Ep.2
“กระเป๋าฉัน ฮือ... กระเป๋าลอยหายไปแล้ว แล้วจะทำยังไงดีล่ะทีนี้ เสื้อผ้า ของกิน ของใช้อยู่ในนั้นหมดเลย ตอนนี้ก็เหลือแค่กระเป๋าสะพายใบนี้ที่เปียกไปหมด ไม่รู้ว่าโทรศัพท์ที่อยู่ข้างในจะยังใช้ได้หรือเปล่า ฮือๆ”
คนที่แทบน้ำตาเล็ดรีบเดินขึ้นฝั่ง รีบเปิดซิบกระเป๋าแล้วล้วงหาโทรศัทพ์ ก็พบว่ามันเปียกน้ำหมดแล้ว หาอะไรเช็ดก็ไม่ได้ เพราะเสื้อผ้าบนตัวเธอก็เปียกชุ่มไปหมด
ร่างเล็กที่เปียกปอนไปทั้งตัว เริ่มมีน้ำตาคลอเบ้า เมื่อมองไปทางกระเป๋าเดินทางที่จมหายลอยไปกับสายนที
มันไม่ได้ลึกมากหรอกแค่เอวเท่านั้น แต่น้ำค่อนข้างไหลแรง มันจึงพัดเอากระเป๋าเดินทางใบใหญ่แต่ไม่ได้หนักมากของเธอลอยจมหายไปในพริบตา
แล้วจะเอาเสื้อผ้าที่ไหนมาเปลี่ยน เครื่องสำอางอีกล่ะ จะเอาที่ไหนมาใช้ ไหนจะขนมแก้หิวอีก
‘กรรมของมินตรา’
“มันเป็นกรรมของฉันจริงๆหรือนี่”
หญิงสาวหน้าเศร้าเดินไปตามทางเดินเล็กๆ เข้าไปภายในบริเวณบ้านสองชั้นหลังไม่เล็กไม่ใหญ่ แต่ดูค่อนข้างเก่า น่าจะสร้างมาเป็นสิบๆปีแล้ว
“สวัสดีค่า มีใครอยู่บ้านไหมคะ”
เธอเรียกหาเจ้าของบ้านอยู่สองสามที แต่กลับไม่มีเสียงตอบรับใดๆออกมาจากบ้านไม้ตรงหน้านั้นเลย จะมีก็แต่เสียงสุนัขเห่าที่ทำให้มินตรากลัวจนหัวหด รีบตะโกนขอความช่วยเหลือเสียงดังลั่นด้วยความหวาดกลัว ว่าสุนัขสองสามตัวที่กรูกันดราหน้าเข้ามาหาเธอจะกัดเอา
โฮ่งๆ!...
“ช่วยด้วยค่า มีใครอยู่ในบ้านไหมคะ มาช่วยจับหมาให้ทีค่ะ ฉันกลัว”
โฮ่งๆ!...
สุนัขยังคงเห่าถี่ไม่หยุด จนคนที่กำลังกลัวสุนัขจนปัสสาวะแทบราดเอามือปิดหน้าร้องไห้โฮออกมา อยากจะวิ่งหนีก็ไม่กล้าเพราะกลัวมันไล่กัด เคยมีคนบอกเธอเหมือนกันว่าถ้าเห็นสุนัขเห่าอย่าวิ่งหนี เพราะถ้ามันวิ่งตาม ไม่รอดแน่ เธอจึงยืนนิ่งยกมือปิดหน้าร้องไห้อย่างไม่อายใคร
“ฮือๆ อย่ากัดฉันนะ ฉันกลัวแล้ว”
สักพักเสียงสุนัขเห่าก็ซาลงและเงียบลงในที่สุด
หญิงสาวจึงค่อยๆเอามือที่ปิดตาออก แล้วก็พบมนุษย์ผู้ชายตัวสูงใหญ่ยืนจังก้าอยู่ตรงหน้า มองเธอด้วยแววตาสงสัย
“คุณมาหาใคร”
เป็นคำทักทายแรกที่ชายหนุ่มเอ่ยออกมา
มินตรามัวแต่ตะลึงมองชายหนุ่มตรงหน้าตาค้าง
ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าจะมาเจอหนุ่มลูกครึ่งรูปงามอยู่ตามบ้านนอกแบบนี้
‘อืม... แต่เธอเคยได้ยิน ว่าสาวๆทางนี้มีสามีฝรั่งกันเยอะมาก ผู้ชายคนนี้ก็คงจะเป็นสามีใครสักคน’
หญิงสาวเริ่มคลี่ยิ้มเพื่อแสดงความเป็นมิตร
“ที่นี่ใช่บ้านของคุณยายคำใช่ไหมคะ”
“ใช่ คุณมีธุระอะไรกับยายของผม” เขาถามพร้อมกับพิจารณาเธอไปด้วย
“ทำไมคุณร้องไห้ล่ะ”
“คือ คือฉันกลัวหมากัดน่ะ”
“อ่อ แต่คุณไม่เคยได้ยินเขาพูดเหรอ ว่าหมาที่เห่า มันไม่กัดหรอก”
“แต่ยังไงฉันก็ยังกลัว”
ชายหนุ่มมองสำรวจหญิงสาวตรงๆ มองแบบพินิจพิจารณาตั้งแต่หัวจรดเท้า แล้วก็มาหยุดสายตาที่ระดับทรวงอกของเธอ
เสื้อเชิ้ตสีขาวที่เปียกปอน มันมองเห็นทะลุไปถึงไหนๆ จนเธอต้องรีบเอากระเป๋าเพียงใบเดียวที่ติดตัวมาบังไว้ข้างหน้า เมื่อรู้ตัวว่ากำลังถูกเขามอง ด้วยสายตาที่เหมือนจะเปลื้องผ้าเธออยู่แล้ว
เหมือนชายหนุ่มจะยิ้ม แต่ก็พยายามเก๊กหน้าดุเอาไว้
“ตกสะพานล่ะสิ เปียกแบบนี้”
‘รู้แล้วยังจะมาถามอีก’
“ค่ะ”
เธอพยักหน้ารับ
“คุณยังไม่ตอบคำถามผมเลยนะ ว่าคุณมีธุระอะไรกับยายของผม”
“อ๋อ คือฉันมาหาคุณยายคำ เพื่อ.... เพื่อ...”
จะตอบเขาไปว่ายังไงดีล่ะ เธอไม่ใช่ญาติโกโหติกาของคุณยายคำเสียหน่อย ไม่เคยรู้จักเลยด้วยซ้ำ แต่ที่ต้องมาที่นี่ก็เพราะ มีผู้ปรารถนาดีบอกให้เธอมาปรนนิบัติหญิงชราคนนี้ เพื่อแก้อาถรรพ์บางอย่าง
“คือ มีหมอดูทักฉันมาว่า ฉันมีเคราะห์ ท่านบอกให้ฉันมาเป็นคนรับใช้เจ้าของบ้านหลังนี้อย่างต่ำหนึ่งปีค่ะ หรือจนกว่าท่านจะอโหสิกรรมให้ ถึงจะพ้นเคราะห์”
“ไร้สาระ ผมว่าคุณมาด้วยประสงค์อื่นมากกว่ามั้ง”
แล้วสายตาที่เสมือนเรด้าของชายหนุ่มก็พุ่งมองตรงมาที่เธออีกครั้ง แล้วมาหยุดอยู่แถวเนินอกที่มองเห็นถึงสายบราสีดำอยู่ข้างในที่เดิม ก็หน้าอกหน้าใจของเธอมัน...
คนถูกจ้องมองหน้าแดงระเรื่อ ก่อนจะสอดส่ายสายตามองหาหญิงชราตามคำบอกเล่าของหมอดู
“ได้โปรดเถอะค่ะ ชีวิตที่ผ่านมาของฉัน เจอแต่ฝันร้ายซ้ำๆซากๆ มาโดยตลอด หากมีวิธีใดที่จะทำให้ฉันหลุดพ้นจากฝันร้ายนั้น ฉันก็ยินดีที่จะทำ ฉันตั้งใจมาที่นี่เพื่อแก้กรรมตามคำทำนายจริงๆค่ะ”
“ผมจะเชื่อได้อย่างไร ว่าคุณกำลังพูดเรื่องจริง”
“ไม่มีเหตุผลใดที่ฉันจะต้องโกหกนี่คะ ฉันเดินทางมาตั้งไกล มาตัวคนเดียวอีกต่างหาก แล้วฉันจะเสี่ยงอันตรายมาเพื่ออะไรกัน แล้วทำไมฉันถึงกล้าเดินทางมาคนเดียว ก็เพราะสิ่งที่ฉันเจอมามันเลวร้ายกว่าน่ะสิ”
“แต่คุณกลับกลัวหมา”
“ก็ฉัน...”
“พอ ไม่ต้องอธิบายเรื่องหมาแล้ว แต่ผมไม่เชื่อเรื่องคำทำนายทายทักของหมอดูหรอกนะ”
“แต่ว่าฉัน...”
