บทที่ 2 เปลวไฟสีเพลิง
“หนังจะฉายประมาณ สองชั่วโมงนะคะเจ้านาย หลังจากนั้นดิฉันจะให้คนขับรถ มารอรับที่หน้ากาสิโนเพื่อส่งนายไปสนามบิน ทุกอย่างดิฉันจัดเตรียมให้นายหมดเรียบร้อยแล้วค่ะ” สาวสวยอกเต็มแต่งตัวตามแบบที่กาสิโนกำหนด ซึ่งไม่ได้มิดชิดอะไรมากนัก กำลังแจ้งรายละเอียดให้นายใหญ่ของเธอฟัง ด้วยท่าทางคล่องแคล่วเช่นเดิม
“ขอบใจ” หญิงสาวค้อมตัวลงแล้วเดินจากไป ปล่อยให้เธียรวิชญ์นั่งสำราญอยู่กับจอภาพยนตร์ขนาดใหญ่ เขามักใช้เวลาอยู่ในห้องนี้เสมอเพื่อใช้ความคิด
เปลวไฟสีแดงเพลิง กำลังลุกโหมเผาไหม้บ้านหลังใหญ่ ของครอบครัวภักดีขจร กลุ่มเพลิงลุกลามโชติช่วงสว่างไสว หากแต่มิมีใครสามารถดับไฟได้ เสียงของชาวบ้านที่อยู่ในละแวกนั้นพากันหวีดร้องด้วยความกลัว เด็กชายตัวเล็กติดอยู่ในห้องโถงด้านล่าง ที่โอบล้อมไปด้วยเปลวเพลิงอันร้อนฉ่า และกลุ่มควันคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ สายตาของเขากำลังหวาดกลัวทุกสิ่ง ก่อนจะเห็นบิดาวิ่งฝ่ากองเพลิงเข้ามาอุ้มเขาขึ้นพาดบ่า
“เธียรลูกพ่อ ไม่ต้องกลัวนะลูก” ผู้เป็นบิดากล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือพร้อมหมุนตัวเพื่อหาทางออก ก่อนภรรยาของเขาจะวิ่งฝ่ากองเพลิงตามมาอีกคน
“ญาดาคุณจะเข้ามาทำไม”
“ฉันเป็นห่วงคุณกับลูก” มารดาของเขากล่าวทั้งน้ำตา เพียงชั่วอึดใจ ตึกด้านหน้าก็ถล่มลงมา ทำให้ทางออกถูกปิดกั้น ในสถานการณ์เช่นนั้นเธียรวิชญ์ได้แต่กอดบิดาแน่นพร้อมกับหลับตาซบลงบนบ่า ก่อนจะรู้สึกหายใจไม่ออก พร้อมได้ยินเสียงของมารดาร้องไห้ปานขาดใจ
“คุณอยู่ในห้องน้ำนี้กับลูกก่อนนะ ผมจะไปดูด้านหลังว่ามีทางออกอีกไหม” เขายื่นเด็กชายตัวเล็กให้กับมารดา
“ไม่ค่ะ พวกเราต้องไปด้วยกัน” ญาดาอุ้มเธียรวิชญ์ไว้ในอ้อมกอดพลางจับแขนสามีแน่น น้ำตาไหลอาบสองแก้ม ในขณะที่เพลิงกำลังลุกลามใกล้เข้ามา
“ไม่ได้ ในห้องน้ำปลอดภัยที่สุดในตอนนี้” เขาผลักญาดาและเธียรวิชญ์ลงอ่างอาบน้ำ พลางถอดเสื้อคลุมชุบน้ำมาหอบหุ้มทั้งสองไว้ ก่อนตัดสินใจวิ่งออกไป ไม่นานนักเสียงตึกด้านหลังก็ถล่มลงมา ญาดาหลับตาลงพร้อมกรีดร้องออกมาเหมือนคนเสียสติ ก่อนจะปล่อยเธียรวิชญ์ไว้ในอ่างน้ำตามลำพัง
“ลูกแม่ อยู่ในนี้นะครับ อย่าออกไปอย่างเด็ดขาด” เสียงสะอื้นไห้บอกลูกชาย
“ไม่ครับ เธียรไม่อยากอยู่คนเดียว” เด็กชายตัวเล็กจับแขนมารดาไว้แน่น ก่อนที่เธอจะก้มลงจูบมือของเขา
“รอแม่อยู่นี่นะครับ แล้วแม่จะกลับมารับ” ญาดาพูดจบ จึงตัดสินใจวิ่งออกไปตามหาสามีในทันที
“แม่ครับ!” ชายหนุ่มสะดุ้งลืมตาตื่นขึ้น พร้อมกับดวงตาเบิกกว้าง ความรู้สึกดิ่งลึกไปในรอยแผลของอดีต มักเผยออกมาในความฝันของเขาเสมอ พร้อมลมหายใจหอบ ก่อนชายหนุ่มจะลุกขึ้นนั่งเพื่อตั้งสติพลางหันมองไปรอบ ๆ แล้วพบว่าตนเผลอหลับไป ในขณะที่หนังยังคงฉายอยู่ พลางเอื้อมมือมาหยิบน้ำขึ้นดื่มหลายอึก
ก่อนสายตาคมแฝงความพยาบาทไว้ในส่วนลึก พลางเอนกายพิงเก้าอี้ตัวใหญ่ แล้วทอดสายตามองภาพยนตร์ด้านหน้า เธียรวิชญ์ จมอยู่กับฝันร้ายแบบนี้มานานหลายปี มิอาจลบความจำฝังใจที่เลวร้ายในเหตุการณ์ครั้งนั้นได้ ก่อนพนักงานสาวจะเดินเข้ามา เมื่อเห็นว่าได้เวลาแล้วที่นายใหญ่ต้องเดินทางไปสนามบินเพื่อกลับเมืองไทย
“อันนา เสร็จหรือยัง” แพทตี้สาวสวยผมยาว ที่มักแฝงตัวอยู่ในกลุ่มลูกหลานคนมีเงิน และค่อนข้างกว้างขวางพอตัว เป็นเพื่อนสนิทคนเดียวของอันนา เธอเปิดประตูเข้ามาเมื่อเห็นว่าอันนาแต่งตัวนานผิดปกติ ก่อนจะเบิกตากว้าง เมื่อสายตาทอดไปมองชุดอันแสนธรรมดาของเพื่อนรัก
“อันนา เราไปงานปาร์ตี้วันเกิดเพื่อนนะจ๊ะ ไม่ได้ทำบุญที่วัด ทำไมเธอแต่งตัวแบบนี้” แพทตี้เดินเข้ามา จับตัวอันนาหมุนไปมาอย่างไม่สบอารมณ์
“แล้วฉันต้องแต่งตัวแบบไหน” อีกฝ่ายไม่สันทัดเรื่องงานปาร์ตี้เท่าไหร่นัก กล่าวถามด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ จริงอยู่ที่ว่าทั้งสองเป็นเพื่อนสนิทกัน หากแต่อันนาไม่ใช่สายเที่ยวอย่างแพทตี้ จึงไม่ค่อยเชี่ยวชาญด้านการแต่งตัวเท่าไหร่นัก แพทตี้ถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วจับอันนาแต่งตัวใหม่ให้ดูไฉไลกว่าเดิม
“เสร็จแล้วจ้ะ ฉันคิดไว้แล้วว่าตู้เสื้อผ้าของเธอคงไม่มีชุดอะไรแบบนี้ ก็เลยเตรียมมาให้” อันนายืนมองตัวเองผ่านกระจกใส พร้อมกับพยายามดึงกระโปรงสั้น ๆ ให้ยาวขึ้น ก่อนจะจับเสื้อดึงลงมาเล็กน้อยด้วยความไม่มั่นใจ
“มันไม่ล่อแหลมไปหน่อยเหรอแพทตี้”
“นี่ถือว่าน้อยมาก ๆ เลยจ้ะ เพื่อนรัก”
“แต่...”
“แต่...แต่ อยู่นั่นแหละ เราเลยเวลามามากแล้ว ไปเถอะ” ว่าแล้วแพทตี้ก็ดึงร่างของอันนาออกจากห้องนอนส่วนตัว รีบเร่งเดินลงไปยังด้านล่าง ก่อนจะเจอกับแม่บ้านสามสี่คน ยืนตะลึงงันมองดูคุณหนูของตัวเองแต่งตัววับ ๆ แวม ๆ อย่างไม่เคยเห็นมาก่อน
