บท
ตั้งค่า

บทที่5

สายตากังวลและใคร่รู้ของชายหนุ่ม ทำให้หญิงสาวชาวสวนอย่างระตีสังเกตได้ไม่ยาก “คุณภูผาไม่ต้องกลัวหรอก ระตีไม่คิดทำร้ายลูกสาวของผู้มีพระคุณหรอกค่ะ” เอ่ยจบหญิงสาวก็เดินออกไป ทิ้งคำพูดให้ ชายหนุ่มได้ขบคิด

คราแรกหล่อนบอกว่าเป็นเด็กชาวสวน ดิฉันก็เป็นลูกสาวชาวสวน แต่โชคดีหน่อย มีคนส่งเสียให้เรียน ตอนนี้เรียนจบ ก็อยากตอบแทนบุญคุณผู้มีพระคุณสักหน่อย ทวนคำพูดที่หล่อนเคยพูดทิ้งไว้ แล้วเอามาปะติดปะต่อกัน

ฮะ...หมายความว่า คุณ...วิรุจเป็นผู้มีพระคุณที่หล่อนหมายถึงอย่างนั้นหรือ?!

ชายหนุ่มเดินออกมาด้านนอก เห็นระตีกำลังก้มเงยๆ อยู่ตรงพุ่มไม้ ชายหนุ่มจึงเดินเข้าไปหา และเริ่มชวนหล่อนคุยอีกครั้ง “ยังไม่กลับหรือครับ?”

ใบหน้าหวานหันมายิ้มให้ ก่อนจะเอ่ยว่า “ยังหรอกค่ะ กะว่าจะรถน้ำต้นไม้พวกนี้ก่อนแล้วจะกลับ” น้ำในถังหมดพอดี หญิงสาวจึงหันกลับไปที่ก๊อกน้ำที่อยู่ติดกับตัวบังกะโลอีกครั้ง

“ผมช่วยดีกว่าครับ” ชายหนุ่มเอ่ยอาสา เริ่มเข้าใจในตัวผู้หญิงคนนี้มากขึ้น ดึงถังในมือระตีไปถือไว้ทันที อีกคนได้แต่อ้ำอึ้งพูดอะไรไม่ออก

“ต้นไม้พวกนี้ ใครเป็นคนปลูกหรือ?” เสียงทุ้มเอ่ยถาม ทำหน้าที่แทนหญิงสาวไปอย่างคล่องแคล่วและไม่ถือตัว บางครั้งหันมาส่งยิ้มให้อีกคนที่ยืนมองดูอยู่ ทำเอาลบภาพชายหนุ่มหน้าเหี้ยมไปหมดเกลี้ยง

ระตีแอบถอยห่างออกมา เพื่อให้ชายหนุ่มได้ทำในสิ่งที่ต้องการสะดวกขึ้น แขนเรียวงามถูกยกกอดอก มองพินิจชายหนุ่มใหม่อีกครั้ง รู้สึกพอใจในความเป็นกันเองของชายหนุ่ม และที่สำคัญหล่อนลืมตอบคำถามที่ ชายหนุ่มได้ถามไป เพราะมัวแต่ใจลอย คิดถึงเรื่องชายหนุ่มอยู่นั่นเอง

“ทำไม หน้าผมมีอะไรติดอยู่หรือครับ ถึงได้มองตาไม่กระพริบ” แหย่อีกคนแก้เขิน

“อะ...อะไร เปล่า...” ก้มหลบสายตา “ก็แค่มองคุณทำงานคล่องดี” แม้เสียงจะดูตื่นเต้นผิดปกติ พยายามตอบออกไปเพื่อไม่ให้อีกคนคาใจ

“แล้วตกลงต้นไม้พวกนี้ใครเป็นคนปลูกครับ?” ถามใหม่อีกครั้ง เมื่อเดาว่าคำถามเมื่อกี้หล่อนคงไม่ได้ยิน เพราะมัวแต่เหม่อมองจ้องแต่ใบหน้าของเขา

“คุณแม่ค่ะ คุณแม่ระตีเป็นคนชอบปลูกต้นไม้ไว้ที่บ้าน และท่านแยกเอาออกมาปลูกไว้ที่นี่ด้วย” สีหน้าปลื้มแสดงออกทางสีหน้าชัดเจนเมื่อพูดถึงผู้เป็นแม่

“แม่คุณเก่งนะครับ แล้วตอนนี้ท่านอยู่ไหน ผมอยากรู้จักท่านซะแล้วสิ” ชายหนุ่มเอ่ยอย่างดีใจ เขาเองก็เป็นคนชอบปลูกต้นไม้ บ้านพักในค่ายที่เขาอยู่เกือบจะเป็นป่าอยู่แล้ว

แต่อาการเงียบของคู่สนทนา ทำให้ชายหนุ่มเอะใจ เหลือบมองใบหน้าหวานที่ผิดสังเกต สีหน้าหม่นลงอย่างเห็นได้ชัด ชายหนุ่มจึงตัดสินใจหยุดถามในสิ่งที่ตนเองอยากรู้ และสังเกตเห็นใบหน้าเนียน แววตาเริ่มเอ่อด้วยน้ำตา

“เป็นอะไร ผมพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า” ชายหนุ่มออกอาการร้อนตัว น้ำตาของหล่อนยิ่งไหลหยดไม่ขาดสาย ชายหนุ่มใจคอไม่ดี ก้าวเดินเข้าไปหาร่างบาง สีหน้าอย่างกังวล “ผมขอโทษ หากพูดอะไรผิดไป” มือหนายื่นจับไหล่บางที่มีอาการสั่นเอาไว้ อย่างปลอบโยน

“ไม่ต้องขอโทษหรอกค่ะ มันไม่ใช้ความผิดอะไร...ก็แค่คนอ่อนแอขี้แยคนหนึ่ง ไม่รู้จักหักห้ามใจ ไม่ให้อ่อนแอเมื่อคิดถึงแม่” ร่างบางเอ่ยเสียงสั่นพร่า ก้มหน้าร้องไห้บนฝ่ามือตัวเอง

ชายหนุ่มเดาว่าหล่อนคงสูญเสียผู้เป็นแม่ไปแล้ว เมื่อมีใครถามถึงจึงเกิดความสะเทือนใจ จนกลั้นน้ำตาเก็บความรู้สึกคิดถึงไม่ได้ และคิดไปว่า ที่จริงคนที่ดูแลที่บ้านพักหลังนี้เป็นแม่ของเธอ แต่พอแม่เสีย หล่อนจึงต้องดูแลบ้านพักหลังนี้แทน และหากเสร็จภารกิจตรงนี้เมื่อไหร่ หล่อนคงกลับไปทำงานตามที่พูดไว้เมื่อครู่ก่อนหน้านี้

ภาพตรงหน้ามันทำให้ย้อนนึกถึงเรื่องของตัวเอง ที่สูญเสียพ่อแม่พร้อมกัน คนที่เป็นลูกคนเดียวยามร้องไห้และเศร้าใจ ไม่เคยได้รับอ้อมกอดจากใครเพื่อให้ได้ทดแทนความอบอุ่นที่หายไป เขาเหมือนหล่อนตอนนี้ มือหนากระชับไหล่บางเข้าหาอกแกร่งของตนเอง โดยอีกคนไม่ได้แสดงอาการขัดขืนใดๆ เขาจึงปล่อยให้สาวในอ้อมแขนร้องไห้ให้พอใจ หากเป็นเขาตอนนั้น เหมือนหล่อนตอนนี้ เขาคงเลือกทำเช่นเดียวกับหล่อน ปล่อยสิ่งที่อัดอั้นออกมาให้หมด แล้วหลังจากนี้ เวลาที่เหลือต่อไปทุ้มเทชีวิต เพื่ออนาคตของตัวเอง

ร่างบางเมื่อร้องไห้จนพอใจ ก็ผละออกจากอ้อมแขนแกร่งทันที “ขอบคุณ คุณภูผาที่ทนยืนให้ระตีได้ยึดเป็นหลักพิง” มองแผงอกกว้างที่ตอนนี้เปียกชุ่มด้วยน้ำตาของตนเอง “เปียกหมดเลย” พยายามยิ้มให้อีกคน เก็บความรู้สึกอุ่นใจ อย่างที่ไม่เคยได้รับที่ไหนมาก่อนไว้ในอกที่คับพอง

“ไม่เป็นไร ก็คุณระตีเอาเสื้อผ้ามาให้เปลี่ยนแล้วนิ ผมก็ไม่ต้องกลัวว่าชุดนี้จะเปียกหรือไม่” เอ่ยอย่างเป็นกันเอง

แต่คนที่ได้ยินถึงกับร้องค้าน “อย่าเรียกคุณ กับระตีเลย” ก้มหน้างุด ไม่อยากทัดเทียมกับคนของผู้มีพระคุณ “เรียกระตี ว่าระตีอย่างเดียวก็พอ” เสียงแผ่วลง

แม้หล่อนจะได้สิทธิ์ ได้ใช้นามสกุลของข้าราชการผู้มีชื่อเสียงและกำลังลงเล่นการเมือง และที่สำคัญชายผู้นั้นเป็นเจ้าของพื้นที่ ที่หล่อนกับแม่พักอาศัยอยู่ แต่หล่อนก็ไม่เคยทำตัวหยิ่งลำพองให้คนรอบกายได้รู้และเห็นในความผิดแปลกไปในการได้ใช้นามสกุลนั้น ระตี วุฒิพงศ์นาท มีอาจารย์ในมหาวิทยาลัยหลายคนเคยถาม ความเป็นมาของนามสกุลที่สะดุดหูทุกครั้ง แต่หล่อนก็จะตอบไปตามความเป็นจริงที่แม่เคยบอกไว้

‘หากใครถามก็บอกไปว่าเป็นนามสกุลของพ่อ และไม่รู้มาก่อนว่า นามสกุลที่ใช้อยู่จะเป็นนามสกุลเดียวกับคนที่กำลังลงเล่นการเมืองและ เป็นข้าราชระดับผู้ใหญ่ และไม่รู้เหมือนกันว่าพ่อจะเป็นญาติกันหรือเปล่า เพราะแม่ไม่ทันได้ถาม คุณพ่อก็เสียไปก่อนหน้านั้นแล้ว’

คำตอบที่หล่อนให้มาทำให้คนที่เคยอยากรู้ก็ไม่เคยเซ้าซี้ถามต่อ และเป็นคำตอบที่หล่อนเอ่ยบอกไปแล้วรู้สึกสบายใจที่สุด แม้จะไม่แน่ใจ ว่าความจริงมันเป็นอย่างไรกันแน่ เพราะตลอดเวลาที่หล่อนไปอยู่มหาวิทยาลัย และพักอยู่ในตัวเมือง คนใกล้เคียงที่รู้จัก เคยเห็นว่าคุณวิรุจขึ้นมาหาแม่เธอประจำ แม้จะนานๆ ครั้ง แต่มันก็ได้ยินเข้าหูเกือบทุกครั้งที่หล่อนกลับมาหาแม่และก่อนวันที่แม่จะเสียชีวิต เขาก็เป็นคนโทรบอกให้หล่อนกลับมาจากมหาวิทยาลัย และก็ทันมาเห็นภาพเขายืนเฝ้าหน้าเตียงของแม่ กุมมือเรียวของแม่หล่อนไว้ ด้วยแววตาอาดูร แล้วอย่างนี้จะให้หล่อนเข้าใจว่าอย่างไร...

แต่สุดท้ายความจริงที่หล่อนอยากรู้ ก็ได้ถามผู้เป็นแม่ของเธอ เมื่อเธอตัดสินใจถามแม่อีกครั้ง กลับได้รับน้ำตาเป็นคำตอบ พร้อมกับลมหายใจสุดท้าย ที่ทิ้งไปพร้อมปริศนา ที่ยังค้างคาอยู่ในใจเธอ จนถึงวันนี้

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel