บทนำ [2/1]
ตอนเป็นเด็ก ผมมักจะฝันพร่ำเพ้ออยู่บ่อยๆ ว่าอยากมีพลังวิเศษจะได้กลายเป็นซูเปอร์ฮีโร่เหมือนอย่างในโทรทัศน์อะไรแบบนั้น มันเป็นความฝันที่ผมเฝ้าคะนึงหามาตลอดชีวิตวัยเด็กเลยก็ว่าได้ จนกระทั่งอายุได้สิบขวบ พระเจ้าก็ดลบันดาลทำให้ความฝันของผมนั้นเป็นจริงด้วยการมอบพลังวิเศษนั้นมา
พลังวิเศษนั่น... ผมได้มายังไงน่ะเหรอ
จะอธิบายยังไงดี คือทุกอย่างมันเริ่มต้นจากการที่ผมเกิดจากอุบัติเหตุน่ะ มันไม่ใช่อุบัติเหตุร้ายแรงอะไรหรอก ผมก็แค่ซุกซนตามประสาเด็ก ปีนต้นไม้เล่นกับเพื่อน สมมติว่าตัวเองเป็นยอดมนุษย์อะไรสักอย่างที่ชื่นชอบในสมัยนั้น ก่อนที่จะพลาดพลั้งตกต้นไม้ลงมา หัวกระแทกเข้ากับพื้นอย่างจัง หากทว่าผมกลับไม่ได้มีอาการบาดเจ็บสาหัสอะไรเลยสักกะติ๊ด จะมีก็แต่เพียงหัวแตก เย็บไปไม่กี่สิบเข็มเท่านั้น ทุกอย่างดูเหมือนจะปกติระคนโชคดีที่ผมไม่เป็นอะไรไปมากกว่านี้ใช่ไหมล่ะ
แต่ไม่... มันไม่ปกติเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะหลังจากอุบัติเหตุในครั้งนั้น ผมก็มีพลังวิเศษที่พูดไว้ในตอนแรกติดตัวมาเป็นเหาฉลามทันที
ส่วนความสามารถของไอ้พลังวิเศษนั่น มันก็คือการมองทะลุเสื้อผ้าบนร่างกายของมนุษย์ได้ทันทีที่ผมสบตากับเจ้าของร่างกายน่ะสิ
ว้าว! ฟังดูโชคดีเก๋ไก๋ยูเรก้ามากๆ ใช่ไหมล่ะ คงคิดสินะว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมาจนตัวโตขนาดหมาเลียตูดไม่ถึงขนาดนี้ ผมคงได้มองร่างกายสาวๆ จนเปรมไปเลย แต่บอกเลย ถ้าใครคิดอย่างนั้นคือคิดผิดมหันต์ เพราะเพศที่ผมสามารถมองทะลุเสื้อผ้าได้น่ะ ไม่ใช่ผู้หญิง แต่เป็น...
ผู้ชาย!
แม่งเอ๊ย! ผู้ชายทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย ทุกชนชาติเลย!
ปวดหัวหนักมาก จะออกจากบ้านไปไหนก็ต้องระวังให้ไม่ไปสบตาใคร ไม่อย่างนั้นล่ะก็ขนลุกเกรียวตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า
ขนหัวลุกหรือไม่ ก็ลองคิดสภาพตอนที่ผมเรียนมัธยมปลายที่โรงเรียนชายล้วนสิ โอ้โห ดงแตงกวาชัดๆ ไอ้พวกตัวใหญ่หน่อยนี่ก็อาจจะพัฒนาจากแตงกวาที่ขายเหมาเป็นตะกร้าขึ้นมาเป็นแตงกวาที่หุ้มพลาสติกห่ออาหารวางขายตามซูเปอร์มาเก็ต มีขนาดใหญ่ขึ้นมาหน่อยอะไรงี้ แต่จะอะไรก็เอาเถอะ ไอ้การที่ได้ไปอยู่ในดงชีเปลือย เห็นตั้งแต่ของเพื่อนยันของครู ลามไปถึงคนแปลกหน้าเดินโทงเทงผ่านหน้าตลอดเวลา มันก็ทำให้ผมกลายเป็นคนเก็บตัวตั้งแต่บัดนั้นเนื่องจากความหลอนที่ได้เห็นของลับของผู้ชายรอบข้างตลอดเวลา ดีนะที่ครอบครัวผมมีแต่ผู้หญิง ผมเลยไม่ต้องหลอนแม้กระทั่งตอนอยู่บ้านด้วย
หลอนหรือไม่ก็ลองคิดดูเถอะ ไอ้พลังวิเศษอะไรนี่มันทำให้ผมที่เมื่อก่อนเป็นคนร่าเริงเจอแตงกวาตามหลอกหลอนจนแทบจะกลายเป็นฮิคิโคโมริ[ ฮิคิโคโมริ (Hikikomori) เป็นคำภาษาญี่ปุ่น ใช้เรียกปรากฏการณ์ที่บุคคลแยกตัวออกมาจากสังคม อยู่อย่างสันโดษและกักขังตัวเองอย่างสุดโต่งโดยมีต้นเหตุมาจากเรื่องราวทางสังคมที่บุคคลนั้นๆ ประสบมา เช่น ความผิดปกติทางบุคลิกภาพ อาการกลัวการเข้าสังคม อาการกลัวที่โล่ง เป็นต้น กระทรวงสาธารณะสุข แรงงานและสวัสดิการของญี่ปุ่นได้จำกัดความคำว่า ฮิคิโคโมริว่าเป็นกลุ่มบุคคลที่ปฏิเสธที่จะออกจากบ้าน และปลีกตัวจากสังคมในบ้านเป็นเวลาอย่างน้อยหกเดือน ระดับของภาวะฮิคิโคโมริมีความแตกต่างกันไปในแต่ละคน ในกรณีร้ายแรงอาจปลีกตัวออกจากสังคมเป็นเวลาปลายปีหรือหลายสิบปี โดยส่วนใหญ่ภาวะนี้เริ่มต้นขึ้นจากการปฏิเสธโรงเรียนหรือสังคมในโรงเรียน] ถ้าไม่มีความจำเป็นอะไร ผมจะไม่ออกจากบ้านเลยด้วยซ้ำ ล่วงเลยมาจนอายุได้ยี่สิบปี เรียนอยู่มหาวิทยาลัยรัฐย่านชานเมืองแล้ว ผมก็ยังคงมีนิสัยแบบนั้นอยู่ ถึงจำเป็นต้องอยู่หอพักเพราะระยะทางจากบ้านไปยังมหาวิทยาลัยมันค่อนข้างไกล ผมก็ยังยืนยันที่จะพักคนเดียวด้วยไม่ต้องการเห็นของรูมเมตตลอดเวลา อย่างน้อยก็ให้ผมได้พักสายตาบ้างอะไรบ้างเถอะ โชคดีที่แม่กับพี่สาวผมก็เข้าใจว่าผมเป็นพวกเข้าสังคมไม่เก่งเลยไม่ได้ติดใจอะไร อยากอยู่คนเดียวก็อนุญาตให้อยู่ไปตามประสาลูกชายและน้องชายคนเล็กที่ใครๆ ก็ต่างมารุมเอาอกเอาใจ
ทว่าไอ้ตามประสามันก็เริ่มจะไม่ตามประสาละเมื่อจู่ๆ ช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมานี้ พี่สาวผมที่คอยสนับสนุนค่าใช้จ่ายต่างๆ ก็ตกงานกะทันหัน ลำพังร้านขายอาหารตามสั่งของแม่ที่มีรายได้ไม่แน่นอนก็ไม่เพียงพอต่อการส่งเสียค่าใช้จ่ายส่วนตัวให้ผมทุกเดือน รวมถึงค่าหอพักที่ผมต้องแบกรับคนเดียวโดยไม่มีใครมาหารค่าใช้จ่ายด้วย ผมเลยจำเป็นต้องหารูมเมตอย่างเร่งด่วนแม้ว่าจะไม่ต้องการเลยก็ตาม ก็มันทำใจยากนี่นาไอ้การจะไปอยู่กับคนอื่นแล้วต้องเห็นร่างเปลือยของรูมเมตทุกวันอย่างนั้นน่ะ ใครมันจะไปอยู่ได้กัน
แต่อยู่ไม่ได้ก็ต้องอยู่แล้ว ผมไม่ได้คาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิดจึงไม่มีทางเลือกมากนัก สิ่งที่ควรคิดถึงเป็นอันดับแรกในตอนนี้คือหางานพิเศษทำเพื่อแบ่งเบาภาระทางบ้านก่อน อย่างน้อยการมีเงินก็ทำให้สามารถยืดเวลาในการหารูมเมตออกไปได้เพราะผมยังพอมีเงินจ่ายค่าเช่าหอด้วยตัวเอง
แต่งานพิเศษนี่... ทำไมแม่งมีแต่งานที่ต้องไปเผชิญหน้ากับคนอื่นด้วยวะ
ไหนจะงานเสิร์ฟ งานบริการตามร้านอาหาร หรืองานพาร์ทไทม์ที่นักศึกษาส่วนใหญ่นิยมทำล้วนเป็นงานที่ต้องไปเจอหน้ากับผู้คนทั้งสิ้น แน่นอนว่าผมเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องเผลอไปสบตาผู้ชายด้วยกันอย่างแน่นอนถ้าต้องทำงานแบบนั้น แล้วก็ต้องเจอพืชผักสวนครัวห้อยต่องแต่งให้เห็นจะๆ คาตาอีกด้วย แต่จะไม่หางานทำก็ไม่ได้ใช่ไหมล่ะ สุดท้ายผมก็เลยมาลงเอยที่งาน...
“วินเอ๊ย เดี๋ยวเอาไม้ถูพื้นเข้าไปเช็ดพื้นหน่อยนะ ตรงแถวๆ โถฉี่น่ะเช็ดเยอะๆ แถวนั้นสกปรกง่าย”
“ครับป้า”
...พนักงานทำความสะอาดที่ห้องน้ำชายของห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งใกล้กับมหาวิทยาลัย
ก็ไม่อยากจะมาทำงานแบบนี้หรอก ต้องมาเช็ดคราบปฏิกูลของใครต่อใครบ้างก็ไม่รู้ แต่มันเป็นงานที่หลีกเลี่ยงผู้คนได้ดีที่สุดแล้วไงในเวลาที่ต้องหางานทำแบบกระชั้นชิดอย่างนี้น่ะ
ที่ผมว่ามันหลีกเลี่ยงผู้คนได้ดีที่สุดเป็นเพราะเวลาทำความสะอาด ผมสามารถปิดห้องน้ำ กันคนเข้ามาแล้วทำความสะอาดก่อนได้น่ะ จะมีก็แต่พวกป้าๆ พนักงานเหมือนกันเท่านั้นแหละที่ชอบทำความสะอาดเวลามีคนใช้งานอยู่ แต่ผมไม่ทำแบบนั้น มันยุ่งยาก ทำไปให้จบเป็นรอบๆ มันสะดวกกว่า ประเด็นหลักก็คือผมไม่อยากทำงานไป เห็นกระเปี๊ยวของคนอื่นไปพร้อมๆ กัน ยิ่งในห้องน้ำชายนะคุณเอ๊ย ไม่ต้องถามเลยว่าจะต้องเจอกับอะไรบ้าง
ดงชีเปลือยแน่ๆ!
จริงๆ การทำความห้องน้ำชายมันก็ไม่ยุ่งยากเหมือนห้องน้ำหญิงนะ ไม่ต้องคอยไปตามเก็บตามกวาดบ่อยๆ ด้วย เรียกได้ว่าถึงจะเป็นงานที่ไม่น่าพิสมัย แต่ก็นับว่าสบายถ้าหากเทียบกับพวกงานเสิร์ฟแล้ว งานนี้ได้ค่าชั่วโมงเท่ากันแต่ไม่จำเป็นต้องไปทำเรื่องหยุมหยิม แค่นี้ก็ถือว่าคุ้มสำหรับผม
ผมคว้าเอาไม้ม็อบกับป้ายพลาสติกที่มีตัวหนังสือว่า ‘กำลังทำความสะอาด’ ออกมาจากห้องเก็บของ รอให้ลูกค้าของห้างที่กำลังใช้งานคนสุดท้ายออกจากห้องน้ำถึงได้เดินเอาป้ายไปตั้ง จากนั้นถึงได้ปิดประตู เตรียมตัวจะกดล็อกเพื่อกันไม่ให้ใครหน้าไหนโผล่เข้ามาก่อนลงมือทำความสะอาดอย่างที่เคยทำ
หากแต่พอปลายนิ้วกำลังจะกดล็อกปุ๊บ ไอ้บ้าที่ไหนก็ไม่รู้ก็วิ่งมาทุบประตูปั๊บ ทุบไม่พอ พยายามบิดลูกบิด ผลักบานประตูเข้ามาด้วย ผมได้สติก็รีบผลักคืนตามสัญชาตญาณทันทีเมื่อรู้ว่าถ้ามันโผล่เข้ามา ผมจะต้องเห็นอะไรที่ไม่ควรเห็นแน่ แต่ไม่ทันละ ไอ้บ้านั่นแรงเยอะมาก ออกแรงผลักมาทีเดียว ผมก็กระเด็นไปอยู่ติดกำแพงหลังประตู ก่อนที่ร่างใหญ่ของผู้ชายคนนั้นจะวิ่งพรวดเข้ามาในห้องน้ำ ร้องตะโกนบอกผมเสียงหลง
“ขอโทษนะครับ ผมไม่ไหวแล้ว ขอเข้าหน่อย!”
แล้วก็หายเข้าไปในห้องส้วมอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้ผมมองตามอย่างระอา
แต่เอาเถอะ คงจะทนไม่ไหวจริงๆ แค่อย่าไปสบตาหมอนั่นก็พอแล้วล่ะ
ผมตรงเข้ามาคว้าไม้ม็อบ ตั้งท่าจะทำความสะอาดระหว่างรอผู้ชายคนนั้นทำธุระเสร็จอีกครั้ง ทว่าเรื่องมันไม่จบแค่มีไอ้บ้าที่ไหนก็ไม่รู้พุ่งเข้ามาแค่นั้น มันดันมีพลพรรคเพื่อนของมันพากันกรูตามเข้ามาอีก
“ขอโทษครับ พวกผมก็ขอเข้าด้วย”
เสียงนั้นถึงกับทำให้ผมชะงักงันไปทันตา
โอ้โหพวกมึง! เข้ามากันสี่ซ้าห้าหน่อ กูจะหลบยังไงเนี่ย ห้องน้ำก็เล็กแค่นี้
ปฏิเสธก็ไม่ได้ ดันเป็นลูกค้าของห้าง เลยได้แต่ก้มหน้างุดๆ แล้วเดินหลบมุมไปจนแทบจะสิงกับผนัง ปล่อยให้พวกมันไปยืนเรียงหน้ากระดานตรงโถฉี่ คุยกันเสียงดังพลางเรียกเพื่อนที่อยู่ในห้องน้ำไปด้วย
“เร็วๆ นะเว้ยไอ้คชา หนังใกล้จะฉายแล้ว!”
“เออ รู้แล้ว รอก่อน!”
จากนั้นก็พากันล้อผู้ชายที่ชื่อคชาว่าไปกินอะไรผิดสำแดงมาเลยทำให้ข้าศึกบุกโจมตีกะทันหัน ผมก็ไม่ได้สนใจนักหรอก ก้มหน้าก้มตาถูพื้นอย่างเดียวกระทั่งผู้ชายพวกนั้นจัดการธุระหน้าโถฉี่เสร็จและถอยออกมา ผมเลยได้โอกาสตรงเข้าไปทำความสะอาด ทว่าไอ้จังหวะที่ผมถือไม้ม็อบเปียกน้ำยาฆ่าเชื้อโรคเดินเข้าไปเนี่ย รองเท้าเจ้ากรรมก็ดันลื่นขึ้นมา ทำเอาผมล้มหงายหลังไม่เป็นท่า
เสียงดังตึงเรียกให้คนพวกนั้นที่กำลังล้างมืออยู่กรูเข้ามาหาผม ยื่นมือเข้ามาช่วยพยุงอย่างรวดเร็วโดยไม่ทันได้ร้องขอ
“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”
