บทที่ 2
“เอาละ ๆ มัวแต่คุยเล่นกันอยู่นี่ตาคินไปบริษัทช้าพอดี” เจ้าบ้านอย่างเขาต้องเปลี่ยนเรื่องคุย ไม่อย่างนั้นเขาคงโดนบ่นจนหูชาอย่างแน่นอน
“ไฟแรงแบบนี้คงพร้อมรับช่วงต่อจากพ่อตัวเองแล้วใช่ไหมล่ะเรา” คุณกัมปนาทหันมาพูดกับชายหนุ่ม ใบหน้าเขายิ้มเล็กน้อย
“ครับ” ภาคินพยักหน้ารับพร้อมกับรอยยิ้ม
“อย่างนั้นลุงก็สบายใจ บริษัทพวกเราจะได้เติบโตขึ้นเรื่อย ๆ เพราะได้ผู้บริหารคนใหม่ไฟแรงมาบริหารงาน” คุณกัมปนาทตบไหล่เบา ๆ เสมือนเป็นการให้กำลังใจจากเขา
ภาคินพยักหน้าอีกครั้ง เขาพอรู้สิ่งที่คุณพ่อของลลิตาต้องการสื่อว่ากำลังคาดหวังให้เขาบริหารบริษัทให้ดีขึ้นจากเดิม
“ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวก่อนนะครับ” ภาคินยกมือไหว้ลาผู้ใหญ่ทั้งสองโดยไม่ลืมส่งยิ้มให้ลลิตา ที่ยืนมองเขาด้วยแววตาละห้อย
“พี่ไปก่อนนะ เดี๋ยวเสร็จแล้วพี่จะโทรหานะครับ”
“ขับรถดี ๆ นะคะพี่คิน อ้ายฝากสวัสดีคุณลุงคุณป้าด้วยนะคะ”
เมื่อร่ำลากันเรียบร้อยแล้ว ทุกคนก็พากันเข้าไปรับประทานอาหารร่วมกันแบบพร้อมหน้าในรอบหลายปี บรรยากาศวันนี้จึงเต็มไปด้วยความอบอุ่น
หลังจากรับประทานอาหารเรียบร้อยแล้ว ทั้งสามคนก็แยกย้ายไปทำธุระของตัวเอง คุณกัมปนาทต้องไปอ่านรายงานบริษัทที่เลขาสรุปมาให้ ส่วนลลิตาก็มานั่งดูโทรทัศน์กับคุณหญิงโสภิตที่ห้องนั่งเล่น
“เดินทางมาเหนื่อย ๆ ไม่นอนพักหน่อยเหรอลูก”
“ไม่เอาค่ะ อ้ายอยากอยู่กับคุณแม่มากกว่า”
คุณหญิงโสภิตยิ้มให้กับคำพูดลูกสาวตัวเอง เรื่องขี้อ้อนนี้ไม่มีใครเทียมเท่าจริง ๆ
“แล้วได้คุยกับตาคินบ้างไหมว่าจะมาขอหมั้นลูกตอนไหน?”
“พี่คินขอให้ทุกอย่างเข้าที่เข้าทางก่อน เขาอยากพิสูจน์ตัวเองว่าสามารถดูแลอ้ายได้”
เธอกับภาคินเพิ่งคบกันได้ไม่กี่ปี จึงยังไม่อยากคิดเรื่องแต่งงาน เพราะทั้งเธอและเขายังมีอะไรให้ทำอีกหลายอย่าง หากตกลงใช้ชีวิตคู่ร่วมกันแล้ว ก็ต้องโฟกัสเรื่องครอบครัวเป็นหลัก ดังนั้นพวกเขาจึงขอใช้เวลาศึกษาดูใจกันก่อนเพราะยังไม่อยากมีความสัมพันธ์ผูกมัดในตอนนี้
เรื่องลลิตากับภาคินคบหาดูใจทั้งสองครอบครัวรับรู้มาโดยตลอด เธอไม่ใช่พวกปิดบังพ่อแม่ตัวเองอยู่แล้ว
โชคดีที่พ่อกับแม่เธอไม่ใช่คนหัวโบราณ ที่จะห้ามลูกให้อยู่ในกรอบหรือไข่ในหิน ขอแค่คนที่เข้ามานั้นรักและดูแลลูกสาวเพียงคนเดียวของพวกเขาได้ แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว
