บทที่ 1 จิตวิญญาณตื่นในคืนฝนพรำ (2)
ฟู่ซูหนิงหยัดกายยืนขึ้นด้วยความทุลักทุเล ตะกร้าสานซึ่งเต็มไปด้วยพืชสมุนไพรถูกยกขึ้นสะพายบนบ่า ร่างระหงเดินตุปัดตุเป๋ออกจากถ้ำด้วยจิตใจอันล่องลอย สมองของนางเฝ้าตบตีกันซ้ำไปซ้ำมา
ข้าจะทิ้งให้เขาตายตรงนี้จริงน่ะหรือ
แต่หากข้าช่วยเขาทุกอย่างก็ต้องวนกลับมาซ้ำรอยเดิม ใครจะอยากถูกตัดศีรษะซ้ำแล้วซ้ำอีก ไม่รู้หรือว่ามันเจ็บเพียงใด
ฟู่ซูหนิงจึงไม่คิดสนใจบุรุษตรงหน้าอีก ทว่าจิตใจของนางช่างรู้สึกเจ็บปวดเหลือเกิน ยามนี้เขาก็เป็นเพียงชายหนุ่มวัยแรกรุ่นผู้หนึ่ง นางจะใจจืดใจดำทิ้งเขาได้ลงคอเชียวหรือ
แต่แล้วฟู่ซูหนิงก็ตัดสินใจทิ้งเขาไว้เบื้องหลังในที่สุด ขาเรียวค่อย ๆ เยื้องย่างห่างออกไปกระทั่งหอบสังขารกลับมาถึงจวนไม้ไผ่กลางหุบเขา ร่างระหงก็ฟุบลงด้วยความเหนื่อยล้า
"หนิงเอ๋อร์!"
หญิงชรารุดประคองเรือนร่างอันโรยแรงของหลานสาวด้วยอาการตื่นตระหนก
ริมฝีปากซีดขาวเผยรอยยิ้มเบาบาง "ท่านยาย หนิงเอ๋อร์กลับมาแล้วเจ้าค่ะ"
จู่ ๆ น้ำสีใสก็ไหลพรากลงตรงหางตา นานเหลือเกินที่ฟู่ซูหนิงจากหุบเขาร้อยโอสถไป นางคิดว่าชาตินี้คงมิได้กลับมาทดแทนคุณของท่านตาท่านยายเสียแล้ว ช่างคิดถึง คิดถึงชีวิตอันแสนเรียบง่ายเช่นนี้เหลือเกิน
ท่านตา ท่านยาย ข้ากลับมาแล้ว กลับมาแล้วจริง ๆ ...
จู่ ๆ สติของฟู่ซูหนิงก็มืดดับลง ทุกสิ่งพลิกผันสู่ห้วงอนธการในชั่วพริบตา
"หนิงเอ๋อร์ หนิงเอ๋อร์ เป็นอะไรไปลูก"
หญิงชราพยายามร้องเรียกฟู่ซูหนิง ชายชราเร่งถลันเข้ามาจับชีพจรก็ถอนหายใจโล่งอก "หนิงเอ๋อร์อ่อนเพลียเท่านั้น เดี๋ยวพาหลานไปพักและผลัดผ้า ต้มยาให้นาง พรุ่งนี้ก็น่าจะดีขึ้นแล้ว"
แพขนตาหนาค่อย ๆ ขยับไหว เมื่ออรุณรุ่งมาเยือน เพราะเมื่อคืนได้รับการดูแลอย่างดีจากหมอเทวดาทั้งสองจึงทำให้ยามนี้ร่างกายไม่รู้สึกเจ็บไข้เพียงนั้นแล้ว ฟู่ซูหนิงเหลียวมองบรรยากาศสดใสของม่านเมฆาซึ่งยังทิ้งกลิ่นอายของหยาดพิรุณเอาไว้
ฟ้าหลังฝนงดงามเช่นนี้นี่เอง
ริมฝีปากซีดจางเริ่มมีเลือดฝาด กลิ่นหอมจรุงของมวลบุปผาส่งผลให้ผ่อนคลายและสดชื่นยิ่งนัก มุมปากบางขยับยกเล็กน้อย กระนั้นจิตใจกลับรู้สึกไม่สุขสงบเอาเสียเลย
เขาจะเป็นยังไงบ้างนะ หรือว่าอาจถูกสัตว์ป่าฉีกร่างตายไปเสียแล้ว
ฟู่ซูหนิงระบายลมหายใจอ่อน เพราะนางขี้ขลาดจนต้องทิ้งชายอันเป็นที่รักของตน แต่ ณ ห้วงเวลานี้เขายังไม่นับว่าเป็นคนรักของนางเสียหน่อย
"หนิงเอ๋อร์ ตื่นแล้วหรือลูก ขอยายดูหน่อยว่าไข้ลดหรือยัง"
ท่านยายหรือฟู่หรงหมอหญิงแห่งหุบเขาร้อยโอสถหย่อนกายลงนั่งขนาบข้างฟู่ซูหนิง ครั้นเมื่อเห็นผู้เป็นยายห่วงใยตนเหลือคณา ฟู่ซูหนิงก็น้ำตาร่วงเผาะ แขนเรียวอ้าโอบรัดรึงร่างผอมกะหร่องของหญิงชราเอาไว้ด้วยใจคะนึงหา
"ฮื่อ...ท่านยาย หนิงเอ๋อร์คิดถึงท่านเหลือเกินเจ้าค่ะ"
"หนิงเอ๋อร์ เจ้าเป็นอะไร แค่ไปเก็บสมุนไพรไม่กี่ชั่วยามก็ร้องกระจองอแงคิดถึงยายเสียแล้ว" มือเหี่ยวย่นยกขึ้นลูบไล้เรือนผมดำขลับของหลานรักด้วยความทะนุถนอม
ฟู่ซูหนิงสูดน้ำสีใสเข้าโพรงจมูก พลางสะอึกสะอื้น ก่อนผละกายออกห่าง "ก็ข้าคิดถึงท่าน จะห่างกี่ชั่วยามข้าก็คิดถึง"
ฟู่หรงแย้มยิ้มพลางส่ายศีรษะอย่างนึกเอ็นดู "เด็กดี เจ้าจะเอาแต่ทำตัวติดตากับยายเช่นนี้ได้อย่างไร วันหนึ่งเจ้าก็ต้องออกเรือนมีสามี"
ฟู่ซูหนิงส่ายศีรษะเสียจนเส้นผมแตกกระเจิง พลันซบลงบนอกฟู่หรงอีกครั้ง "ไม่เจ้าค่ะ ชาตินี้ข้าจะไม่แต่งงาน ข้าจะอยู่ดูแลพวกท่านทั้งสองไม่จากไปไหน"
ฟู่ซูหนิงทราบดีว่าการแต่งงานของนางต้องเผชิญกับเส้นทางใดบ้าง บางทีหากอยากเลี่ยงชะตาแสนอาภัพ นางควรออกห่างจากบุรุษผู้นั้น
ฟู่หรงเห็นหลานสาวหน้านิ่วคิ้วขมวดก็ทอดถอนใจ "เอาล่ะ เรื่องนี้ยังไม่ต้องเร่งร้อน ไหนขอยายดูอาการเจ้าเสียหน่อย"
มือเหี่ยวย่นเอื้อมขึ้นวัดอุณหภูมิบริเวณหน้าผากนูนเด่น จากนั้นลดลงเพื่อตรวจวัดชีพจรบนข้อมือขาว ฟู่หรงพยักหน้าเล็กน้อย "อาการดีขึ้นมากแล้ว เช่นนั้นกินโจ๊กนี่เสียหน่อย มื้อต่อไปค่อยกินอาหารปกติ"
ฟู่ซูหนิงแย้มยิ้มทั้งน้ำตา "เจ้าค่ะท่านยาย"
ฟู่หรงเห็นใบหน้าเกลี้ยงเกลาเปื้อนเขรอะด้วยคราบน้ำตา ก็ช่วยเช็ดทำความสะอาดให้หลานรักด้วยความทะนุถนอม ฟู่ซูหนิงมองตามอีกฝ่ายด้วยสีหน้าตื้นตัน
คงมีเพียงท่านทั้งสอง ที่หวังดีและรักข้ามากที่สุดในดินแดนแห่งนี้ ท่านยาย ท่านตา
"ฮูหยินหากดูหลานเสร็จแล้วก็ช่วยเข้าไปดูพ่อหนุ่มนั่นหน่อย ไม่รู้ป่านนี้ได้สติหรือยัง" เสียงทุ้มดังจากด้านนอก
"ได้เจ้าค่ะ เดี๋ยวข้าจะเร่งไปดูให้"
มือที่กำลังยกโจ๊กทั้งชามเพื่อซดด้วยสีหน้าแช่มชื่นพลันชะงักลง คิ้วงามดุจกระบี่เลิกขึ้นหนึ่งฝั่ง "ท่านยายเจ้าคะ มีคนไข้งั้นหรือ"
"ใช่แล้ว ท่านตาของเจ้าพบเขานอนไร้สติที่ท้ายหุบเขา ใกล้บริเวณที่เจ้าไปเก็บโอสถ จึงช่วยเอาไว้ ว่าแต่ยามนั้นเจ้าไม่เห็นเขาหรือ"
ฟู่ซูหนิงตัวแข็งทื่อดั่งถูกตรึงร่าง สีหน้าแตกตื่นของนางเป็นเหตุให้ฟู่หรงนั้นรู้สึกหวาดเกรงไปด้วย
เพล้ง!!
"ตายแล้ว หนิงเอ๋อร์เป็นอะไรไปลูก"
ถ้วยกระเบื้องเคลือบหลุดมือกะทันหัน ฟู่ซูหนิงเอ่ยละล่ำละลัก "ทะ...ท่านยายเจ้าคะ ท่านอย่าบอกว่าท่านตาช่วยบุรุษผู้นั้นเอาไว้"
"หนิงเอ๋อร์ นี่เจ้าเห็นเขาแต่แรก แล้วไม่ได้ช่วยหรือ"
ฟู่ซูหนิงกลืนน้ำลายหนืดเหนียวลงคอ ใบหน้าของนางซีดขาวราวเกิดป่วยไข้อีกหน
ฟู่หรงเห็นท่าทีลำบากใจของหลานสาวจึงมิได้คะยั้นคะยอต่อ "...ช่างเถิดดูเหมือนเมื่อคืนเจ้าป่วยจึงไม่อาจช่วยเขาได้ใช่หรือไม่"
ฟู่ซูหนิงหูอื้ออึงไปหมด นางรู้สึกว่าจวนกำลังกลับด้านขึ้นลง ร่างระหงดีดกายผึง จากนั้นถลาออกจากห้องด้วยความรีบรน
"หนิงเอ๋อร์ นี่เจ้าจะไปที่ใด ยังไม่หายดีเดี๋ยวก็ล้มเอาหรอก"
ฟู่ซูหนิงหูดับไปตั้งนานแล้ว เท้าเปลือยเปล่าระเห็จมาหยุดยืนหน้าม่านกั้นเตียงสำหรับผู้ป่วย มือเรียวยกขึ้นด้วยอาการสั่นเทา
พรึบ!!
ม่านตากลมโตขยายกว้าง ฟู่ซูหนิงตื่นตระหนกจนหน้าถอดสี ความรู้สึกหนาวเหน็บถึงกระดูกก่อตัวขึ้นอีกครั้ง
"นะ...นี่เขาจริงน่ะหรือ ท่าน! ไยจึงดวงแข็งนัก ฉืออิ้งเทียน!"
เชิงอรรถ
^
หนึ่งชั่วยาม = สองชั่วโมง
