แย้มกลีบหอม (เซียนหื่นๆ)

61.0K · จบแล้ว
ลออจันทร์ / เลี่ยงจิน 亮金
35
บท
10.0K
ยอดวิว
8.0
การให้คะแนน

บทย่อ

ในรอบหนึ่งหมื่นปี ‘บุปผาเทียมฟ้า’ ต้นไม้เก่าแก่ในป่าคุนเหม่ย จึงจะผลิดอกออกผลเป็น ‘หญิงสาว’ ผู้มีเสน่ห์ยั่วยวนบุรุษเพศ บุรุษเข่นฆ่ากันเพียงเพื่อจะได้ลิ้มชิมรส ทว่ากลีบของนางกลับปิดสนิทไม่อาจเปิดให้ผู้ใดได้ล่วงล้ำ มาลุ้นกันค่ะว่าบุรุษผู้ใคร...จะเป็นผู้แย้มกลีบหอม... ***************** แล้วโดยที่อีกฝ่ายยังไม่ทันตั้งตัวนางก็จับมือของเขาวางลงบนอกข้างซ้ายของตน มือของจ้าวฉงซานนั้นใหญ่เทอะทะ เมื่อทาบลงบนหน้าอกของบุปผานารีผลจึงกลายเป็นว่า...เขากำลังจับนมเต้าซ้าย มันใหญ่เด้งนุ่มนิ่มจนล้นออกจากมือเลยทีเดียว นะ...นี่มันแม่วัวพันธุ์ดีชัดๆ ดวงตาคมของเซียนผมขาวจับจ้องหน้าอกทรงโตอย่างไม่วางตา ในขณะที่ลูกกระเดือกกลิ้งกลอกไปมาราวกับกำลังกลืนน้ำลายลงคอ “ดูสิเจ้าคะนายท่าน จู่ๆ ก็มีก้อนเนื้อเต้นตุบๆ อยู่ตรงนี้เจ้าค่ะ” หญิงสาวยังคงพูดเจื้อยแจ้วต่อไป โดยไม่ได้สังเกตเห็นเลยว่าผู้ชายตัวโตที่ชอบขมวดคิ้วอยู่ตลอดเวลากำลังหน้าแดงก่ำ ระเรื่อไปจนถึงใบหู “ทำอะไรของเจ้า!” เซียนภูเขาชักมือกลับ แสร้งตวาดดังราวกับโมโหทั้งที่ความจริงแล้วเขากำลังเขินอาย กว่าแสนปีแล้วที่เขาไม่ได้จับ ‘นม’ สตรี เขาจึงไม่ทันได้เตรียมตัวเตรียมใจกับสถานการณ์คับขันเช่นนี้ ***************** “ข้าอยากจูบนายท่าน” ไม่พูดเปล่าแต่บุปผานารีผลแสนดื้อยื่นหน้าไปปิดริมฝีปากหนาหยักได้รูปด้วยเรียวปากเล็กสีชาดเอาไว้ทันที นางประทับจูบลงไปแนบแน่น ค้างนานอยู่เช่นนั้นโดยที่สองแขนยกขึ้นโอบรัดรอบลำคอ เบียดชิดเรือนกายยวนเย้ากอปรไปด้วยส่วนเว้าส่วนโค้งเข้าหาเรือนกายของบุรุษเพศที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามแข็งแกร่ง ต่อให้ใจแข็งดั่งหินผาก็ต้องหลอมละลายราวกับไขผึ้งลนไฟเมื่อถูกนางรุกเร้าด้วยสัมผัสหวามทว่ากลับเต็มไปด้วยความไร้เดียงสา มือหนาที่เพียงโอบประคองร่างบางอย่างปลอบโยนค่อยๆ กดน้ำหนักลงเป็นโอบกระชับ กระหวัดเอวคอดให้เบียดเข้าหาแล้วพลิกร่างบางให้นอนหงายบนเตียง ก่อนจะขยับกายขึ้นทาบทับร่างนุ่มนิ่มเอาไว้ “เช่นนี้ต่างหากเล่าจึงจะเรียกว่าจูบ” พูดเพียงเท่านั้นก็จูบจ้วงหวามไหวบดริมฝีปากอิ่มจนเห่อร้อน ส่งผลให้ก้อนเนื้อที่อกข้างซ้ายของบุปผานารีผลถึงกับกระตุกไม่เป็นจังหวะ สัมผัสนุ่มบดจูบเนิบช้าราวกับหยอกเย้าริมฝีปากสีชาด ก่อนจะแทรกปลายลิ้นร้อนเข้าไปแล้วควานหารสหวานของผลไม้แสนสวย “อื้อ...” คนตัวเล็กครางเสียงกระเส่าในลำคอ ยามนี้นางรู้สึกราวกับว่าหัวสมองขาวโพลน ตัวเบาหวิวคล้ายกับล่องลอยอยู่ท่ามกลางปุยเมฆ อีกทั้งในท้องยังหมุนมวนคล้ายมีผีเสื้อนับพันนับหมื่นกระพือปีกบินวนอยู่ในนั้น

นิยายรักโรแมนติกนิยายเทพเซียนนิยายจีนโบราณนิยายรักนิยายกำลังภายใน

Chapter 1 บุปผานารีผล

Chapter 1 บุปผานารีผล

ระยิบระยับพริบพราวราวกับอยู่ในห้วงแห่งความฝันแสนหวาน หมู่มวลหิ่งห้อยตัวน้อยเปล่งแสงสีเหลืองนวลบินวนดารดาษคล้ายดวงดาวประดับกลางผืนป่า ลมเย็นพัดแผ่วลู่ล้อไปกับใบไม้จนเกิดเป็นเสียงคล้ายห้วงดนตรีจากที่ซึ่งไกลแสนไกล กอปรกับนกสีหมอกตัวจ้อยนับพันตัวกำลังสยายปีกบินร่อนเหนือน่านฟ้าส่งเสียงเจื้อยแจ้วขับขานชวนฟัง

แสงสีทองราวกับผงทองคำโปรยปรายลงมาจากฟากฟ้าไม่ขาดสาย ก่อนจะกลืนหายเข้าไปในต้นไม้ใหญ่อายุกว่าหลายพันล้านปี ต้นไม้นี้มีขนาดกว่าหนึ่งร้อยคนโอบ ยอดบนสุดของต้นนั้นชูช่อเทียมเมฆ ใบไม้เป็นสีม่วงอ่อนค่อนไปทางสีคราม มีดอกสีชมพูกระจิริด กลีบโค้งมนห้าแฉกคล้ายดอกเหมยฮวา เวลานี้ได้บานสะพรั่งเต็มต้นบ้างก็ร่วงหล่นโปรยปรายทิ้งตัวลงบนผืนหญ้า ตามกิ่งก้านมีเถาวัลย์พันเกี่ยวอีกทั้งยังมีรากอากาศห้อยระย้าราวกับสายสร้อยก็ไม่ปาน

ต้นไม้นี้นับเป็นจุดศูนย์กลางของเทือกเขาคุนเหม่ย ถือกำเนิดอยู่เคียงคู่เหล่าสรรพชีวิตมานานแสนนานนับตั้งแต่ผานกู่ได้สร้างโลกขึ้น

ต้นไม้โบราณนี้มีชื่อว่า ‘บุปผาเทียมฟ้า’ ทุกคนคิดว่ามันเป็นต้นไม้มีชีวิตเพราะได้สรรค์สร้าง ‘บุปผานารีผล’ หญิงที่มีคุณลักษณะงดงามปานล่มสวรรค์ หยาดหยดไร้ที่ติราวกับประติมากรรมชั้นเลิศ

ไม่ว่าผู้ใดหากได้ยลโฉมก็ถึงกับลืมหายใจ บางรายหากจิตใจไม่แข็งแกร่งพอก็ถึงกับละเมอเพ้อหาราวกับจับไข้เลยทีเดียว

ทว่าในรอบหนึ่งหมื่นปีสวรรค์บุปผานารีผลจึงจะให้กำเนิดหญิงงามสักผลหนึ่ง หากใกล้ครบรอบโลกมีเหตุอาเพศ วาตภัยครั้งใหญ่ หรือโรคระบาดร้ายแรง ต้นบุปผาเทียมฟ้าก็จะงดออกผลเสียดื้อๆ ดังนั้นเหล่าเทพเซียนทั้งหลายจึงต่างตั้งตารอคอย เพื่อที่จะได้เป็นผู้ครอบครองนารีผลด้วยใจจดจ่อ

ซึ่งเวลาแห่งการรอคอยได้มาถึงแล้ว...

ยามเมื่อบุปผาเทียมฟ้าออกดอกสีชมพูสะพรั่งเต็มต้น บัดนี้กิ่งที่ใหญ่ที่สุดได้แตกผลออกมามีรูปร่างคล้ายทารกในครรภ์มารดา มีสายสะดือเป็นเถาวัลย์พันเกี่ยวร้อยรัดเอาไว้ ส่วนศีรษะของทารกน้อยติดกับขั้วผล มีกลีบเลี้ยงทั้งหมดห้ากลีบคลุมศีรษะเอาไว้อีกต่อหนึ่ง

เมื่อยื่นหน้าเข้าไปพิศมองใกล้ๆ จะเห็นได้ว่าใบหน้าหวานนั้นมนเรียว จมูกเล็กๆ โด่งรั้นปลาย นวลแก้มสุกปลั่ง และผิวกายแดงก่ำบ่งชัดว่าหากผลเริ่มโตจนสุกงอม บุปผานารีผลนี้คงมีผิวกายขาวนวลเนียนราวกับน้ำนมสวรรค์

“ข้าแทบอดทนรอไม่ไหวแล้ว”

เซียนหนุ่มผู้หนึ่งถึงกับเพ้อออกมา เมื่อได้เห็นการผลิผลของต้นบุปผาเทียมฟ้ากับตาตนเองเป็นครั้งแรก

“ข้าชักหวง ไม่อยากให้ใครมาเห็น”

เซียนอีกคนเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงฮึดฮัดอย่างไม่ชอบใจ แสงสีทองจากสรวงสวรรค์ที่โปรยปรายลงมายังต้นบุปผาเทียมฟ้าไม่หยุดหย่อนนั้น ราวกับเป็นการส่งสัญญาณบอกกล่าวให้เหล่าบุรุษน้อยใหญ่รับรู้ว่าหญิงงามกำลังจะถือกำเนิดขึ้น

อีกไมกี่ชั่วยามเหล่าเซียนทุกระดับ มาร ปีศาจ และสัตว์เทพชั้นสูงคงได้แห่กันมาที่นี่ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางเทือกเขาคุนเหม่ย เพื่อแย่งชิงหญิงงามไปครอบครอง แล้วพวกตนทั้งสองเป็นแค่เซียนงูปาเสอแสนกระจอก จะไปหาญสู้เหล่าเซียนชั้นสูงบนสวรรค์เก้าชั้นฟ้าได้อย่างไรกัน

“บิดาข้าเล่าว่าเมื่อสามหมื่นปีก่อนมีเทพเซียนล้มตายไปถึงห้าร้อยตน เหตุเพราะความงามของบุปผานารีผล ข้ามาที่นี่ในวันนี้ก็แค่หวังจะยลโฉมเท่านั้น ไม่คิดจะลงสนามแย่งชิงด้วยรักตัวกลัวตาย”

“ก็จริงอย่างที่เจ้าว่า อีกอย่างบุปผานารีผลมีอายุอยู่ได้เพียงแค่เจ็ดวัน หลังจากถูกบุรุษเสพสมนางก็จะค่อยๆ สุกงอมจนเหี่ยวเฉาแล้วตายไปในที่สุด”

“แต่ข้าเคยได้ยินบิดาเล่าว่า เมื่อหลายแสนปีก่อน มีนารีบุปผานางหนึ่งมีชีวิตรอดหลังจากเจ็ดวัน อีกทั้งยังมีชีวิตยืนยาวถึงหนึ่งแสนปีอีกด้วย แต่ไม่มีใครรู้ว่าเหตุใดนางจึงไม่ตายภายในเจ็ดวันเฉกเช่นบุปผานารีผลตนอื่นๆ”

“มันอาจเป็นแค่เรื่องเล่าปรัมปรา” งูปาเสอหนุ่มท้วงแล้วส่ายหน้าอย่างไม่เชื่อ

“ก็จริงอย่างที่เจ้าว่า เรื่องมันนานมาแล้วอาจถูกแต่งเสริมเติมแต่งขึ้นก็เป็นได้”

สองเกลอหาที่ปักหลักเพื่อยลโฉมหญิงงาม ในขณะที่เซียน มาร ปีศาจ สัตว์เทพ และมนุษย์ผู้มีวิชาเวทแก่กล้าต่างค่อยๆ ทยอยมายังสถานที่แห่งนี้ เพียงไม่นานที่นี่ก็แออัดคับคั่งไปด้วยชายหนุ่มกว่าหลายหมื่นคน นอกจากบุรุษแล้วก็ยังมีสตรีที่อยากเห็นหญิงงามปานล่มสวรรค์เป็นบุญตาสักครั้ง ก็ต่างตบเท้าเดินทางมาที่นี่อีกหลายร้อยชีวิตเลยทีเดียว

อีกนัยหนึ่งการเดินทางมารวมตัวกันของสตรีและชายหนุ่มในครั้งนี้ อาจทำให้หนุ่มสาวถูกตาต้องใจจนผูกสมัครรักใคร่กันก็เป็นได้

บ้างก็มีพ่อค้าแม่ค้าหัวหมอ หาบเร่นำของกินมาขาย ได้กำไรเป็นกอบเป็นกำไปเลยทีเดียว

ป่าคุนเหม่ยที่เงียบสงบจึงกลับมาคึกคักจอแจอีกครา

ไม่ไกลไปจากสถานที่ที่เต็มไปด้วยความวุ่นวายเท่าใดนักชายผมขาวยาวจดเอวนั่งเอกเขนกอยู่บนพื้นพรมหนังวัวด้วยใบหน้าบูดบึ้ง ฉายชัดว่ากำลังหงุดหงิดจนถึงขั้นสุด ขนาดตำราเล่มโปรดในมือยังไม่อาจลดทอนความหงุดหงิดนี้ได้แม้เพียงกระผีกริ้น

ก็จะอะไรเสียอีกเล่า!

ไอ้พวกบุรุษบ้ากามคงมาชุมนุมกันที่ต้นบุปผาเทียมฟ้าอีกแล้วสินะ ช่างส่งเสียงหนวกหูรบกวนเวลาพักผ่อนของเขาเสียเหลือเกิน อีกหน่อยคงฆ่าฟันกันจนเลือดนองแผ่นดินเพียงเพราะผลไม้ลูกเดียว!

เรื่องนี้องค์เง็กเซียนฮ่องเต้ถึงกับปรารภด้วยความเหนื่อยหน่าย แต่จะห้ามปรามหรือถือสิทธิ์ครอบครองต้นบุปผาเทียมฟ้าเอาไว้เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการนองเลือดก็ไม่อาจทำได้ รังแต่จะทำให้เหล่าชายหนุ่มคลางแคลงใจ

ครั้งหนึ่งเคยดำริจะโค่นต้นไม้ที่สร้างปัญหาทิ้ง แต่ถูกเทพแห่งโชคชะตาคัดค้านเสียงแข็ง เพราะต้นไม้นี้เป็นต้นไม้ที่ถือกำเนิดมาตั้งแต่ผานกู่สร้างโลก รากของมันหยั่งลึกไปทั่วทั้งแดนมนุษย์ ลึกสุดคณนาไปถึงนรก อีกทั้งใบอ่อนยังสูงชูช่อเทียมสวรรค์

หากบุ่มบ่ามทำอะไรลงไป เกรงว่าจะถึงกาลวิบัติฉิบหายจนไม่อาจต้านทาน