บทย่อ
ขวัญข้าว หญิงสาววัย 23 ปี หน้าตาหวานใส ผิวขาวอมชมพู รูปร่างงามหยด และมีหัวใจที่ไร้เดียงสา เธอเป็นแม่บ้านประจำคฤหาสน์หลังใหญ่ที่อยู่กลางเมืองหลวง ทำงานซื่อสัตย์ ขยันขันแข็ง แต่ความซื่อบื้อของเธอกลับตกเป็นเป้าของเจ้าของบ้านรูปหล่อจอมเจ้าเล่ห์อย่าง คิรินทร์ หนุ่มใหญ่วัย 36 ปี หล่อร้าย เจ้าเสน่ห์ และมีรสนิยมร้อนแรงแบบเผ็ดทะลุเตียง! เขาไม่เคยสนใจแม่บ้านคนไหนมาก่อน จนกระทั่งเห็นขวัญข้าวตอนเธอทำความสะอาดห้องนอนด้วยชุดแม่บ้านสั้น ๆ เสื้อตัวรัดจนเห็นทรวงอกนูนเด่น ความไร้เดียงสาบวกความน่ารักแบบไม่ได้ตั้งใจของเธอ กลับกระตุ้นสัญชาตญาณนักล่าของเขาขึ้นมาอย่างรุนแรง เขาเริ่ม “ล่อหลอก” และ “ยั่วเย้า” ด้วยวิธีต่าง ๆ ให้เธอค่อย ๆ เปิดใจ เปิดกาย และเปิดทุกอย่างให้เขาอย่างเต็มใจ.
1 แม่บ้านคนใหม่
ตอนที่ 1
แม่บ้านคนใหม่
ลมหายใจของเมืองหลวงยังคงเคลื่อนไหวในจังหวะรีบเร่ง เสียงแตรรถยนต์ดังแว่วมาจากทางด่วนที่ทอดตัวยาว ความเร่งรีบของการใช้ชีวิตในมหานครไม่เคยหยุดนิ่ง…ทว่าที่ปลายสุดของย่านหรูริมแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งเป็นทำเลทองที่โอบล้อมด้วยธรรมชาติและวิวทิวทัศน์อันงดงาม
คฤหาสน์หลังใหญ่สไตล์โมเดิร์นคลาสสิกตั้งตระหง่านอย่างโดดเด่น ผนังสีขาวสะอาดตาตัดกับหลังคาสีเข้ม บ่งบอกถึงรสนิยมอันเลิศหรูของผู้เป็นเจ้าของ แม้ภายนอกจะดูเงียบสงบราวกับปิดตาย ไร้ซึ่งความเคลื่อนไหวใดๆ จนใครๆ อาจคิดว่ามันเป็นเพียงที่พักตากอากาศที่ไร้ผู้อยู่อาศัย แต่แท้จริงแล้ว ภายในกลับซ่อนเร้นไว้ด้วยชีวิตที่ไม่ได้เงียบเหงาอย่างที่คนภายนอกคิดเลยแม้แต่น้อย
และในวันนี้… แขกใหม่ได้ก้าวเข้ามาเยือนที่แห่งนี้
ประตูคฤหาสน์ถูกเปิดออกช้าๆ เผยให้เห็นหญิงสาวร่างเล็กคนหนึ่งก้าวเข้ามาด้วยท่าทีประหม่า เธอสวมเพียงเสื้อยืดสีขาวเรียบๆ กับกางเกงยีนส์สีซีดที่ดูธรรมดาจนแทบไม่เข้ากับความหรูหราอลังการของสถานที่แห่งนี้
หนูดีในวัยยี่สิบสามปี ยืนก้มหน้าก้มตาอย่างนอบน้อม มือเล็กๆ ประสานกันแน่น ราวกับกำลังยืนอยู่กลางศาลเจ้าอันศักดิ์สิทธิ์ที่เต็มไปด้วย ความเกรงขาม แววตาของเธอดูกระจ่างใส บริสุทธิ์ หากแต่ก็แฝงไปด้วยความกังวลและความหวัง
“หนูชื่อหนูดีค่ะ อายุยี่สิบสาม เรียนไม่จบ ปวช. ก็ออกมาทำงานแล้วค่ะ…หนูทำได้ทุกอย่างเลยนะคะ ไม่ว่าจะงานหนักเบาแค่ไหน หนูยินดีทำหมดค่ะ แค่ขอให้อยู่กินนอนฟรี มีที่ปลอดภัยให้หนูอยู่ หนูยินดีหมดเลยค่ะ”
เสียงหวานใสเอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบา แต่เปี่ยมด้วยความตั้งใจจริง เธอพยายามควบคุมน้ำเสียงไม่ให้สั่นเครือ พยายามสื่อสารความมุ่งมั่นของตัวเองออกไปให้มากที่สุด เพราะนี่คือโอกาสเดียวที่เธอจะหลุดพ้นจากชีวิตที่เคยเผชิญมา
ตรงหน้าเธอคือ ชายหนุ่มผู้ที่ดูเหมือนจะหลุดออกมาจากนิตยสารแฟชั่น เขาอยู่ในชุดเชิ้ตสีดำสนิทเนื้อดีที่พับแขนขึ้นถึงข้อศอก เผยให้เห็นกล้ามเนื้อแขนที่กระชับและผิวขาวจัดตัดกับสีเสื้อ ใบหน้าคมคาย ดวงตาคมกริบแต่ทว่ากลับดูว่างเปล่าและยากจะคาดเดา มาดสุขุมของเขาแฝงไว้ด้วยความน่าหวั่นใจในเวลาเดียวกัน เขาไม่ได้มองมาที่เธอโดยตรง แต่สายตากลับจดจ่ออยู่กับแก้ววิสกี้ครึ่งหนึ่งที่วางอยู่บนโต๊ะข้างโซฟา กำมะหยี่สีเทาเข้มเนื้อนุ่มที่เขานั่งไขว่ห้างอยู่
คิรินทร์ อัครเมธากุล หนุ่มใหญ่วัยสามสิบหกปี ผู้เป็นเจ้าของคฤหาสน์แห่งนี้ ผู้ที่คนภายนอกต่างขนานนามว่า ปีศาจในคราบเทพบุตร ผู้ที่ใช้ชีวิตอยู่กับความเงียบงันและความเดียวดายในคฤหาสน์หลังใหญ่มานานหลายปี
เขามองหญิงสาวตรงหน้าราวกับกำลังชั่งน้ำหนักระหว่างของเล่นชิ้นใหม่ที่น่าสนใจ กับของสะสมล้ำค่าที่ควรจะเก็บรักษาไว้ให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ แววตาของเขาฉายแววพิจารณาอย่างถี่ถ้วน ก่อนที่รอยยิ้มมุมปากจะปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็วจนแทบมองไม่เห็น
“เธอสมัครแม่บ้าน…แต่รู้มั้ยว่าแต่งตัวมาน่าปล้ำขนาดไหน” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยขึ้นช้าๆ ด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย หากแต่กลับแฝงด้วยความหมายบางอย่างที่ทำให้หัวใจของหนูดีกระตุกวูบ
หนูดีเงยหน้าขึ้นทันที ตาโตด้วยความตกใจ ใบหน้าเล็กๆ แดงก่ำไปถึงใบหู เลือดสูบฉีดจนรู้สึกร้อนผ่าวไปทั่วแก้ม ราวกับถูกน้ำร้อนลวก เธอไม่เคยถูกใครพูดจาแบบนี้มาก่อนในชีวิต
“ตะ…แต่งตัวธรรมดานะคะ แค่เสื้อยืดกับกางเกงยีนส์ หนูไม่ได้ตั้งใจจะ...” เสียงของเธอขาดห้วงไปอย่างกะทันหัน ความประหม่าและความอับอายถาโถมเข้าใส่จนพูดไม่ออก
“ฉันไม่ได้บอกว่าเธอตั้งใจ” เขาแค่นเสียงหัวเราะในลำคอเบาๆ แววตาคมกริบจ้องมองสำรวจเธอตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า
“แต่แบบเธอ…มันเหมือนดอกไม้หอมที่ปลิวเข้ารังเสือ เธอรู้ตัวรึเปล่า”
หนูดีหน้าแดงยิ่งกว่าเดิม ก้มหน้างุดอย่างทำอะไรไม่ถูก รู้สึกราวกับความร้อนจากพื้นห้องปูพรมสีเข้มกำลังลุกขึ้นมาเผาผลาญแก้มของเธอให้มอดไหม้ เธออยากจะแทรกแผ่นดินหนีไปจากสถานการณ์นี้เหลือเกิน
คืนนั้น หนูดีถูกจัดให้พักห้องเล็กๆ ที่อยู่ใกล้กับห้องซักล้าง ด้านหลังของคฤหาสน์ เป็นห้องที่เรียบง่ายแต่สะอาดสะอ้าน มีเพียงเตียงเดี่ยวขนาดกะทัดรัดที่ปูด้วยผ้าปูที่นอนสีขาวสะอาดตา และโต๊ะไม้เล็กๆ สำหรับวางของ เธอไม่รู้เลยว่า ทุกมุมของคฤหาสน์แห่งนี้…มีสายตาของใครบางคนกำลังจับตามองเธออยู่เสมอ ไม่ว่าจะก้าวเดินไปที่ไหน หรือทำอะไรอยู่ก็ตาม
วันรุ่งขึ้น หนูดีเริ่มงานแต่เช้าตรู่ เธอตื่นขึ้นมาตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง สวมชุดทำงานตัวใหม่ที่ได้รับมอบหมาย หน้าที่ของแม่บ้านคือการดูแลความสะอาดเรียบร้อยของบ้าน แต่สำหรับหนูดี…ความเรียบร้อยของเธอกลับดูยั่วเย้าโดยไม่ตั้งใจ
ชุดแม่บ้านที่เธอได้รับเป็นชุดกระโปรงสีเทาอ่อน ผ้าเนื้อนิ่มทิ้งตัวอย่างสวยงาม แขนเสื้อเป็นทรงตุ๊กตาเล็กน้อย เอวคอดเน้นสัดส่วนที่ชัดเจน กระโปรงสั้นเหนือเข่าเล็กน้อย เผยให้เห็นเรียวขาขาวเนียนที่ดูอ่อนเย้ายามก้าวเดิน เสื้อตัวเล็กแนบลำตัว เผยให้เห็นส่วนเว้าส่วนโค้งที่เจ้าตัวเองก็ยังไม่รู้ว่ามัน “อันตราย” มากแค่ไหนในสายตาของใครบางคน
หญิงสาวเริ่มงานด้วยความขยันขันแข็ง กวาดบ้าน ถูพื้น เช็ดกระจก และจัดห้องรับแขกที่กว้างขวางให้เข้าที่เข้าทาง เธอกำลังเอื้อมมือขึ้นไปเช็ดกระจกบานสูงที่อยู่เหนือศีรษะ ทำให้ชายกระโปรงของเธอร่นขึ้นเล็กน้อย เผยให้เห็นเรียวขาขาวผ่องที่ยาวกว่าปกติ
“อย่าเช็ดตรงนั้นเลย”เสียงข้างหลัง ทำให้หนูดีสะดุ้งสุดตัว จนผ้าเช็ดกระจกเกือบหลุดมือ
“คะ!? เอ่อ…ขอโทษค่ะ หนูไม่รู้ว่ามัน…เอ่อ…เห็นอะไรมั้ยคะ!?” หนูดีหันขวับกลับมาเผชิญหน้ากับเขา ใบหน้าหวานแดงก่ำอีกครั้งด้วยความประหม่า
“ไม่รู้สิ…ฉันว่าฉันเห็น ‘แม่บ้านคนหนึ่ง’ ที่ไม่ควรปล่อยให้อยู่ลำพังในบ้านผู้ชายแบบฉัน…” เสียงของเขาพร่าลงเล็กน้อย แววตาคมกริบจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของเธอ ราวกับจะดูดกลืนวิญญาณ
เขาก้าวเข้ามาใกล้…ช้าๆ ทุกย่างก้าวของเขาทำให้หัวใจของหนูดีเต้นรัวราวกลองศึก กลิ่นน้ำหอมจากกายชายของเขาเป็นกลิ่นที่หอมร้อน หอมจนน่าเวียนหัว คลุ้งแตะจมูกเธอ ทำให้ร่างกายของเธออ่อนระทวยลงไปทุกที
“ถ้าฉันทำอะไรเธอขึ้นมา…จะเรียกว่าเธอยั่ว…หรือฉันเลว”
คำถามที่แสนตรงไปตรงมาทำให้หนูดีพูดอะไรไม่ออก สมองของเธอขาวโพลนไปหมด ใจเต้นระส่ำจนแทบจะทะลุออกมาจากอก ยิ่งเขาขยับเข้ามาใกล้จนร่างของเธอถูกบ้อนให้ต้องพิงกำแพง กระจกบานใหญ่ด้านหลังเย็นเฉียบ แต่ลมหายใจที่รดรินอยู่ข้างแก้มของเขากลับร้อนระอุ ราวกับไฟที่พร้อมจะแผดเผาทุกสิ่ง
เขาไม่ทำอะไรไปมากกว่านั้น นอกจากแค่โน้มใบหน้าเข้าใกล้…ปลายจมูกโด่งคมแตะลงข้างแก้มเธอเบาๆ สัมผัสแผ่วเบานั้นทำให้ร่างกายของหนูดีสั่นสะท้านไปทั้งตัว ขนแขนลุกซู่ด้วยความรู้สึกที่ไม่อาจบรรยายได้
“คืนนี้…อย่าใส่ชุดบางๆ เดินผ่านหน้าห้องฉันอีกนะหนูดี”
เสียงทุ้มต่ำกระซิบข้างหูเธอแผ่วเบา แต่กลับทรงพลังจนทำให้หนูดีรู้สึกราวกับถูกสะกด เธอหลับตาลงแน่น พยายามรวบรวมสติที่กระจัดกระจายให้กลับคืนมา

