บทที่ 1
มีนาไม่ใช่แค่ความหมายของเดือนที่สาม แต่มันเป็นชื่อที่พ่อแม่ตั้งให้แบบง่ายๆ เพราะมันคือเดือนเกิดของฉันเอง ปีนี้อายุยี่สิบปีแล้ว เรียนอยู่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ คณะมนุษยศาสตร์ สาขาวิชาภาษาอังกฤษ
เหตุผลน่ะหรือ...แค่อยากเป็นพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน เผื่อจะได้เจอชาวต่างชาติๆ หล่อมาขอไปเป็นศรีภรรยาก็เท่านั้นเอง แต่เหตุผลพวกนี้ไม่ได้บอกพ่อแม่หรอกนะ
ไม่อย่างนั้นคงโดนเขกมะเหงกหัวปูดไปแล้ว!
วันนี้ไม่มีเรียนช่วงบ่าย เพื่อนๆ นัดกันไปที่ร้านหมูกระทะหลังมหาวิทยาลัย แต่ฉันขอบาย เพิ่งสระผมไปเมื่อตอนเช้านี่เอง ใครจะอยากให้ควันเหม็นๆ พวกนั้นติดอยู่บนผมสวยๆ ดำขลับที่ยาวเกือบถึงเอวกันเล่า
คงเพราะแบบนี้แหละ เพื่อนถึงพากันตั้งชื่อใหม่ให้ฉันว่า ‘อินดี้’ อารมณ์แบบคนที่ชอบอยู่กับตัวเองมากกว่าออกไปเฮฮาปาร์ตี้กับเพื่อน ชอบทำอะไรไม่เหมือนชาวบ้าน ใช้ชีวิตจำเจทุกวัน
ตื่นมาไปเรียน เรียนเสร็จกลับหอไปต้มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปกิน แม่บ่นประจำว่าสักวันคงได้เป็นโรคไตแน่ๆ แต่มันประหยัดนี่นา อร่อยด้วย ทำง่ายอีก เป็นเมนูที่เหมาะกับคนที่แค่ทอดไข่ยังไหม้อย่างนางสาวมีนามาก...
ฉันเปิดประตูเข้าไปในห้อง วางเป้ลงบนโต๊ะหนังสือแล้วทิ้งตัวแรงๆ ลงบนเตียง ตั้งแต่ขับมอเตอร์ไซค์คู่ใจกลับจากคณะมาที่หอนอกซึ่งห่างออกไปห้ากิโล ภาพของเขาคนนั้นยังฉายชัดอยู่ในหัวตลอดเวลา ในมหาวิทยาลัยมีผู้ชายหล่อๆ มาจีบไม่น้อย แต่ทำไม...ทำไมไม่เคยมีใครเตะตาฉันจังๆ อย่างเขาคนนั้น
มีเสน่ห์ อ่อนโยน แถมหล่อจนอยากให้พ่อไปขอ!
ดวงตาของฉันหรี่ลง ริมฝีปากคลี่ยิ้มเมื่อนึกถึงเรื่องเมื่อวาน
‘เดี๋ยวไม่สบายนะ’
เสียงทุ้มที่ดังขึ้นเหนือศีรษะทำให้ฉันที่กำลังสาละวนอยู่กับการผูกเชือกรองเท้าผ้าใบตรงข้างฟุตปาธ รีบเงยหน้าขึ้นไปมอง มีผู้ชายคนหนึ่งยื่นแขนออกมากางร่มให้ลูกหมาตกน้ำอย่างฉัน ในขณะที่ตัวเขาเองกำลังเปียกปอนมากขึ้นทุกที
แรกพบสบตา เหมือนพรหมลิขิตนำพาให้หัวใจหวั่นไหว
หล่อ...โคตรหล่อเลยมีนเอ๊ย!
‘คุณก็กำลังเปียกนะคะ’
ฉันผูกเชือกรองเท้าเสร็จพอดี เลยรีบลุกขึ้นยืน แก้มแดงเรื่อร้อนผ่าวขึ้นมา เมื่อพบว่าตัวเองสูงแค่อกเขา ฟีลแบบพระเอกหนังเกาหลีอะไรประมาณนี้ ใครจะอดจิ้นไหวกันเล่า
‘ผมไม่เป็นไร ให้ไปส่งไหม’ เขาถาม แล้วพยักหน้าไปทางรถเบนซ์คันงาม ฉันทำตาโต คงเป็นบุญถ้าได้ขึ้นไปนั่งบนรถราคาแพงหูฉี่นั่นดูสักครั้ง
แต่แหม...ถึงจะหล่อ ถึงจะถูกชะตาเหมือนฟ้าลิขิตให้มาพบกันท่ามกลางคืนฝนพรำ แต่ฉันก็ไม่ใช่พวกที่จะขึ้นรถไปกับคนแปลกหน้าง่ายๆ หรอก
‘ไม่รบกวนดีกว่าค่ะ’ ฉันยิ้มน้อยๆ แล้วโบกมือปฏิเสธ
‘ถ้างั้นเอาร่มไปสิ ผมให้’
‘ไม่เป็นไรค่ะ ยังไงหนูก็เปียกอยู่แล้ว ไม่รบกวนพี่ดีกว่า’
อืม...นับญาติเสร็จสรรพ พร้อมทำตัวน่ารักใสซื่อด้วยการเอียงคอ กะพริบตาช้าแล้วยิ้มนิดๆ พอมีจริต ถ้าคิดจะฮุบเสือเหยื่อก็ต้องเด็ด วัลลภเพื่อนชายใจหญิงคนสนิทของฉันมันเคยสอนไว้
‘งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ’ พูดแค่นั้นเขาก็หมุนตัวเดินกลับไปที่รถ หันมามองแวบหนึ่ง แวบน้อยๆ ราวกับไม่มีเยื่อใย แล้วเปิดประตูขึ้นรถไปทันที
อ่ะ...ฮะ! ทำไมไม่ตื๊อต่ออีกนิดเล่า!
ฉันยืนงงอยู่ตรงที่เดิมจนกระทั่งรถเบนซ์คันนั้นแล่นฉิวจากไป ไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังเหลียวมองตามผู้ชายจนคอแทบหัก ไม่น่าหยิ่งเลยจริงๆ
เสียดาย...น่าจะใจง่ายยอมขึ้นรถไปกับเขา อย่างน้อยได้รู้ชื่อเพื่อเก็บมาเพ้อถึงก็ยังดี ดูภายนอกแล้วก็คงไม่ใช่คนเลวหรอก เหมือนนักธุรกิจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยอุดมการณ์และความมุ่งมั่นมากกว่า
ดีต่อใจมีนาเหลือเกินพ่อคุณ...
หนึ่งสัปดาห์ต่อมา...
ช่วงสอบปลายภาคผ่านไปอย่างทุลักทุเล เพราะฉันดันป่วยเป็นไข้หวัด แทบงัดตัวเองลุกขึ้นไปสอบไม่ไหว ดีที่ยังมีวัลลภกับน้ำขิงเพื่อนรักบุกมาที่หอเพื่อฉุดกระชากลากถูฉันลงจากเตียง บังคับให้ล้างหน้าแปรงฟัน แล้วช่วยกันหิ้วปีกฉันยัดใส่รถเก๋งคันเอี่ยมของวัลลภเพื่อรีบบึ่งไปที่คณะ
“สภาพนี้แกคิดว่าหัวฉันจะคิดอะไรออกเหรอนังลภ!”
ถึงจะป่วย แต่ปากยังบ่นได้เสมอ
“โอ๊ย! เยอะ! สอบๆ ไปเหอะน่า จิ้มๆ ฝนๆ ลงบนกระดาษ ไหว้พระขอพรให้ท่านช่วยดลใจ ใครจะรู้ฮะนังมีน! แกอาจจะได้เอไปอวดพ่อหนุ่มรูปงามที่แกเฝ้าฝันถึงก็ได้!” วัลลภร่ายยาวพร้อมกับหันมามองค้อนปะหลับปะเหลือกเกือบตลอดทาง ส่วนน้ำขิงก็เป็นแนวร่วมที่ดีเหมือนทุกครั้ง
“จริงของนังลิซ สอบๆ ไปเถอะ ดีกว่าต้องมาวิ่งวุ่นทีหลัง”
“แหม อีกนิดจะถึงคณะแล้วป่ะ ทำอย่างกับมีทางเลือก”
“นี่แหละ! มัวแต่ฝันถึงผู้ชายจนป่วย ไม่ดูแลตัวเองดีๆ”
“นังลภ! ฉันผิดใช่ไหมที่เล่าให้แกฟังเนี่ย แค่กๆๆ”
ฉันขึ้นเสียงใส่ แล้วก็ไอแค่กๆ เหมือนถูกนังเพื่อนนี่สาปแช่ง
“ผิดย่ะนังมีน! ผิดมากด้วย เพราะแกทำให้ฉันรักเขาทั้งที่ยังไม่เคยเห็นหน้า” คนขับรูปร่างอรชรอ้อนแอ้นทำหน้าตาเพ้อฝัน ยิ้มเลื่อนลอยจนน้ำขิงต้องตีแขนเบาๆ ให้หันกลับมาสนใจถนนหนทางเบื้องหน้า ไม่อย่างนั้นอาจมีสิทธิ์ตายก่อนสอบเอาได้
