๔ ความหวังว่ายังรักกัน (๓)
“ข้าวเช้าให้เราน่ะ” อาหารเสร็จพอดีเธอจึงผละจากเขาแล้วนั่งประจำเก้าอี้ของตน เท้าคางมองสามีที่บริการทุกอย่าง ยิ้มแก้มปริไม่อาจละสายตาจากเขาได้ กระทั่งถึงเวลารับประทานอาหารเช้า จึงเอ่ยชมคนตรงหน้า
“น่ากินจังเลย...” เลือกทำอเมริกันเบรกฟาสต์เพราะรวดเร็วและสะดวก หล่อนเริ่มลงมือรับประทานอาหารด้วยความหิว เมื่อวานว่าจะทำบาร์บีคิวก็ไม่ได้ทำเพราะมัวแต่โรมรันกับสามีไม่ได้พัก สงสัยคืนนี้คงได้ทำบาร์บีคิวกินด้วยกัน
บรรยากาศสุดแสนจะโรแมนติกจะไม่อยากกลับบ้าน ฮันนีมูนสักสามเดือนได้หรือเปล่า หล่อนอยากอยู่กับเขาสองคนไปอีกนานๆ
“พี่ขอรับโทรศัพท์แป๊บนึงนะ” เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นพร้อมชื่อที่โชว์ ดวงตากลมเบิกกว้างเล็กน้อยแล้วมองตามเขาตาไม่กระพริบ แต่จะห้ามไม่ให้รับก็ไร้เหตุผลเกินไป สิ่งที่ทำได้คือพยักหน้าเข้าใจ
“ค่ะ”
ร่างสูงออกไปคุยข้างนอกนานสองนาน รอจนกินอาหารหมดจึงได้ลุกจากเก้าอี้แล้วแอบฟังเขาคุย อยากรู้ว่าพูดเรื่องอะไร เป็นแค่งานจริงหรือเปล่า
“...ขวัญตัดสินใจเองเลยก็ได้ เดี๋ยวกลับไปถึงพี่จะตรวจให้อีกที ครับ ไว้เจอกัน” น้ำเสียงอ่อนโยนเหมือนพูดกับหล่อนไม่มีผิด หัวใจคนฟังเริ่มเขวแต่ก็พยายามบอกกับตัวเองไม่ให้หึงหวง เราผ่านค่ำคืนแสนหวานด้วยกันอย่างไรเขาก็ต้องรักตนบ้าง
หญิงสาวไม่รู้เลยสักนิดว่าสำหรับเขาแล้ว...มันก็แค่เซ็กส์ที่เกิดจากความต้องการ
ไม่ใช่ความรักแต่อย่างใด
“ไม่เป็นไร ยังไงพี่หมอกก็เป็นของเรา” เดินกลับไปนั่งที่เดิมแล้วมองสามีด้วยแววตาเป็นประกาย หล่อนมีความสุขเหลือเกินที่ได้อยู่กับเขา คิดว่าเราคงอยู่ด้วยกันอย่างนี้ตลอดไป...
6 เดือนผ่านไป
การอยู่ร่วมกันฉันสามีภรรยากลายเป็นเรื่องปกติสำหรับหล่อนไปแล้ว บางคืนที่เขาไม่เหน็ดเหนื่อยจากงานก็หยอกล้อกับร่างกายหล่อน วันไหนเหนื่อยจนผล็อยหลับก็มีชีวาพรที่แอบลักหลับสามีจนต้องตื่นมาลงโทษ
สำหรับเธอแล้วมีแต่ความสุขโดยไม่สังเกตว่าความสัมพันธ์ที่เงียบสงบ กลับมีคลื่นใต้น้ำรอสาดซัดตลอดเวลา
“พี่หมอกกลับมาแล้ว” ได้ยินเสียงรถยนต์แล่นผ่านรั้วบ้านเข้ามาข้างใน หล่อนจำเสียงรถของเมืองหมอกได้เป็นอย่างดี จึงรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อชวนร่างสูงไปดินเนอร์นอกบ้าน เตรียมทุกอย่างไว้พร้อมเสร็จสรรพ กระทั่งชุดเดรสสีเข้มที่สวมใส่ แต่งหน้าทำผมอย่างดีค่อยลงมาข้างล่าง
ได้ยินเสียงบทสนทนาในห้องรับแขก คิดว่าสามีคงกำลังคุยกับเมืองน่าน จึงยิ้มแย้มแล้วเดินไปห้องนั้นหมายจะทักทาย แต่เท้าก็หยุดชะงักเมื่อทราบว่าทั้งสองกำลังคุยกันเรื่องของตน หัวใจเต้นรัวอยากฟังความรู้สึกของเขา
ทว่าอีกใจก็นึกกลัวที่จะได้ยินความจริง...
เธอไม่ได้โง่จนมองความรู้สึกเมืองหมอกไม่ออก เพียงแค่หลอกตัวเองเพราะทุกวันนี้เรายังอยู่ด้วยกัน ถึงจะมีเพียงตนที่ใส่ใจสามีก็ตาม
ขณะที่เขาหลงใหลเพียงร่างกายของหล่อนเท่านั้น ไม่มีความหวานอย่างอื่น
แม้แต่ดอกไม้สักช่อในวันแห่งความรักก็ยังไม่ได้...
“แต่งงานมาหกเดือนเป็นยังไงบ้าง ความรู้สึกพัฒนาขึ้นไหม” เสียงของเมืองน่านถามด้วยความอยากรู้ แต่คำตอบของเขาเหมือนเข็มนับพันที่ทิ่มแทงใจคนแอบฟัง
“ไม่ น่าเบื่อ”
น่าเบื่ออย่างนั้นเหรอ...
ชีวาพรใช้มือยันผนังเอาไว้เมื่อรู้สึกว่าอ่อนแรงขึ้นมาฉับพลัน หล่อนนึกย้อนว่าสิ่งใดที่ตนทำให้เขาเบื่อ ตอนเราอยู่ด้วยกันก็มีความสุขดีไม่ใช่หรือ จนประโยคต่อมาที่ร่างสูงเฉลยหมดทุกอย่างให้ได้รู้
“ทำไมล่ะ”
“โซ่ไม่ทำงานเอาแต่ตามติดพี่ตลอด ไอ้นิสัยก็ไม่ได้ร้ายเหมือนเมื่อก่อนแต่แค่พี่ใกล้ผู้หญิงคนอื่นนิดเดียวจ้องตาเขม็ง กลับมาชวนทะเลาะอีก พี่เบื่อ พี่รำคาญ แต่ก็สงสารที่เขาไม่มีใคร ตอนนั้นนายน่าจะแต่งงานแทนพี่ ยังไงนายก็ทนเก่งกว่าพี่”
ยกมือปิดปากทันทีกลัวจะส่งเสียงร้องไห้ให้คนในห้องได้ยิน คงไม่ดีถ้าเขารู้วาเธอมาแอบฟัง ค่อยก้าวเดินขึ้นบนห้องไม่สามารถทนฟังต่อไปได้
การที่ตามติดเขาก็เพราะอยากอยู่ใกล้ คอยระแวดระวังหญิงอื่นเพราะรู้ดีว่าคนเหล่านั้นจ้องจะตะครุบสามีของตน พอหล่อนถามก็โดนเขาปฏิเสธทำหน้ารำคาญใส่ จึงเกิดความโมโหแล้วลงท้ายที่ปะทะฝีปาก
ซึ่งทุกครั้งหล่อนจะเป็นฝ่ายขอโทษ...ไม่คิดเลยว่าเรื่องพวกนี้มันจะส่งผลเสียต่อความสัมพันธ์ของเรา
“พูดแบบนี้ไม่สงสารพี่โซ่หรือไง เขารักพี่มากนะ”
“แต่ก็ทำให้พี่อึดอัดเพราะความรักของเขาเนี่ยแหละ พี่อยากเป็นอิสระ...แต่เหมือนว่าคงไม่ได้อิสระอีกแล้ว” คิดย้อนกลับไปก็โมโหตัวเองที่ตอบตกลงเพราะสงสารหล่อน ตอนนี้จึงเหมือนถูกขังให้อยู่กับคนที่ไม่ได้รัก
สำหรับเขาแล้วคงมีดีเรื่องเดียวคือเซ็กส์...นอกนั้นก็ไม่รู้ว่าจะหาความสุขจากชีวาพรได้อย่างไร
“ฮึก ไม่เป็นไรนะโซ่ ยังไงเขาก็อยู่กับเรา พี่หมอกอยู่กับเรา...” ร่างบางเข้ามาในห้องแล้วก็ถอดเสื้อผ้าออกหมด วิ่งเข้าไปในห้องน้ำแล้วเปิดน้ำลงอ่าง นั่งแช่อยู่ในนั้นพร้อมปิดปากแน่นไม่กล้าส่งเสียงสะอื้น เธอบอกกับตัวเองซ้ำๆ ไม่ให้ร้องไห้ แต่มันก็ทำได้ยาก
ความจริงออกมาจากปากเขาพุ่งทำร้ายหัวใจของเธอไม่เหลือชิ้นดี หากรู้ว่าฟังแล้วจะเจ็บคงรีบเดินหนีไม่ขอรับรู้ความจริงดีกว่า
กอดเข่าร้องไห้ในห้องน้ำสักพักจนได้ยินเสียงเปิดและปิดประตู จึงรู้ว่าสามีเข้ามาในห้องแล้ว เธอลุกจากอ่างอาบน้ำ เดินไปหยิบชุดคุลมมาสวม ส่องกระจกแล้วเห็นว่าขอบตาแดงก็ไม่กลัวว่าเขาจะจับได้ เพราะอย่างไรก็มีเหตุผลร้อยแปดให้อ้าง
“เป็นอะไรหรือเปล่าทำไมตาแดง...ร้องไห้เหรอ”
