๕ ยอมจำนน (๑)
๕
ยอมจำนน
เวลาเดินไปอย่างเชื่องช้าในเมื่อหล่อนถูกจำกัดบริเวณให้อยู่เพียงในบ้านหลังงาม ผู้ติดตามถูกเปลี่ยนตั้งแต่เมื่อสองเดือนก่อน และคราวนี้แม้หล่อนจะพยายามผูกสัมพันธ์มากเพียงใดก็ไม่มีใครหันมามองหน้าสักคน
ทำราวกับดมิสาคืออากาศไม่อย่างนั้นชะตาชีวิตตนเองคงเหมือนห้าคนที่ถูกส่งไปทำงานอยู่โรงแรมทางภาคใต้ ไม่มีตำแหน่งชัดเจนถูกใช้ตั้งแต่สากเบือยันเรือรบ ทำความสะอาดห้องของโรงแรมทั้งวันก็โดนมาแล้ว
หล่อนถูกกันออกจากพี่ชาย จะเข้าไปหาอีกฝ่ายได้ก็ต่อเมื่อภูวิศอนุญาต ซึ่งเข้าข้างในแต่ละครั้งใบหน้าของเดชธรรมก็บวมช้ำเช่นเดิม ถูกตรวนโซ่ราวนักโทษจนรู้สึกเวทนาเหลือเกิน แม้ว่าชายหนุ่มจะทำชั่วมามากแค่ไหนก็ควรเอาเข้าชั้นศาลให้ตัดสินโทษไม่ใช่ใช้ศาลเตี้ยเช่นนี้
สองเดือนที่ผ่านมาหล่อนไม่ได้อยู่เฉยๆ กลับคิดวิธีเพื่อจะหนีออกจากกรงขังแสนแข็งแรงแห่งนี้ ได้ข่าวมาว่าร่างสูงกำลังยุ่งเรื่องงานที่ร่วมทุนกับ The area group บอร์ดี้การ์ดก็ตามเจ้าของบ้านไปทำงานเหลือไว้เฝ้าเธอเพียงไม่กี่คน
ง่ายต่อการเจรจา..
“น้ำส้มคั้นค่ะ หวานอร่อย ลองดื่มดูนะคะ” เข้าหาอีหรอบเดิมนั่นคือการใช้เครื่องดื่มสานไมตรี ทว่าก็ยากในเมื่อคนที่ใส่เสื้อสูทสีเข้มยืนนิ่งเป็นหิน ทำราวไม่ได้ยินในสิ่งที่เธอพูด
“รับไปเถอะนะคะ แดดร้อนขนาดนี้ต้องดื่มน้ำเย็นๆ หวานๆ ให้ชื่นใจ” หว่านล้อมเต็มที่แต่เหมือนจะไม่ค่อยได้ผลสักเท่าไหร่
“รีบหยิบไปก่อนคุณภูจะมาเถอะค่ะ ไม่อย่างนั้นคุณจะแย่เอาได้นะคะ” ขู่เสียงเข้มทำเอาชายหนุ่มต้องมองซ้ายแลขวากลัวเจ้านายจะกลับบ้านแล้วเห็นคุณผู้หญิงอยู่กับเขา หากอาละวาดขึ้นมายุ่งกันทั้งบางแน่คราวนี้
มือหนายื่นไปหยิบแก้วน้ำส้มคั่นเย็นสดชื่นขึ้นดื่มรวดเดียวจนหมดแก้ว อร่อยสมกับที่อวดไว้จริงๆ จนเบิกตากว้างเล็กน้อย
“อร่อยใช่ไหมคะ เดี๋ยวฉันจะทำมาให้บ่อยๆ รับรองว่าเป็นความลับค่ะ ไม่บอกคุณภูแน่นอน” แจกจ่ายแต่ละคนก่อนกลับเข้าไปภายในบ้าน แอบอมยิ้มสมใจที่แผนการขั้นแรกเริ่มต้นด้วยดี ส่วนขั้นต่อไปก็คงต้องสืบว่ากุญแจที่พันธนาการพี่ชายเธอไว้อยู่ที่ใด
สามทุ่มครึ่งรถซีดานขับเข้ามาภายในบ้านหลังงาม ร่างสูงในชุดสูทสง่างามเพิ่งกลับมาจากงานเลี้ยงของคู่ค้าทางธุรกิจ มีหญิงสาวหลายคนเข้ามาทำความรู้จักและทอดสะพานให้ ทว่าเขาไม่ได้ชายตาแลใครเฝ้าแต่ถวิลหาหญิงที่รออยู่บ้าน ป่านนี้ไม่รู้จะหลับหรือยัง คิดดังนั้นจึงรีบเข้าไปข้างในทันที
มือปลดเนกไทไม่ให้เสียเวลา ทว่ากลิ่นอาหารที่ลอยคลุ้งตั้งแต่หน้าบ้านทำเอาหยุดชะงัก เปลี่ยนเส้นทางจากที่จะขึ้นบันไดตรงไปยังห้องอาหาร
เห็นร่างบางใส่ผ้ากันเปื้อนนำจานอาหารออกมาวางไว้บนโต๊ะพลันรู้สึกอุ่นวาบในหัวใจ ยืนมองหล่อนเดินเข้าออกห้องครัวกับห้องอาหารอย่างเพลินตากระทั่งทุกอย่างเสร็จสิ้น ใบหน้าหวานระบายรอยยิ้มพลางถอนหายใจไล่ความเมื่อยล้า
ขณะที่กำลังจะหันหลังกลับไปถอดผ้ากันเปื้อนก็รับรู้ถึงแรงกอดรัดจากข้างหลัง สะดุ้งเล็กน้อยแต่เริ่มชินแล้วถึงได้เหลียวไปมองคนมาใหม่
“ทำเยอะขนาดนี้ฉันจะกินหมดได้ยังไง” มองอาหารบนโต๊ะที่มีมากกว่าห้าอย่างให้เลือกรับประทาน อยากกินไปหมดเพราะมันมีแต่ของโปรดตนเอง
“ไม่เห็นยาก ถ้าคุณกินไม่หมดก็เอาไปให้บอร์ดี้การ์ดคุณไง” ได้ยินอย่างนั้นก็คลายแรงกอด จับร่างบางหมุนมาเผชิญหน้ากับตนเอง
“ถ้าอย่างนั้นฉันจะกินให้หมด ทั้งอาหารบนโต๊ะแล้วก็เธอ” มองด้วยสายตาลึกซึ้งจนดมิสาเริ่มทำตัวไม่ถูก หล่อนดันกายห่างร่างสูงพลางหลบสายตาคมเป็นพัลวัน
ถึงจะเฝ้าบอกตนเองไม่ให้ตกหลุมเสน่หาที่เขาขุดขึ้นมา แต่มันก็ทำได้ยากในเมื่อชายหนุ่มตรงหน้าสมบูรณ์แบบขนาดนี้ ทั้งยังเป็นรักแรกซึ่งยากจะลืมอีกต่างหาก
ดูเหมือนหล่อนกำลังจะแย่เสียแล้ว ทางออกที่ดีที่สุดคือต้องรีบหนีไปจากที่นี่
ก่อนที่ทุกอย่างจะสายและหล่อนต้องติดอยู่ในกรงขังแห่งนี้ไปตลอดกาล...
ดมิสายังหาไม่เจอว่ากุญแจที่ใช้กักขังพี่ชายตนเองอยู่ที่ใด ถึงจะจับตาดูคนที่นอนด้วยกันทุกวันอย่างภูวิศแล้วก็ตาม กระทั่งวันที่ฟ้าเป็นใจมาถึง หล่อนเห็นร่างสูงเข้าไปภายในโกดังนานเกือบชั่วโมงก่อนจะออกมาด้วยใบหน้าเข้มกว่าเดิม
ยื่นกุญแจพวงใหญ่ให้หัวหน้าบอร์ดี้การ์ดอย่างเสกสรรแล้วค่อยเดินเข้าบ้าน ร่างบางที่แอบมองอยู่หน้าต่างจึงเร่งฝีเท้าไปยังครัวอีกครั้ง แสร้งทำเป็นว่าตนเองอยู่ในห้องนี้ตลอดเวลาด้วยการทำอาหารหลายอย่างวางไว้บนเคาท์เตอร์พร้อมเสิร์ฟ
ได้ยินเสียงฝีเท้าก้าวเข้ามาใกล้ใจก็เต้นแรง กลัวว่าเขาจะจับได้ รีบเช็ดเหงื่อชื้นตามไรผม ทำอาหารเมนูที่สี่อย่างผัดกระเพราะหมูสับด้วยการเจียวกระเทียมและพริกพร้อมกัน
“อะ อึก” จากที่คิดว่าเขาคงมากอดจากทางด้านหลังเหมือนเดิมกลับต้องชะงัก ค่อยผินใบหน้ามามองร่างสูงซึ่งเปลี่ยนเส้นทางเป็นห้องน้ำที่อยู่ใกล้ครัวแทน
“เป็นอะไรของเขา” ถึงจะเป็นห่วงแต่มือก็ยังถือตะหลิวแล้วเทหมูลง กระทะ ต้องอยู่หน้าเตาไม่กล้าออกห่างกลัวว่ามันจะไหม้ ชะเง้อมองภูวิศว่าออกมาจากห้องน้ำหรือยัง
กระทั่งชายหนุ่มเดินออกมาด้วยอาการอ่อนแรงพลางใช้มือยันผนังบ้านเอาไว้ ดวงตาคมมองมายังหล่อนแล้วก้าวออกห่างพลางใช้มือปิดจมูก เขาทำราวกับสิ่งตรงหน้าเหม็นนักหนา จนหล่อนเริ่มเป็นกังวลไปเสียแล้ว
“เธอผัดอะไรทำไมมันเหม็นขนาดนี้” ถามพลางเอามือปิดทั้งจมูกและปากจนเสียงอู้อี้แทบไม่ได้ยิน คิ้วสวยขมวดเข้าหากันเมื่อได้ยินอย่างนั้น ไม่เห็นว่าผัดกระเพราจะเหม็นตรงไหน ออกจะหอมน่ารับประทาน
“ไม่เห็นเหม็นเลย คุณคิดไปเอง” ส่ายหน้าเป็นพัลวัน
“ฉันจะออกไปรอข้างนอก เธอจัดการทิ้งกระเพราเน่าๆ ไปเลยนะ” ว่าจบก็เดินออกจากห้องครัวทันทีปล่อยร่างบางมองตามพลางพึมพำเสียงเบา
“เป็นอะไรของเขา” ถอนหายใจแล้วยอมทำตามคำสั่งของชายหนุ่ม ไม่อยากมีเรื่องให้ทะเลาะกันอีก ช่วงนี้ต้องทำดีตามใจเขาสักหน่อยเพื่อภูวิศจะได้ตายใจว่าหล่อนคงไม่หนีไปไหน
เจ้าของโรงแรมหรูเดินมาที่โกดังอีกครั้ง พยายามหนีกลิ่นชวนอาเจียนในห้องครัวทั้งที่ปกติไม่เคยเป็นแบบนี้ สงสัยหล่อนคงเอาหมูเน่ามาผัดให้เขากินกระมัง คิดพลางส่ายศีรษะให้ตนเองที่คิดอะไรเช่นนั้นได้ ในเมื่อหมูที่ใช้ทำอาหารเขาเป็นคนซื้อมาเองกับมือ
ประตูถูกเปิดออกเห็นนายตำรวจนั่งด้วยอาการอ่อนแรง มันเงยหน้ามองเขาอีกครั้งทว่าไม่ได้พูดอะไร แผลบนใบหน้าเริ่มจางลงมากแล้ว ทั้งตามร่างกายที่เขาให้คนมาทำแผลกลัวว่ามันจะเจ็บจนตายไปเสียก่อน
ทั้งที่การแก้แค้นมันเพิ่งเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น...
“กูมีเรื่องสงสัยเลยไปขอให้หมอเขาตรวจบางอย่าง เด็กในท้องของปรางที่กูคิดว่าเขาเป็นลูกกู จริงๆ มันไม่ใช่ว่ะ” เอกสารที่เพิ่งได้รับการยืนยัน ทำให้ชายหนุ่มแทบล้มทั้งยืน ถึงจะคาดการณ์เอาไว้แล้วแต่พอทราบความจริงก็รู้สึกเสียใจ
เขาตระหนักได้ว่าตนเองไม่ได้มีเพศสัมพันธ์กับแฟนสาวมาเกือบปีแล้ว เนื่องด้วยยุ่งจากงานที่เพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ ตามตำแหน่งที่สูงอย่างรวดเร็วทั้งที่อายุไม่ถึงเลขสามด้วยซ้ำ
ความสงสัยทำให้กลับไปยังสถาบันนิติเวชที่ยังเก็บศพของหล่อนเอาไว้
ใช่...เขาขอร้องให้เก็บศพวรางคนางเอาไว้ก่อน โดยจัดแค่พิธีทางศาสนาให้เหมือนกับร่างนั้นกลายเป็นเถ้าถ่านไปแล้ว คิดว่ามันต้องมีเบื้องหลังจนสืบถึงรู้คนบงการ
เป็นเดชธรรมไม่ผิด เขาไม่จับมาผิดตัว และกำลังสาวไปถึงคนอื่นที่เกี่ยวข้องพร้อมไล่บี้ทีละคน จะไม่ปล่อยผ่านให้รอดแม้แต่คนเดียว
ซึ่งแน่นอนว่าหัวหน้าก็ต้องเจอหนักหน่อย แค่นี้มันยังเบาไปกับสิ่งที่อีกฝ่ายทำต่อผู้อื่น
“เด็กคนนั้นเป็นลูกมึง มึงฆ่าลูกตัวเองไอ้ป้อง” คนเจ็บเค้นหัวเราะ
“มึงอย่ามาหลอกกู อีนั่นมันถูกเผาไปแล้ว มึงจะเอาเลือดเด็กมาตรวจได้ยังไง” ภูวิศส่ายศีรษะให้กับความโง่ของนายตำรวจหนุ่ม
“มึงมันโง่จริงๆ โง่เสมอต้นเสมอปลาย เก่งแต่ใช้กำลัง เดี๋ยวพรุ่งนี้กูจะให้คนเขาทำทอดปลามาให้กินเผื่อสมองจะมีรอยหยักมากขึ้น” ไม่เฉลยแต่กลับกวนประสาทอีกฝ่ายกลับ นั่นทำให้เดชธรรมอารมณ์ขึ้นมากกว่าเดิม
“อ้อ แล้วน้องสาวของมึงไม่ต้องเป็นห่วง กูดูแลอย่างดี สบายใจได้” เข้าไปตบบ่าไม่ลืมส่งยิ้มเยาะเย้ยไปให้จนคนเจ็บโวยวายเสียงดัง
“กูจะบอกน้องกูทิ้งมึง มึงไม่มีวันสมหวังกับมิหรอก กูจะทำลายความรักของมึง” ร่างสูงย่างสามขุมเข้าหาคนที่ไร้เรี่ยแรง ยกยิ้มมุมปากราวต้องการเยาะเย้ยกับคำพูดเหล่านั้น
“มึงอยู่ในนี้จะไปรู้อะไร น้องสาวมึงคลั่งกูจะตายไป ร้องเรียกหาทุกคืน รสชาตินี่อย่างหวานเลยว่ะ เดี๋ยวครั้งหน้าจะอัดวีดีโอตอนกูมีอะไรกับน้องสาวมึงมาให้ดูแล้วกัน เผื่อจะได้ตาสว่างว่าตอนนี้คนที่มึงเฝ้ารักมาตลอดเขาชอบกูมากแค่ไหน” เดชธรรมร้องโวยวายด้วยหัวใจที่เจ็บปวด เฝ้ารักและทะนุถนอมดมิสามาโดยตลอด
ไม่ให้ใครเข้าใกล้ ระแวดระวังเพื่อหวังจะเป็นชายคนเดียวของหล่อน ทว่าทุกอย่างก็ต้องมาพังลงเพราะภูวิศ มันพรากหัวใจของเขา ทั้งยังจับมากักขังทรมานอีก
สาบานเลยว่าถ้าออกไปได้มันจะไม่เหลือแม้แต่เงา!
ชายหนุ่มเดินออกมาจากโกดังด้วยใบหน้าเรียบเฉย เขาเข้าไปยังห้องทำงานแล้วเปิดเอกสารตรวจร่างกายวรางคนางอย่างละเอียดอีกครั้ง หล่อนเป็นเด็กกำพร้าที่บิดามารดาเสียชีวิตตั้งแต่เกิด ปากกัดตีนถีบจนสามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยเดียวกันได้
คราแรกก็เป็นเพียงเพื่อนร่วมรุ่น ไม่ได้สนิทสนมกันเท่าไหร่ กระทั่งหลังจากที่เขาเลิกกับดมิสา หล่อนก็เข้ามาปลอบใจ อยู่เคียงข้างผ่านเหตุการณ์ยากลำบากด้วยกัน จึงชวนไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่นิวยอร์ก ซึ่งกิจการต่างๆ ของครอบครัวเขาอยู่ที่นั่น
อันที่จริงเมื่อก่อนชายหนุ่มไม่เป็นที่ยอมรับจากตระกูล Witton เพราะเป็นลูกที่เกิดจากหญิงชาวไทยซึ่งฐานะไม่ทัดเทียมกัน พอบิดาแต่งงานใหม่ก็เป็นหญิงชาวไทยอีกแต่ฐานะร่ำรวยเทียบเท่าจึงไม่มีใครคัดค้าน หลังแต่งงานท่านก็ให้กำเนิดลูกสาวเพียงคนเดียว ทำให้ปู่และย่าต่างหันมาสนใจภูวิศอีกครั้ง
ถึงกับขอร้องให้เปลี่ยนนามสกุลแต่เขาไม่ยอม ชายหนุ่มอยากใช้นามสกุลของมารดาด้วยยังเคารพและรักท่านมากเหลือเกิน
เมื่อมาอยู่ที่นิวยอร์ก พวกเขายังคบกันมาเรื่อยๆ ด้วยความราบรื่น เธอไม่ค่อยมีปากเสียงอยู่แล้ว เขาให้หญิงสาวอยู่กับญาติของตนเองเพราะเห็นว่าเข้ากันได้ดี ส่วนตนไปทำงานและเริ่มจับกิจการโรงแรม ไต่ระดับมาตั้งแต่พนักงานต้อนรับจนถึงระดับผู้บริหารสาขาในต่างประเทศ
Witton Hotel มีโรงแรมในเครืออยู่ทั่วโลก บิดาไว้ใจให้ลูกชายเพียงคนเดียวไปดูแลธุรกิจอยู่เมืองเบอร์ลินเพียงลำพัง ถึงจะอยากพาวรางคนางไปด้วยแต่ทุกคนคัดค้าน ต้องการให้หล่อนเรียนต่อปริญญาโทที่นี่จบเสียก่อน
ชายหนุ่มยอมปล่อยคนรักไว้กับนิวยอร์กลืมถามความสมัครใจของหญิงสาว ตนเองมุ่งทำงานเพื่อสร้างฐานะกระทั่งได้คุยกันทางโทรศัพท์ก่อนหล่อนจะขอกลับไทย ช่วงนั้นยุ่งกับงานจึงไม่ได้ถามอะไรมาก เพียงอนุญาตแล้วตัดสาย
แต่ไม่นานหลังจากนั้นจึงได้รู้ข่าวว่าหล่อนเสียชีวิตด้วยการกระโดดตึกฆ่าตัวตาย แทบเสียศูนย์ที่หล่อนจากไปกะทันหันเช่นนี้
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
