บทที่ 4 ความอลหม่านในโรงเตี๊ยม(1)
"อ๊ะ! นี่ นี่ ท่านเดินระวังหน่อยไม่ได้หรือไร ชนแล้ว ๆ" ฟู่ซูหนิงยกมือคลึงขมับ
วันนี้นางจะเดินทางไปถึงตัวเมืองหรือไม่ ไฉนเขาเอาแต่เดินเปะปะชนโน่นชนนี่อยู่เรื่อย หรือดวงตาของเขายามนี้กลายเป็นบอดสนิทไปแล้วกันเล่า
"ขออภัยท่านหมอ ข้ามองไม่เห็นจริง ๆ"
"ท่านหยุด ไม่ต้องเดินต่อแล้ว เดินส่งเดชเช่นนี้สามวันก็ไม่ถึงหรอกเจ้าค่ะ"
ฉืออิ้งเทียนหยุดฝีเท้าลงทันควัน ริมฝีปากได้รูปยกโค้งจาง ๆ แผนล่อหลอกเพื่อประวิงเวลาสัมฤทธิผลเสียที
ฟู่ซูหนิงยกมือแกร่งคล้องลำคอด้วยความจำใจ นอกจากกลิ่นกายหอมกรุ่นดุจบุปผาต้องหยาดฝนของสตรีข้างกาย เส้นทางนี้ยังผสานด้วยกลิ่นอายหอมจรุงจากพืชพรรณโอสถ เพราะยามรบล้วนต้องผ่านการวางแผนและการฝึกฝนมามากจึงทำให้เขาสามารถแยกแยะรูป รส กลิ่น เสียงได้เป็นอย่างดี
ดอกไห่ถัง หอมยิ่งนัก เครื่องหอมของนางก็คงมาจากบุปผาชนิดนี้
"คุณชายอิ้งเทียน ดวงตาท่านมองไม่ชัด แต่ขาของท่านยังสามารถใช้งานได้อยู่กระมัง"
ฉืออิ้งเทียนพยักหน้า
"เช่นนั้นข้าจะพยุงท่านแล้วเดินไปพร้อมกันนะเจ้าคะ"
"ได้สิ ขอโทษท่านหมอด้วยที่ทำให้ลำบาก"
ชิ! ลำบาก ลำบากมากเลยล่ะ ท่านนี่มันดวงแข็งจริง ๆ หรือข้าควรโยนท่านลงหน้าผาให้สิ้นเรื่องสิ้นราวกันนะ
"เอาล่ะ ท่านไม่ต้องเอ่ยมากความแล้วเจ้าค่ะ ท่านขอบคุณข้ามาร้อยล้านครั้งแล้ว"
"ถึงท่านหมอจะบอกว่าช่วยข้าเพราะจรรยาบรรณและมโนธรรมของแพทย์ แต่ข้าก็อยากขอบคุณ"
"ข้ารับรู้แล้วเจ้าค่ะ ไม่ต้องเกรงใจแล้ว หากอยากตอบแทนข้าจริง เช่นนั้นท่านช่วยลืมเรื่องที่ข้าช่วยท่านได้หรือไม่เจ้าคะ"
ฉืออิ้งเทียนเงียบไปชั่วอึดใจ แล้วจึงเอ่ยขึ้น "ได้ ข้ายินดีทำตามความประสงค์ของท่านหมอ"
ครั้นได้ยินวาจาที่อีกฝ่ายรับปากตน ฟู่ซูหนิงกลับรู้สึกวิวโหวงในอกอย่างน่าฉงน แต่ก็ช่างเถิด นางมิใคร่ใส่ใจแล้ว เร่งปล่อยวาง เร่งมีชีวิตใหม่อันสดใสเสียยังดีกว่าจมปลักกับคนเช่นเขา
"ขอบพระคุณมากเจ้าค่ะ"
รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ประดับบนมุมปากของชายหนุ่มขณะที่ฟู่ซูหนิงมิทันสังเกต ส่วนมืออีกด้านซึ่งยังว่างอยู่ถูกย้ายไปเบื้องหลังเสียตั้งนานแล้ว เมื่อครู่เขารับคำฟู่ซูหนิงเป็นมั่นเป็นเหมาะ ทว่าปลายนิ้วชี้และนิ้วกลางกลับไขว้กันไว้อย่างเหนียวแน่น
ระหว่างทางหาได้มีบทสนทนาใดอีก ฉืออิ้งเทียนพยายามเขม้นสายตาและตั้งสติรับรู้กลิ่นเสียงไปตลอดทางก็เท่านั้น เดิมทีหากฟู่ซูหนิงประสงค์เข้าตัวเมืองก็มักเดินเท้าเช่นนี้เสมอ ฟู่ซูหนิงมีทางลัดเลาะให้ลงไปถึงด้านล่างโดยเร็วเวลาเพียงครึ่งชั่วยามหรือเร็วกว่านั้นก็ถึงที่หมาย เพียงแต่ยามนี้มีฉืออิ้งเทียนร่วมเดินทาง อันเป็นเหตุให้การใช้เส้นทางลัดหนนี้ดูล่าช้ากว่าปกติมากโข
กว่าหนึ่งชั่วยามก็มาถึงที่นัดหมาย เนื่องจากฟู่ซูหนิงรู้จักมักจี่กับเถ้าแก่โรงเตี๊ยมรวมถึงเสี่ยวเอ้อร์ของที่นี่เป็นอย่างดี เพราะฟู่ซูหนิงมักลอบแต่งกายเป็นบุรุษเช่นนี้แอบหนีลงจากเขามาเที่ยวเล่นบ่อยครั้ง พวกเขาจึงคุ้นชินกับฟู่ซูหนิงในอาภรณ์บุรุษ เมื่ออยู่ต่อหน้าคนหมู่มาก ก็จะเรียกนางว่าท่านหมอเสมอ
"ท่านหมอ มาแล้วหรือขอรับ"
ฟู่ซูหนิงพยักหน้าตอบ ขนาบกายก็ประคองคนตัวสูงเอาไว้ นางค่อย ๆ ประคองฉืออิ้งเทียนเพื่อส่งเขาไปนั่งบริเวณโต๊ะไม้มุมติดหน้าต่าง แล้วจึงหย่อนกายของตนลงบนเก้าอี้ด้านขวามือเขา ฟู่ซูหนิงกวักมือเรียกเสี่ยวเอ้อร์หย็อย ๆ
เสี่ยวเอ้อร์เอียงหูต่ำลงมาอย่างรู้งาน ฟู่ซูหนิงเหลือบมองบุรุษข้างกายด้วยความระแวดระวัง เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายสงบนิ่งมิได้ใส่ใจสิ่งใด นางจึงเอ่ยกระซิบเสียงเบา "อาเป่า อีกเดี๋ยวจะมีบุรุษสองคนมารับเขา หากเขาถามว่าข้าคือใคร เจ้าก็บอกเพียงว่าข้าเป็นหมอนิรนาม ไม่ทราบชื่อแซ่ เข้าใจหรือไม่"
อาเป่าพยักหน้าหงึกหงัก จากนั้นกระซิบตอบ "ว่าแต่ลูกพี่ไม่อยู่ส่งเขาจนกว่าญาติจะมารับหรือ ดูเหมือนเขาเอ่อ...เขาตาบอดใช่หรือไม่"
อาเป่าเหลือบมองบุรุษหน้าวสันต์ซึ่งนัยน์ตาของเขาดูเลื่อนลอยไร้ทิศทางอย่างนึกเวทนา รูปร่างหน้าตานับว่าหล่อเหลาราวเทพเซียน เหตุใดจึงอาภัพกลับกลายเป็นคนพิกลพิการ แล้วเช่นนี้จะมีสตรีบ้านใดส่งลูกสาวไปตบแต่งกับเขากัน
"ตอนนี้เขามองไม่เห็นจริง ๆ นั่นล่ะ อีกอย่างยังขี้โรคอ่อนแอ เช่นนั้นข้าฝากเจ้าไว้แล้วกัน เอานี่!..." ฟู่ซูหนิงยัดก้อนตำลึงเงินให้กับอาเป่า
อาเป่ามองก้อนตำลึงเงินครู่หนึ่ง จากนั้นกระซิบต่อ "ลูกพี่ ท่านคิดจะทิ้งเขาไว้แบบนี้จริงหรือ แล้วเงินนี่..."
"เงินนี่ไว้ให้เจ้าเป็นทิป"
อาเป่ายกมือเกาศีรษะ "ทิปคืออันใดหรือ"
"เอาน่า ไม่ต้องมากความ เก็บไว้ดี ๆ เล่า วันหลังข้าจะมาใหม่ ถึงยามนั้นอย่าลืมลางานไปเที่ยวด้วยกัน" ฟู่ซูหนิงยืดกายยืนขึ้น นางจัดแจงอาภรณ์บนกายเรียบร้อยก็หวังผละจาก
อีกไม่กี่ก้าวก็จะหลุดพ้นแล้ว
"ท่านหมอ ท่านไม่รอคนของข้ามาก่อนหรือ แล้ววิธีรักษาที่เคยบอกข้า..."
ฟู่ซูหนิงยกฝ่ามือตบหน้าผากของตนดังแปะ "อ่า...ขออภัยคุณชาย ข้าลืมเสียสนิท"
ฟู่ซูหนิงหมุนกายไปฝั่งฉืออิ้งเทียน จากนั้นคว้าข้อมือของเขาขึ้นมา นางยัดกระดาษแผ่นบางให้กับเขา แล้วจึงหยิบผ้าขาวบางขึ้นคาดดวงตาชายหนุ่ม ฉืออิ้งเทียนผงะเล็กน้อย แต่ก็ยินยอมให้นางผูกปิดดวงตาด้วยความเต็มใจ ยิ่งนางทำเช่นนี้ก็ยิ่งแนบชิดจนรู้สึกหายใจติดขัด
ฟู่ซูหนิงเอ่ยทั้งที่ยังสาละวนผูกผ้าคาดดวงตาให้เขา "ปิดไว้เช่นนี้ดีกว่าเจ้าค่ะ หากโดนแสงเจิดจ้ามากไปอาจส่งผลให้หายช้าขึ้น สิ่งที่ข้าให้ท่านเมื่อครู่คือเทียบยา รวมถึงวิธีดูแลรักษาดวงตาของท่าน ไม่เกินเดือนครึ่ง ข้ารับรองว่าท่านจะกลับมามองเห็นอีกครั้ง เช่นนั้นข้าไปแล้ว ไม่สะดวกพบแขก ข้าจะให้อาเป่าดูแลท่านเพื่อรอคนของท่าน คุณชายรักษาตัวด้วยเจ้าค่ะ"
"เดี๋ยว!"
"อะไรของท่านอีกหรือ"
ดูเหมือนเขาจงใจถ่วงเวลาอย่างเห็นได้ชัด
"ขอถามท่านหมอเรื่องหนึ่งได้หรือไม่"
"นอกจากชื่อแซ่ และที่ตั้งของข้า ท่านอยากทราบสิ่งใดก็ถามมาเถิด หากข้าตอบได้ก็จะตอบ"
"เทียบยานี่ ผู้ใดเป็นคนเขียนหรือ"
ฟู่ซูหนิงเลิกคิ้วด้วยความฉงน หากนางไม่เขียนแล้วผู้ใดจะเขียน สมองของเขาต้องเพี้ยนไปด้วยเป็นแน่ "ถามอันใดของท่าน หากไม่ใช่ข้า ท่านจะให้อาเป่าเขียนหรือไร"
ฉืออิ้งเทียนยิ้มบาง "อย่างนี้เอง เช่นนั้นข้าไม่รบกวนแล้วท่านหมอเดินทางปลอดภัยนะขอรับ"
ฟู่ซูหนิงทำแก้มโป่งพอง พลางระบายลมหายใจออกจากปาก เพียงสามารถก้าวเท้าออกจากโรงเตี๊ยมในตอนนี้ นางก็จะหลุดพ้นจากชะตาน่าบัดซบเสียที แม้ในใจคล้ายดั่งมีมดไต่ยุบยับ ทว่าฟู่ซูหนิงไม่อยากแก่งแย่งชิงดีกับสตรีวังหลังอีกแล้ว
"คุณชายก็รักษาตัวด้วย ลาก่อนเจ้าค่ะ"
ฟู่ซูหนิงถอยห่างจากเขาทีละก้าว ไฉนอกซ้ายจึงกระเพื่อมไหวประหนึ่งจะกระดอนออกมาโลดแล่น จากนั้นจึงตัดสินใจสับเท้าอย่างเร่งร้อนออกจากโรงเตี๊ยม ทว่ายังไม่ทันออกนอกธรณีทางเข้า ร่างระหงก็ชนเข้ากับแผงอกกำยำของใครบางคน กระทั่งซวนเซล้มลงก้นจ้ำเบ้า
"โอ๊ย!"
นี่มันวันวินาศสันตะโรใดกันเนี่ย น่ารำคาญชะมัดยาด
