค่ะ” วางช้อนแล้วยกมือไหว้อย่างสวยงามตามที่มารดาและครูประจำชั้นสอน เรียกรอยยิ้มจากภูวิศจนเอื้อมมือไปลูบศีรษะเล็กอย่างเอ็นดู
เขาไม่ค่อยชอบเด็กเพราะพูดไม่รู้เรื่อง เอะอะก็เอาแต่ร้องไห้ตลอดเวลา เห็นลูกของเพื่อนหลายคนยามไม่ได้ดังใจก็แผดร้องเสียงดัง ชักดิ้นชักงอจะเอาให้ได้จนปฏิญาณกับตนเองไว้ในใจว่าขอไม่มีลูกดีกว่า
ทว่าพอมาเจอเด็กหญิงคนนี้ความคิดกลับเปลี่ยนไป เขาเริ่มอยากมีลูกที่หน้าตาและนิสัยเหมือนชิชาเสียแล้ว หรือจะรับมาเป็นลูก...
ส่ายหัวกับความคิดของตนเอง เด็กเขามีพ่อมีแม่จะไปพรากได้อย่างไร ดวงตาคมฉายแววแห่งความสุขยามมองหลานทั้งสองดื่มด่ำกับไอศกรีมพลางตักแบ่งกัน เห็นอย่างนี้ก็อดปลาบปลื้มไม่ได้จนต้องยกโทรศัพท์มาถ่ายภาพเก็บเอาไว้
หลังจากกินของหวานเสร็จจึงพาทั้งสองไปยังโซนของเล่นเด็ก ตั้งใจว่าจะซื้อตุ๊กตาให้เด็กน้อยที่เพิ่งพบกันเป็นครั้งแรกแต่สร้างความประทับใจให้เขาเหลือเกิน ทั้งชิชาและวินเซนต์ตื่นตาตื่นใจพากันพุ่งไปยังของที่ตนเองชอบ
เด็กชายตรงเข้าหาหุ่นยนต์ ในขณะที่เด็กหญิงเดินไปหยิบตุ๊กตาขนนุ่มมากอดเอาไว้ ได้กลิ่นหอมของแต่ละตัวซึ่งค่อนข้างต่างกัน
“หนูชอบตัวนี้เหรอ” เขาเดินเข้าไปใกล้เพื่อนของหลานชายพลางย่อตัวให้อยู่ในระดับสายตาเดียวกัน
“ค่ะ มันมีกลิ่นด้วยนะคะ คุณลุงลองดมดูสิ” ยื่นไปให้คุณลุงพลางทำตาแป๋วจนเขาหลุดยิ้ม รับมาดมแล้วพยักหน้าราวเห็นด้วย
“จริงด้วย กลิ่นวานิลลา” พูดเสียงอ่อนโยนแล้วส่งคืนตุ๊กตาให้เด็กหญิง น้องชิชารับแล้วนำไปวางบนชั้นก่อนจะเดินไปหยิบอีกตัวใกล้กันแต่เป็นสีดำมาถือ
“ใช่ค่ะ ตัวนี้สีขาววานิลลา สีดำเป็นกลิ่นช็อคโกแลต” แนะนำราวผู้รู้ ก่อนจะหันไปสนใจตุ๊กตาตัวอื่น ขณะที่วินเซนต์เล่นอยู่คนเดียวจนคุณลุงต้องเข้าไปหา เขาเดินไปนั่งลงข้างหลานชายพลางเอ่ยถามเสียงเบาพอให้ได้ยินสองคน
“พรุ่งนี้...วินอยากไปโรงเรียนไหม” จากที่คิดว่าจะทำเรื่องย้ายออกให้เด็กน้อย มาคราวนี้กลับต้องคิดใหม่และถามความสมัครใจของผู้เรียนอีกครั้ง มือเล็กหยุดชะงักแล้วค่อยผินหน้ามามองคุณลุงที่ส่งยิ้มให้
“ไออยากไปเล่นกับชิชา” บอกเสียงแผ่ว ที่จริงก็ไม่ได้อยากไปโรงเรียน แต่เพราะมีเพื่อนใหม่อย่างมนสิชาที่คอยปกป้อง จึงคิดว่าหากมีเพื่อนคนนี้อยู่ด้วยคงไม่มีใครกล้ารังแกตนเองอีกแล้ว
ก้มมองหุ่นยนต์ที่อยู่ในมือไม่กล้าสบตาคุณลุงของตนเอง กระทั่งสัมผัสอบอุ่นค่อยแตะลงที่กระหม่อมเล็กจึงได้เงยหน้า เห็นรอยยิ้มจากคนตัวสูงที่มอบความอบอุ่นมาให้ก็ยิ้มตอบทันที
“หนูอยากได้ตัวนี้ค่ะ” เด็กหญิงวิ่งเข้ามาพลางยื่นตุ๊กตาสุนัขสีขาวที่มีป้ายชื่อว่าเต้าฮวย ใบหน้ากลมยิ้มแป้นเมื่อตัดสินใจได้ว่าชอบตัวนี้ หลังจากยืนลังเลสีดำกับสีขาวอยู่นานพอสมควร วินเซนต์เห็นเพื่อนเลือกแล้วตอบฉะฉานก็เอากับเขาด้วย
“ไอจะเอาอันนี้” ส่งหุ่นยนต์ให้คุณลุงเล่นเอาชายหนุ่มตั้งตัวไม่ทัน เขารับของทั้งสองชิ้นมาถือค่อยเดินไปจ่ายเงิน โดยมีเด็กน้อยกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจที่ได้ของเล่นชิ้นใหม่ พากันเดินไปยกมือไหว้ผู้ใจดีอย่างนอบน้อม
“ขอบคุณมากนะคะคุณลุง” รับตุ๊กตามากอดเอาไว้ก่อนจะจับมือหนาข้างซ้าย ในขณะที่วินเซนต์ก็จับมือข้างขวา ทำเอาภูวิศดูเหมือนคุณพ่อที่พาลูกๆ มาเดินห้างสรรพสินค้าหลังเลิกงานทันที สาวๆ ต่างมองเขาแล้วหันไปซุบซิบกันด้วยใบหน้าหลงใหล
อยากเป็นแม่ให้เด็กๆ เหลือเกินถ้าพ่อจะเสน่ห์เหลือร้ายขนาดนี้
“พี่ฝากด้วยนะ ต้องรีบกลับบ้าน” ออกมาคุยกับพนักงานในความดูแลของตนเองแล้วหยิบกระเป๋าขึ้นมาสะพาย ดูเวลาที่นาฬิกาข้อมือของตนเอง ก้าวออกจากห้องทันทีแล้วโบกมือเรียกมอเตอร์ไซค์ทว่ามีคนมาคว้าแขนไว้เสียก่อน
“หนีห่าว คุณมิ” หนุ่มรูปร่างสันทัดซึ่งสวมสูทจากแบรนด์ดัง ผิวขาวราวคนไม่เคยต้องแสงแดด ผมดำเซตตั้งเปิดหน้าผากได้รูป ใบหน้าคมแย้มยิ้มให้หล่อนทว่าดูเหมือนคนที่ถูกทักจะไม่อยู่ในอารมณ์รับแขกสักเท่าไหร่
ค่อยปลดมือหนาออกจากแขนตนเอง พยายามไม่ให้เสียมารยาทเพราะอย่างไรคนตรงหน้าก็เป็นแขกวีไอพีที่มาพักโรงแรมแห่งนี้อยู่ประจำ ทั้งยังจ่ายทิปหนักจนพนักงานอยากให้มาหลายครั้ง
“หนีห่าว มิสเตอร์หยาง ฉันกำลังยุ่ง ขอตัวก่อนนะคะ” ค้อมศีรษะพลางตอบกลับด้วยภาษาอังกฤษ รับหมวกกันน็อคมาสวมแล้วรีบขึ้นไปซ้อนท้ายอย่างรวดเร็ว ทำเอาคนที่เพิ่งมาถึงประเทศไทยมองตามหลังแววตาละห้อย
อุตส่าห์หาเรื่องมาทำงานที่ไทยเพื่อเจอหญิงสาว แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะมีธุระจนต้องรีบไปไม่ได้พูดคุยปราศรัย แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาเพราะอย่างไรก็ต้องอยู่ไทยเกือบสัปดาห์ ได้มองใบหน้าหวานอีกหลายวันก่อนจะกลับจีน
ด้านหญิงสาวพยายามติดต่อลูก แต่ดูเหมือนว่าแบตเตอร์รี่จะหมดหรือไม่มนสิชาก็ปิดเครื่อง หล่อนได้ยินเพียงเสียงหวานของโอเปอร์เรเตอร์ตอบกลับ เกือบจะสบถอยู่แล้วหากไม่เป็นเพราะว่าถึงบ้านหลังน้อยก่อน ไฟข้างในเปิดสว่างทำให้ความกลัวมลายไป
ลูกสาวปลอดภัยไม่ได้โดนล่อลวงไปทำมิดีมิร้าย
เปิดประตูรั้วรีบเข้าไปภายในบ้าน ผลักบานไม้สีขาวออกอย่างรวดเร็ว เห็นเด็กน้อยกำลังเดินออกมาจากครัวพร้อมแก้วน้ำผลไม้รสโปรด รีบเข้าไปหาแล้วนั่งคุกเข่าลงให้ระดับสายตาตรงกัน สำรวจร่างกายเจ้าเนื้อเพื่อหาร่องรอยว่าถูกทำร้ายหรือไม่
ถอนหายใจเมื่อลูกสาวไม่มีร่องรอยขีดข่วน “ทำไมวางสายใส่แม่ โทรหาก็ไม่รับ ทำแบบนี้ไม่ดีเลย รู้ไหมว่าแม่เป็นห่วงหนูแค่ไหน” จ้องใบหน้ากลมด้วยแววตาสั่นไหว ภายในใจมีแต่ความกังวลว่าเด็กน้อยจะเกิดอันตรายหรือไม่
ผู้ชายคนนั้นไว้ใจได้มากแค่ไหน ทุกอย่างตีกันในหัวจนไม่เป็นอันทำงาน พอถึงเวลาเลิกหล่อนก็รีบกลับบ้านทันที โชคดีที่มนสิชากลับถึงบ้านอย่างปลอดภัย
โชคดีเหลือเกิน...
“แม่ไม่ร้องนะ หนูขอโทษ แม่อย่าร้องนะคะ” วางแก้วลงบนพื้นแล้วเข้าไปกอดมารดา อ้อนเสียงเครือเกือบจะร้องไห้ไปกับแม่ รู้สึกผิดที่วางสายจากท่านเพราะอยากไปกับเพื่อนใหม่ เห็นน้ำตาของดมิสาก็ใช้มือน้อยเช็ดให้
“หนูไม่ไปแล้ว เลิกเรียนหนูจะกลับบ้าน ฮึก ไม่ร้อง ไม่ให้แม่ร้อง” ส่ายหน้าพลางกอดคอมารดาแน่น จนตอนนี้กลายเป็นว่าแม่ต้องมาปลอบลูกสาวที่ร้องจนสะอื้นตัวโยน หล่อนต้องอุ้มมนสิชาพาไปยังห้องนั่งเล่น ค่อยเช็ดหน้าเช็ดตาให้เด็กน้อย
“แม่ไม่ร้องแล้ว หนูก็หยุดร้องได้แล้วนะคะ เดี๋ยวหายใจไม่ทัน” จับลูกสาวนั่งโซฟาพลางลูบศีรษะอย่างปลอบปะโลม สงสารลูกก็สงสาร ทั้งเป็นห่วงที่ไปกับคนแปลกหน้า แต่เห็นว่ากลับมาปลอดภัยความกังวลภายในใจก็ทุเลาลง
“หนูรักแม่” ขยับเข้ามากอดเอวดมิสาอย่างออดอ้อน มีกันสองแม่ลูกทำให้รักกันมากถึงขนาดถ้าหล่อนจะมีคนรักใหม่ต้องได้รับการยินยอมจากเด็กหญิงเสียก่อน
มีชายหลายคนผ่านเข้ามาในชีวิต ให้โอกาสก็หลายครั้งทว่าไม่เคยมีใครผ่านด่านของเด็กหญิงมนสิชามาได้เลย ทำให้คนเป็นแม่โสดมากว่าเจ็ดปีแล้ว
โครก
เสียงท้องของหนูน้อยร้องขึ้นทั้งที่ยังเช็ดน้ำหูน้ำตา ร่างบางพยายามกลั้นหัวเราะก่อนจะเอ่ยถาม “หิวข้าวไหมคะ” ได้รับการพยักหน้ากลับถึงได้ลุกไปทำอาหารเย็นสำหรับสองคน โดยคนมีความผิดติดตัวเดินตามไม่ห่าง
บ้านหลังเล็กตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นแห่งรัก...
ส่งเพื่อนของหลานเสร็จก็ขับรถออกมาทันที นึกชื่นชมบ้านหลังน้อยที่เพียงมองก็รู้สึกถึงความอบอุ่น อยากเข้าไปดูในบ้านแต่คงเป็นการเสียมารยาทจึงส่งเด็กน้อยข้างนอก เห็นว่ามารดายังไม่กลับเพราะยุ่งกับงาน ใจจริงอยากอยู่รอเป็นเพื่อนแต่เพราะต้องรีบไปงานเลี้ยงต่อทั้งที่ยังไม่ได้เตรียมชุด มันค่อนข้างกะทันหันถึงได้ปล่อยเด็กหญิงไว้คนเดียว
“อังเคิล ชิชาลืมของ” ชี้ไปยังตุ๊กตาซึ่งคุณลุงซื้อให้ สงสัยคงรีบจนไม่ได้เอาลงไปด้วย ชายหนุ่มเลยตัดสินใจเลี้ยวรถกลับไปยังบ้านกลังเดิมที่เพิ่งจากมา
กำลังจะเข้าจอดเทียบรั้วแต่ร่างบางที่เปิดประตูเข้าไปภายในบ้านทำให้เขาต้องชะงัก แทบไม่เชื่อสายตาตัวเองจนต้องเพ่งมองอีกครั้ง ถึงมันจะเป็นเวลาอันสั้นและเห็นเพียงด้านหลังของหล่อนก่อนที่จะเดินแกมวิ่งเข้าบ้าน
ทว่าเขาก็จำได้ขึ้นใจทันที ไม่ผิดแน่ เขาไม่ได้ตาฝาดไปใช่ไหม เธอคนนั้นวิ่งผ่านหน้าไปราวกับว่ามันคือความฝัน แทบจะยกมือขึ้นมาตบศีรษะตนเองเพื่อเรียกสติ
เจ็ดปีมาแล้วสินะที่ไม่ได้พบกัน...
หัวใจเขาแทบทะลุออกมาจากอก ไม่คิดว่าจะเจอคนที่เฝ้าคิดถึงตลอดเวลา พยายามลืมหรือหาคนใหม่มาแทนที่ก็ไม่อาจลบหล่อนออกจากใจได้เลย เธอยังประทับติดตรึงจับจองพื้นที่เอาไว้จนหมดหัวใจ ไม่อาจแบ่งให้ใครได้
ก่อนจะนึกถึงความหลังเขาเริ่มคิดได้ว่าบ้านหลังนั้นมีมนสิชาอยู่กับแม่ นั่นหมายความว่าหล่อนคือมารดาของน้องชิชาใช่ไหม คิดดังนั้นพลันใบหน้าคมก็เริ่มเครียด
แล้วพ่อล่ะ.. คนเป็นพ่ออยู่ที่ไหน
เด็กน้อยไม่เคยเอ่ยถึงพ่อตลอดการเดินทางของวันนี้ พร่ำถึงแต่มารดาว่าแสนดีอย่างไร ทำเอาภูวิศชักจะอยากเห็นหน้าแม่ของหนูน้อยคนนี้ และพอได้เห็นถึงจะเป็นเพียงแผ่นหลังก็เกิดความสงสัยขึ้นทันทีอย่างไม่อาจห้ามได้
หรือจะเป็นเขา ที่มีสถานะคือพ่อของเด็กหญิงคนนั้น
