บท
ตั้งค่า

บทที่ 14

ณ ลานศาลบรรพบุรุษ

ฤกษ์งามยามดีใกล้มาถึง ผู้อาวุโสในคนหนึ่งในตระกูลที่อายุเกือบเก้าสิบปีกล่าวว่า “ตั้งแท่นบูชา!”

การตั้งแท่นบูชานั้น คือการจุดธูปสามดอกที่แท่นบูชาบรรพบุรุษ ณ ประตูศาล เพื่อแจ้งแก่บรรพบุรุษ

เมื่อธูปสามดอกเผาไหม้จนหมดสิ้น โดยไม่มีเหตุอันใดเกิดขึ้น ก็ถือว่าบรรพบุรุษเห็นชอบด้วย

เมื่อถึงเวลานั้นจึงจะสามารถเปิดประตูศาลบรรพบุรุษได้

สวี่โหรวเจิงมองดูธูปสามดอกนั้น ดวงตาสีดำเป็นประกายวาววับ

นางตื่นเต้นจนกำมือแน่นไว้ในแขนเสื้อ

เมื่อนางได้เป็นบุตรสาวของตระกูลสวี่อย่างแท้จริงแล้ว สวมนามสตรีสูงศักดิ์ เรื่องราวทุกอย่างก็จะง่ายดายยิ่งขึ้น…

ทันใดนั้น พ่อบ้านก็วิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อน กระซิบข้างกายเวยกั๋วกงเสียงต่ำ “นายท่าน นายท่านใหญ่มาถึงแล้ว บอกว่ารอท่านอยู่ที่ห้องโถงด้านหน้า”

เวยกั๋วกงขมวดคิ้ว “พิธีการเริ่มแล้ว เขายังจะอยู่ที่ห้องโถงด้านหน้าทำไม บอกให้เขามาที่นี่”

พ่อบ้านมีสีหน้าลำบากใจ ใช้มือบังปากไว้ เสียงต่ำลงไปอีก

“แต่นายท่านใหญ่กล่าวว่า หากท่านไม่ไปหา ท่านก็จะพาคุณหนูใหญ่มาที่นี่”

คิ้วของเวยกั๋วกงขยับขึ้น มองดูญาติพี่น้องเต็มลาน แล้วกล่าวกับใต้เท้าเกาที่อยู่ข้างกายว่า “ใต้เท้าเกา ข้าขอไปจัดการเรื่องเล็กน้อยก่อน”

“ท่านพ่อไปไหนหรือเจ้าคะ” สวี่โหรวเจิงถามฮูหยินสวี่

ในเวลาสำคัญของการตั้งแท่นบูชาเช่นนี้ ท่านจะจากไปได้อย่างไร

แม่ลูกทั้งสองเห็นเวยกั๋วกงเดินจากไปพร้อมพ่อบ้านด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

ฮูหยินสวี่เหลือบตามอง “โหรวเอ๋อร์ เจ้าอยู่ที่นี่ แม่นมชิงจะอยู่เป็นเพื่อนเจ้า แม่ไปดูว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น”

นางก็ปลีกตัวออกจากพิธีไปอย่างเงียบๆ

ในห้องโถงด้านหน้า นายท่านใหญ่ของตระกูลสวี่ใช้ไม้เท้าเท้าพื้น แล้วตวาดเสียงดัง “ข้าไม่เห็นด้วยที่สวี่โหรวเจิงจะเข้าทะเบียนตระกูล!”

เวยกั๋วกงไม่พอใจ “พี่ใหญ่ ท่านจะตะโกนทำไม ข้าไม่ได้ให้ท่านเลี้ยงดูนาง ข้ารับเลี้ยงเองไม่ได้หรือ”

“จิ้งยางไม่เห็นด้วยก็ไม่ได้! เดิมข้าคิดว่าการที่พวกเจ้าจะบันทึกชื่อสวี่โหรวเจิงเป็นน้องสาวร่วมสายเลือดของจิ้งหันนั้น ได้รับความยินยอมจากจิ้งยางแล้ว แต่พวกเจ้ากลับปิดบังนาง เรื่องนี้ถูกต้องหรือ”

“ใช่แล้ว หากสวี่โหรวเจิงได้เป็นคุณหนูใหญ่ในทะเบียนตระกูล แล้วพี่หญิงใหญ่จะเป็นอะไร” สวี่จิ้งจือกล่าวเสริม

เวยกั๋วกงเหลือบมองนาง “จิ้งจือ รีบประคองบิดาเจ้าให้นั่งลงเถิด ท่านสุขภาพไม่ดีอยู่แล้ว อย่าให้ท่านโมโหไปมากกว่านี้”

กล่าวจบ เขาก็หันไปตำหนิสวี่จิ้งยางที่อยู่ข้างๆ

“ข้าให้เจ้าไปหาแม่นม เจ้ายังกล้ากลับมาก่อเรื่องอีก คิดว่ามีคนหนุนหลังแล้วข้าจะไม่กล้าลงโทษเจ้าหรือ สวี่จิ้งยาง เจ้าช่างไร้ระเบียบถึงเพียงนี้!”

สวี่จิ้งยางยืนอยู่ต่อหน้าเขา ดวงตาเต็มด้วยความผิดหวัง สีหน้าเย็นชา

“ท่านพ่อมีสิทธิ์อันใดมาตำหนิข้า พวกท่านต้องการรับสวี่โหรวเจิงเป็นบุตรบุญธรรม ข้าไม่เคยกล่าวว่าไม่ได้”

“แต่พวกท่านกลับจะบันทึกชื่อนางในทะเบียนตระกูลเป็นคุณหนูใหญ่ และยังกล่าวว่าเป็นน้องสาวร่วมสายเลือดกับพี่ชาย ข้าคิดว่าพวกท่านตั้งใจจะให้นางมาแทนที่ข้าใช่หรือไม่”

เมื่อนางกล่าวออกมาอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้ ผู้ที่มีความลับในใจก็ย่อมสะท้านทันที

“เหลวไหล!” เวยกั๋วกงตวาดเสียงดังราวฟ้าร้อง

ที่ประตู ก็มีเสียงเร่งรีบดังมา “จิ้งยาง! เจ้ากล้าพูดจาเหลวไหลได้อย่างไร โหรวเอ๋อร์ไม่เคยแก่งแย่งชิงดี ไฉนเจ้าจึงไม่ยอมให้นางอยู่ได้”

ฮูหยินสวี่เดินเข้ามา มองสวี่จิ้งยางด้วยสีหน้าเจ็บปวด

“ในช่วงที่เจ้าไม่อยู่ มีแต่โหรวเอ๋อร์ที่อยู่ข้างพวกเรา คอยดูแลปรนนิบัติพวกเราอย่างกตัญญู และยังรักษาขาของท่านพ่อเจ้าจนหาย นางไม่สมควรที่จะได้เข้าทะเบียนตระกูลของพวกเราหรือ”

สวี่จิ้งยางกล่าวอย่างเย็นชา “สิ่งที่นางทำมานั้น เพียงพอที่จะมาแทนที่ฐานะของข้าในตระกูลสวี่แล้วหรือ”

นางกล่าวอย่างมีนัยยะ ฮูหยินสวี่จึงพูดไม่ออกทันที พลางเหลือบมองนายท่านใหญ่ของตระกูลสวี่ที่ไม่ทราบเรื่องราว

เวยกั๋วกงกล่าวว่า “การเรียกนางว่าคุณหนูใหญ่ เพียงเพื่ออาศัยชื่อเสียงของพี่ชายเจ้าเท่านั้น เพราะโหรวเอ๋อร์มีบุญคุณต่อพวกเรา”

ฮูหยินสวี่กุมหน้าผากด้วยความกลัดกลุ้ม “ข้าไม่อยากบอกเจ้า ก็เพราะกลัวว่าเจ้าจะก่อเรื่อง ดูสิ เจ้าก็ไม่ยอมปล่อยวางจริงๆ ตั้งแต่เจ้ากลับมา ก็ไม่เคยทำให้ข้าสบายใจเลย”

สวี่จิ้งยางเม้มปาก “หากพวกท่านเห็นข้าเป็นคนในครอบครัว ก็ควรจะบอกความจริงแก่ข้าตั้งแต่แรก ไม่ใช่ใช้เรื่องแม่นมมาหลอกล่อให้ข้าออกไป อย่างนั้นข้าก็ไม่อาจโกรธได้ถึงเพียงนี้”

นายท่านใหญ่ของตระกูลสวี่พยักหน้าเห็นด้วย “เกินไปแล้ว น้องรอง ข้าคิดไม่ถึงว่าพวกเจ้าจะทำเรื่องเช่นนี้ได้ ไฉนจึงต้องให้เด็กสองคนมาแย่งชิงฐานะเดียวกัน”

“ข้าไม่ได้คิดมากขนาดนั้น มันก็แค่ชื่อเสียง จะสำคัญอะไร” เวยกั๋วกงแก้ตัว

สวี่จิ้งยางไม่ยอมถอย “แน่นอนว่าสำคัญสิ คุณหนูใหญ่ของตระกูลสวี่จะมีสองคนได้อย่างไร ผู้อื่นจะแยกแยะได้อย่างไร”

“หากท่านพ่อท่านแม่ยืนกรานที่จะให้นางมาแทนที่ฐานะของข้า เช่นนั้นก็ขอให้พวกท่านตัดชื่อข้าและพี่ชายออกจากทะเบียนตระกูลเสียก่อน”

“บังอาจ!” เวยกั๋วกงเบิกตากว้างด้วยความโกรธ “เจ้ายังกล้าพาดพิงถึงพี่ชายเจ้าอีกหรือ เจ้าจะไปก็ไปคนเดียว!”

นายท่านใหญ่ของตระกูลสวี่ดึงสวี่จิ้งยางไปอยู่ด้านหลัง

“จิ้งยาง มีข้าอยู่ที่นี่ ไม่มีใครสามารถตัดชื่อเจ้าออกจากทะเบียนตระกูลได้ เว้นแต่ข้าจะตาย!”

ท่านมองเวยกั๋วกง “น้องรอง หากเจ้ายังคงสับสนเช่นนี้ ข้าจะไปบอกผู้อาวุโสในตระกูลเดี๋ยวนี้ ว่าข้าไม่เห็นด้วยกับการรับบุตรบุญธรรมครั้งนี้”

สวี่จิ้งยางมองแผ่นหลังของท่านลุงใหญ่ที่กำลังโต้เถียงเพื่อความยุติธรรมให้แก่นาง ก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง

ความสัมพันธ์ระหว่างบ้านใหญ่และบ้านรองนั้นแท้จริงแล้วไม่ดีนัก

สวี่จิ้งยางได้ยินมาว่า ก่อนที่นางจะเกิด ท่านลุงใหญ่สอบได้ปั๋งเหยี่ยนฝ่ายบู๊ (อันดับสองในการสอบทหาร) ชื่อเสียงโด่งดังในเมืองหลวง อนาคตสดใสไร้ขีดจำกัด

แต่ท่านพ่อของนางอาศัยชื่อเสียงของท่านลุงใหญ่ เมื่อไปมีเรื่องทะเลาะวิวาทกับผู้อื่น ก็ทำให้อีกฝ่ายแขนหัก

ท่านทำร้ายคนแล้วก็หนีกลับบ้าน ท่านลุงใหญ่ไปช่วยไกล่เกลี่ย ก็ถูกคนของอีกฝ่ายล้อมโจมตี จนขาบาดเจ็บและพิการมาจนถึงทุกวันนี้

ในตอนนั้น ท่านลุงใหญ่เพิ่งแต่งงาน ท่านป้าใหญ่มาที่บ้านของนาง หวังจะร่วมกันฟ้องร้องต่อศาล

แต่ไม่คาดคิดว่าท่านพ่อท่านแม่ของนางสืบทราบมาว่าอีกฝ่ายมีเส้นสายกับราชครู จึงไม่กล้าที่จะยุ่งเกี่ยว และปฏิเสธข้อเสนอของท่านป้าใหญ่

ความสัมพันธ์ของทั้งสองบ้านจึงแตกหัก

ท่านลุงใหญ่ก็เหมือนดาวที่ร่วงหล่น ใช้ชีวิตอย่างสับสนอยู่หลายปี สุขภาพก็ทรุดโทรมลงเรื่อยๆ แม้แต่บุตรก็ไม่มี

เมื่อสวี่จิ้งยางอายุแปดขวบ ท่านลุงใหญ่และท่านป้าใหญ่จึงมีบุตรคนแรก คือสวี่จิ้งจือ

ความบาดหมางในครอบครัวเช่นนี้ ทำให้หลังจากฮูหยินเฒ่าเสียชีวิต ท่านป้าใหญ่ก็ปิดทางเดินเชื่อมระหว่างสองบ้านทันที

มีเพียงท่านลุงใหญ่เท่านั้นที่ไม่ถือโทษโกรธน้องชาย หลายปีที่ผ่านมาก็ยังคงมีการไปมาหาสู่กันบ้างนางในเทศกาลสำคัญ

เมื่อก่อนตอนที่สวี่จิ้งยางอยู่ในเมืองหลวง นางทำตามคำสั่งของมารดา จึงไม่ค่อยไปมาหาสู่กับครอบครัวท่านลุงใหญ่

แต่ท่านลุงใหญ่เมื่อเห็นนาง ก็จะยิ้มอย่างอ่อนโยนเสมอ

กล่าวได้ว่าครอบครัวของนางเป็นหนี้บุญคุณท่านลุงใหญ่ก็ไม่ผิด

หาก…ท่านลุงใหญ่เป็นบิดาของนาง นางอาจจะไม่ต้องทนทุกข์ทรมานมากถึงเพียงนี้

เมื่อคิดถึงตรงนี้ สวี่จิ้งยางก็รู้สึกเศร้าเล็กน้อย

เวยกั๋วกงและท่นายท่านโต้เถียงกันอย่างไม่มีใครยอมใคร

ในที่สุด เวยกั๋วกงก็กล่าวว่า “พี่ใหญ่ ชั่วชีวิตนี้ข้าไม่เคยขอร้องอะไรท่านเลย มีเรื่องนี้เรื่องเดียว ท่านยังไม่ยอมให้ข้าหรือ”

คุณหนูสามสวี่จิ้งจือก็พูดขึ้นทันที “ใครว่าไม่เคยขอร้อง แม่ข้าบอกว่าตอนที่ท่านไปมีเรื่องกับคนอื่น ท่านก็มาขอร้องท่านพ่อ…”

เวยกั๋วกงรีบขัดจังหวะ “นั่นเป็นเรื่องในอดีตไปแล้ว!”

ฮูหยินสวี่สูดหายใจเข้าลึก “เช่นนี้เถิดพี่ใหญ่ วันนี้ผู้อาวุโสในตระกูลและญาติพี่น้องก็มาถึงแล้ว รองเสนาบดีกรมคลังใต้เท้าเกาก็อยู่ด้วย พวกเราไม่สามารถหยุดได้แล้ว มิฉะนั้นคนทั้งเมืองหลวงจะพากันหัวเราะเยาะตระกูลสวี่เอา”

“วันนี้ให้โหรวเอ๋อร์เข้าทะเบียนตระกูลไปก่อน ส่วนเรื่องลำดับอาวุโส ข้าจะปรึกษาหารือกับท่านพี่อีกครั้ง”

เวยกั๋วกงพยักหน้าเห็นด้วย “พี่ใหญ่ หากท่านยังขัดขวางอีก ก็เท่ากับว่าท่านไม่เห็นแก่พวกเราแล้ว”

นายท่านสวี่ไม่ได้กล่าวอะไร เพราะท่านก็ไม่มีทางโต้แย้งได้อีกแล้ว

ท่านเพียงหันไปมองสวี่จิ้งยาง ด้วยสายตาที่น่าสงสาร

เพราะท่านก็ฟังออกว่า คำพูดเหล่านี้เป็นเพียงข้ออ้างของเวยกั๋วกงและฮูหยินสวี่เท่านั้น

ในขณะนั้นเอง

พ่อบ้านก็วิ่งเข้ามาอย่างเร่งรีบ—

“นายท่าน ท่านฮูหยิน เสนาบดีกรมคลังใต้เท้าชุยมาถึงแล้ว บอกว่าจะมาช่วยเป็นพยานในการรับบุตรบุญธรรม และได้ไปยังลานศาลบรรพบุรุษแล้วขอรับ!”

เวยกั๋วกงและฮูหยินสวี่มองหน้ากันด้วยความยินดีอย่างยิ่ง

ตระกูลชุย นั่นคือตระกูลของฮองเฮาเลยนะ!

“พี่ใหญ่ ดูเถิด ท่านผู้สูงศักดิ์มาแล้ว เรื่องนี้ก็ให้เป็นไปตามนี้ก่อนเถิด!” เวยกั๋วกงไม่มีเวลาจะรออีกต่อไป รีบไปยังลานศาลบรรพบุรุษเพื่อต้อนรับท่านผู้สูงศักดิ์

สวี่จิ้งยางเดาในใจว่า นี่คือผู้ช่วยที่อาจารย์ใหญ่ของนางเชิญมาให้หรือ

มาได้ถูกเวลาจริงๆ

“จิ้งยาง…เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ท่านลุงก็ช่วยอะไรไม่ได้ หากเจ้าได้รับความคับข้องใจใดๆ ก็มาบอกท่านลุงได้”

“ท่านพ่อ พูดไปก็มีประโยชน์อันใด ท่านอาและท่านอาสะใภ้ก็ไม่ฟังท่านอยู่ดี” สวี่จิ้งจือกล่าวความจริงอีกครั้ง

สวี่จิ้งยางกลับยิ้มอย่างอ่อนโยน “วันนี้ท่านลุงมาพูดเพื่อข้า ข้าก็ซาบซึ้งใจยิ่งแล้ว ในเมื่อขัดขวางไม่ได้ ก็จงยอมรับเถิด พวกเราไปดูนองโหรวเจิงเข้าทะเบียนตระกูลกันเถิด”

ทั้งสามคนก็ไปยังลานศาลบรรพบุรุษ

มองเห็นผู้คนกลุ่มหนึ่งกำลังรายล้อมเสนาบดีกรมคลังใต้เท้าชุยอยู่แต่ไกล

ข้างกายท่าน ยังมีชายหนุ่มรูปร่างสูงสง่าและเคร่งขรึมยืนอยู่

เสื้อคลุมหนาปลิวไสว ท่านสวมชุดสีดำสนิท สวมมงกุฎทองรัดผม มีออร่าที่โดดเด่นมาก

สวี่จิ้งยางอดไม่ได้ที่จะชะลอฝีเท้า

นางรู้สึกว่าชายผู้นั้นดูคุ้นตา

เห็นใต้เท้าเการองเสนาบดีกรมคลังกำลังประสานมือทำความเคารพต่อชายชุดดำนั้น ด้วยรอยยิ้มประจบประแจง

ชายผู้นั้นเพียงยกมือขึ้น ห้ามคำทักทายที่กำลังจะหลุดออกจากปากของใต้เท้าเกา

“วันนี้ข้าไม่ใช่แขกหลัก ใต้เท้าชุยต่างหากที่เป็นแขกสำคัญ”

ท่าทีเย็นชา น้ำเสียงมั่นคงและเด็ดขาด

ในขณะที่สวี่จิ้งยางมองเห็นใบหน้าของเขาอย่างชัดเจน ฝีเท้าของนางก็หยุดนิ่งราวกับถูกแช่แข็ง

อีกฝ่ายก็มองมาที่นางเช่นกัน ในขณะนั้น ท่านหรี่ตาลงเล็กน้อย

หัวใจของสวี่จิ้งยางเต้นระรัว

คืออ๋องหนิง เซียวเฮ่อเย่!

เขากลับมาเมืองหลวงตั้งแต่เมื่อใด

ในการรบที่หงซานครั้งก่อน นางนำทัพล้อมกองทัพศัตรู แล้วไปสมทบกับเขา

ในครั้งนั้น นางเคยรับลูกธนูที่พุ่งตรงเข้าหัวใจแทนเขา เขาจึงเคยเห็นใบหน้าของนาง

แต่ในเวลานี้ อ๋องหนิงควรจะอยู่ที่ชายแดนเพื่อรับช่วงต่อจากกองทัพเทพยุทธ์ ไฉนจึงกลับมาเมืองหลวงก่อนกำหนด!

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel