
บทย่อ
รตีสาวน้อยผู้งามพร้อมดั่งดอกฟ้ากับตฤณชายหนุ่มผู้ต่ำต้อยเช่นต้นหญ้าบนดิน เส้นทางชีวิตของทั้งสองดั่งเส้นขนาน หากโชคชะตานำพาให้ตฤณบังเอิญช่วยชีวิตรตีไว้ เขาได้มอบดอกหญ้าให้หญิงสาวเป็นที่ระลึก โดยไม่รู้ว่าดอกหญ้าดอกเล็กๆนั้นกลับผูกพันหัวใจหญิงสาวไว้แน่นเหนียว แม้อัคราชายหนุ่มผู้สมบูรณ์พร้อมก็ไม่อาจเข้ามาแทนที่ได้ เมื่อต้องเลือกระหว่างความต้องการของหัวใจที่สร้างความปวดร้าวให้คนที่อยู่เบื้องหลัง หรือการหันหลังให้หัวใจตัวเองแลกกลับความสุขของคนรอบข้าง ‘จักเก็บร้อย ความรัก ถักผสาน จารจารึก ผนึก หทัยแน่น รวมพันผูก รัดรั้ง ดั่งตัวแทน เป็นวงแหวน ดอกหญ้า สัญญาใจ’
ตอนที่1.
เก้าอี้ไม้สีขาวตั้งอยู่กลางสนามหญ้าบนเก้าอี้มีตะกร้าหวายใบน้อยวางไว้ภายในบรรจุดอกไม้หลากสีเต็มจนล้นขอบผึ้งตัวหนึ่งไต่ตามกลีบดอกไม้เสาะหาน้ำหวาน ขณะที่ตัวอื่นๆสาละวนกับการเก็บความหวานจากดอกไม้บนต้นที่ผลิบานอวดความงามและสีสันส่งกลิ่นหอมกำจายฟุ้งตลบไปทั่วบริเวณสวนสวย
ดอกกุหลาบสีแดงสดแย้มกลีบอวดโฉมเด่นหลาด้วยขนาดที่ใหญ่เท่ากำปั้นเด็ก ก้านดอกไร้รอยหนามคมชูดอกงามสะดุดตา ยามเบ่งบานขนาดคงประมาณจานใบย่อม เจ้ากุหลาบแสนสวยไม่ทันแย้มบานก็ถูกมือน้อยใช้กรรไกรตัด...ฉับ! ตรงก้านดอก
“ขอโทษนะจ๊ะกุหลาบจ๋า รตีจะเอาเจ้าไปฝากคุณแม่”
เสียงใสๆปลอบประโลมดอกไม้ในมือ ค่อยบรรจงประคองกลีบดอกแนบอกมิให้ชอกช้ำ
ร่างบางเดินตัวปลิวซอยเท้าถี่ยิบจนชายกระโปรงสะบัดไหวตามแรงก้าวย่าง คล้ายผืนผ้ากำลังเต้นระบำตามจังหวะบทเพลงจากสวรรค์ หางเปียยาวแกว่งไกวกระทบแผ่นหลังส่ายไปมาเหมือนงูเริงร่ายล้อเสียงปี่ของหมองู ดวงตากลมโตมีขนตางอนหนาคมซึ้งมุ่งตรงไปที่เก้าอี้สีขาวซึ่งเจ้าตัวได้วางตะกร้าทิ้งไว้
ครั้นมาถึงมือน้อยเอื้อมไปหยิบตะกร้าหากสายตาแลเห็นเจ้าภมรตัวจ้อยที่กำลังเพลิดเพลินกับมธุรสเกสร เรียวปากอิ่มเต็มแย้มยิ้มแลเห็นไรฟันสีคล้ายมุกเป็นประกายเรียงสวย ชะงักหดมือกลับกวาดตามองหากิ่งไม้เล็กๆเมื่อเจอจึงใช้ไม้อันนั้นเขี่ยเจ้าตัวยุ่งให้บินหนีไป แต่ภมรน้อยดื้อกว่าที่คิดไต่หนีไปยังขอบตะกร้าเจ้าของตะกร้าท้าวเอวมองพลางถอนใจยาว ค่อยวางดอกกุหลาบในมือลงข้างๆตะกร้าพร้อมกรรไกรตัดดอกไม้ที่ถือมาด้วย เมื่อมือว่างการต่อกรกับเจ้าตัวยุ่งก็ง่ายขึ้นตะกร้าถูกยกออกมาชูใกล้ๆต้นดอกกุหลาบหนูสีขาว เจ้าภมรได้กลิ่นหอมหวานก็ผละจากที่พำนักบินรี่ตรงไปเกาะกลีบบางของแหล่งอาหารทันที
“ดื้อเอาการเหมือนกันนะเรา”เจ้าของตะกร้าบ่นพึมพำ
หยิบดอกกุหลาบมาถือไว้ก่อนเก็บกรรไกรเสียบตะกร้า แล้วหิ้วตะกร้าเดินตัวปลิวหันหลังเดินจากมา กุหลาบในมือส่งกลิ่นหอมอ่อนๆกระทบปลายนาสิก คนถือยิ้มบางๆเมื่อนึกถึงคนรับเดี๋ยวเถอะเจ้าจะได้อวดโฉมให้มารดาชื่นชม ดวงตากลมโตเป็นประกายวับวาวสุขใจร่างบางเร่งฝีเท้าด้วยอยากเห็นหน้าคนที่กำลังคิดถึงขึ้นมาทันที
สตรีร่างผอมบางสวมชุดกระโปรงสีชมพูอ่อนผ้าเบาพลิ้วทิ้งชายยาวระพื้น ผมยาวสลวยปล่อยสยายระแผ่นหลังใบหน้าเรียวซีดเซียว หากริมฝีปากยังพอมีชมพูระเรื่อแต้มอยู่บ้างจมูกเล็กโด่งงามสูดดมดอกไม้ในมือ เอนกายพิงมุมหนึ่งของระเบียงห้องตาหลับพริ้มแลเห็นขนตาหนาโค้งงอนคล้ายพัดด้ามจิ๋ว เสียงฝีเท้าแว่วมาทำให้คนที่หลับตาค่อยๆลืมตาขึ้นรอยยิ้มผุดขึ้นที่มุมปากเล็กน้อยเมื่อเห็นดอกกุหลาบถูกยื่นให้จนชิดปลายจมูกกลิ่นหอมรวยรินโชยมา คนให้ยิ้มหวานตากลมโตทอประกายสดใส
“รตีให้คุณแม่ค่ะ” เสียงใสเอื้อนเอ่ยพลางพิงกายกับเสาใกล้ๆกัน
คนรับมองดอกในมือเทียบกับดอกไม้ดอกใหม่แล้วโยนดอกเดิมทิ้งลงพื้นอย่างไม่ไยดีดวงตาเหม่อมองไปไกลเอนร่างพิงผนังเหม่อลอยเช่นเดิมดอกกุหลาบถูกนำมากอดแนบอก
“แม่ธิดาของรตีเป็นบ้า”ถ้อยคำที่ใครๆพูดกรอกหูรตีเสมอ
คุณยายพรทิพย์ คุณตาเทพ รวมถึงคนรับในบ้านบอกรตีแบบนี้ ในวัยเยาว์รตีมักจะเถียงคนที่ว่ามารดาของหล่อนจนหน้าดำหน้าแดงร้องไห้ปฏิเสธลั่น เด็กหญิงตัวน้อยไม่ยอมรับว่ามารดาเป็นบ้า ในความคิดแม่คือนางฟ้าเพราะแม่สวยเหลือเกินชุดสีขาวที่แม่สวมยิ่งสร้างภาพให้ชัดเจนในหัวสมอง รตีมักนั่งจ้องมองมารดาอยู่นานๆเด็กหญิงภาวนาให้นางฟ้าตื่นจากหลับใหลเสียทีหากเหมือนยิ่งรอความจริงยิ่งปรากฏชัด ไม่มีสักครั้งที่นางฟ้าจะยอมรับรู้หรือเข้าใจความปรารถนาของเด็กหญิงมารดายังคงนิ่งเฉยเป็นรูปปั้นนางฟ้าเช่นเดิม
ตั้งแต่จำความได้มารดาก็เป็นเช่นนี้มาตลอดอยู่ในโลกของตัวเองไม่เคยให้ความสนใจสิ่งรอบกาย แม้แต่ลูกสาวเลือดในอกก็ไม่เคยได้รับการอุ้มชูให้ความรักเช่นเด็กคนอื่น รตีเคยพยายามชวนมารดาพูดคุยด้วย แต่เหมือนคุยกับอากาศไม่มีสักครั้งที่จะได้ยินคำพูดใดหลุดรอดออกมาจากปาก จนคนชวนคุยหลับพับคาเก้าอี้หลายครั้งหลายคราอ่อนใจไปเอง รตีลองสารพัดวิธีให้มารดาหันมาสนใจ ไม่ว่าจะแกล้งร้องไห้ส่งเสียงดังหนวกหูร้องจนคอแห้งเสียงแหบมารดาก็ยังเฉยนั่งนิ่งเป็นรูปปั้น ความรักในตัวมารดาทำให้รตีเปลี่ยนมาทำความเข้าใจและยอมรับสภาพของมารดาในที่สุด ยามอยากได้ไออุ่นจากอ้อมอกของผู้ให้กำเนิดหล่อนจะเป็นฝ่ายเข้าไปโอบกอดมารดาเอง เพราะรู้ว่าคอยไปเถิดคอยจนขาดใจก็ไม่มีวันที่มารดาจะมาโอบกอดหล่อนด้วยตนเองหรอก สู้เข้าไปกอดเสียเองจะดีกว่า
“คุณแม่ยังไม่ได้ทานข้าวเลย รอรตีมาป้อนหรือคะ?”
คนเป็นลูกมองชามข้าวต้มบนโต๊ะ ซึ่งยังวางอยู่ในลักษณะเดิมไร้ร่องรอยการแตะต้อง
“แม่ขาไปทานข้าวกันเถอะค่ะ”
ขยับประคองร่างผอมบางมานั่งที่เก้าอี้โยกตัวโปรด ซึ่งมารดามักชอบนั่งเป็นประจำในบางครั้งคนป่วยก็เผลอหลับบนเก้าอี้นี้ ข้าวต้มที่เริ่มเย็นถูกตักมาจ่อตรงปาก คนป้อนทำท่าอ้าปากให้ดูเมื่อคนถูกป้อนทำตามอาหารคำนั้นก็ถูกส่งเข้าปาก
“อร่อยไหมคะ?” คนป้อนถามคำถามซึ่งรู้ดีว่าไม่มีคำตอบ
หากความเคยชินที่มักชวนอีกฝ่ายพูดคุยด้วยทำให้อดไม่ได้จึงเอ่ยถามออกไป จนข้าวหมดชาม แก้วน้ำที่มีหลอดดูดถูกยกขึ้นมือน้อยประคองหลอดแตะริมฝีปากให้รับรู้ เมื่อน้ำถูกดูดไปค่อนแก้ว หลอดถูกบีบเอาไว้คนป้อนส่ายหน้าเอ่ยเสียงเบา
“พอก่อนค่ะ คุณแม่ดื่มน้ำมากไปเดี๋ยวท้องอืดนะคะ”
ว่าแล้วจึงดึงหลอดออกจากปากคนป่วย วางแก้วน้ำลงพลางจัดการเช็ดปากให้
“นอนพักนะคะรตีจะลงไปข้างล่างก่อน เดี๋ยวรตีจะพาคุณแม่ลงไปที่สวน”
รตีปล่อยให้มารดานอนอยู่เช่นนั้นก่อนจะย้ายตัวมายืนเล่นที่ระเบียง ในห้วงความคิดหญิงสาวนึกถึงครั้งหนึ่งซึ่งเคยไต่ถามคุณพรทิพย์ถึงสาเหตุอาการป่วยของมารดา คนเป็นยายอึกอักไม่ยอมตอบคำถาม มีเพียงดวงตาที่ทอประกายฉ่ำนองด้วยหยาดน้ำตาพร้อมอ้อมแขนโอบรัดร่างหล่อนไว้และคำปลอบโยนอีกประโยคหนึ่ง
“อย่าคิดอะไรมากเลยลูกมันเป็นกรรมเวรของแม่เราเอง ถ้ายายใจแข็งอีกสักนิดแม่ธิดาของรตีคงไม่เป็นแบบนี้ ฮือ...ฮือ...!”
ตบท้ายด้วยการร้องไห้โฮเสียงดัง รตีคร้านที่จะถามอีกเพราะไม่อยากเห็นน้ำตาคนแก่
“ยายจ๋า...อีกกี่ชาติรตีจะรู้เรื่องสักที” หญิงสาวแอบบ่นในใจ
เวลาผ่านไปรตียังกังขาไม่หายแต่ใครเล่าจะเป็นคนเฉลยข้อข้องใจนี้ได้ รตีได้แต่รอเวลาและหวังว่าวันหนึ่งข้างหน้าคงจะมีใครสักคนยอมเปิดเผยเรื่องราวไห้หล่อนรับรู้
หญิงสาวหันกลับมามองดูมารดา ขณะนี้คนป่วยนอนหลับเงียบไปแล้วสักพักก็จะตื่นขึ้นมาเวลานั้นหล่อนค่อยพาลงไปนั่งเล่นที่สวนดอกไม้
คุณพรทิพย์เคยบอกว่ายามที่มารดาของหล่อนอยู่ในสวนจะอารมณ์ดีขึ้น แต่หญิงสาวคิดว่าเพราะดอกไม้รอบๆกายมารดาต่างหากที่ทำให้คนมองรู้สึกว่าคนป่วยอารมณ์ดี จริงๆแล้วมารดาของหล่อนยังทำหน้าเหมือนเดิมไม่ว่าอยู่ที่ไหนก็ตาม
หญิงสาวปล่อยให้มารดานอนหลับอยู่แบบนั้นแล้วเดินลงมาด้านล่างผ่านห้องรับแขก วันนี้ประตูห้องถูกปิดแสดงว่าคุณเทพทองผู้เป็นตาคงกำลังรับรองแขกคนสำคัญ รตีชายตามองลอดกระจกหน้าห้องภายในเห็นชายสองคนกำลังพูดคุยกับเจ้าของบ้าน สีหน้าคุณเทพทองดูแจ่มใสกว่าปกติจนคนเป็นหลานสาวนึกแปลกใจ
“แปลกจัง...วันนี้คุณตายิ้มด้วย” รตีพึมพำแนบใบหน้ากับกระจกอย่างลืมตัว
เวลาคุณตาของหล่อนยิ้มใบหน้าเคร่งขรึมดุๆที่รตีนึกกลัวนักหนาดูอ่อนโยนอบอุ่นขึ้นมาทันที หญิงสาวอมยิ้มแอบลอบมองอยู่ครู่ใหญ่แต่ต้องสะดุ้งเมื่อคนในห้องสังเกตเห็น
“ใครทำอะไรอยู่ตรงนั้น!” เสียงห้าวใหญ่ดังก้องกังวานขึ้น
