บทที่ 2 เดินทางไกล
จากนั้นทุกคนก็กินอาหารและคุยกันไปถึงอนาคตสองสองสาวอย่างมีความสุขและอวยพรให้ทั้งสองประสบความสำเร็จดั่งที่ตั้งใจจนกระทั่งเวลาผ่านไปเดือนกว่าที่เก็จลดาทำเรื่องขอลาออกจากธนาคารเพื่อไปเรียนต่อก็ได้รับการอนุมัติจากผู้จัดการสาขาที่เสียดายลูกน้องคนเก่งและขยันแต่เพื่ออนาคตของเด็กเธอก็สนับสนุนและเก็จลดาได้จัดเตรียมเอกสารทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยโดยเลขาของชวลิตช่วยจัดการให้ทุกอย่างรวมถึงเรื่องเรียนภาษาที่ฝรั่งเศสและเตรียมตัวเดินทางอีกสองวันเก็จลดาจึงนัดเพื่อนๆมากินข้าวในเย็นนี้เพื่อบอกกล่าวว่าเธอจะไปเรียนต่อ
“ฮ้ะ,แกจะไปฝรั่งเศส” พิมพ์ทองร้องออกมาอย่างตกใจเมื่อรู้ว่าอีกสองวันเพื่อนจะไปฝรั่งเศส พิมพ์ทอง แสนสุข ดาราสาววัยรุ่นที่เข้าวงการด้วยการประกวดเวทีซุปเปอร์โมเดลแต่ตกรอบและไปเขาตานักปั้นมือทองอย่างพี่แอลลี่หรืออเนก แม้ไม่ได้เป็นนางเอกโด่งดังคับประเทศแต่ก็มีชื่อเสียงเพราะฝีมือการแสดงเป็นนางรองและตอนนี้กำลังถูกเสนอชื่อให้เป็นนางเอกละครเรื่องใหม่ที่ผู้จัดกำลังแคสติ้งกันอยู่ บ้านอยู่ห่างจากบ้านของเก็จลดาแค่ห้ากิโลเป็นเพื่อเรียนด้วยกันมาตั้งแต่ประถมยันมหาวิทยาลัย
“ใช่แก พอดีแก้มมัวแต่ยุ่งจัดการเรื่องลาออกและเอกสารไปเรียนก็เลยไม่บอกพวกแกช้าไปหน่อยขอโทษนะพวกแก” หญิงสาวก็รู้สึกผิดเหมือนกันที่บอกเพื่อนช้าไปหน่อยถึงพวกเธอแยกย้ายทำงานอยู่กันคนละที่ตั้งแต่เรียนจบแต่ก็นัดเจอกันทุกครั้งที่เธอเข้ากรุงเทพเพราะมีเธอคนเดียวที่กลับไปทำงานที่บ้านและอยู่ไม่ไกลกรุงเทพ
“ทำไมไม่ไปถึงฝรั่งเศสก่อนแล้วค่อยโทรมาบอกพวกฉันยะนังแก้ม” พัชรพลว่าเพื่อนที่บอกจะไปเรียนต่อฝรั่งเศสก่อนเดินทางสองวัน พัชรพล สุภาพิมาน หนุ่มตี๋รูปหล่อร่างเป็นชายแต่ใจเป็นหญิงหรือเรียกกันว่าเกย์ควีนทำงานฝ่ายบัญชีบริษัทใหญ่แห่งหนึ่งทั้งที่บ้านทำธุรกิจรับเหมาก่อสร้างกลับไม่ทำปล่อยให้พี่ชายทำคนเดียว
“ทำไมแกตัดสินใจปุ๊บปั๊บวะแก้ม” สาธินีถามเพื่อนเพราะเก็จลดาไม่ได้พูดถึงเรื่องเรียนต่อเลยแล้วจู่ๆไปเรียนต่อมันต้องมีอะไรสักอย่างที่ทำให้เพื่อนเร่งรีบไปเรียนต่อ สาธินี วนารีรัตน์ สาวห้าวแต่ไม่ใช่ทอมเพราะมีพี่ชายสองคนและเป็นน้องสาวคนเล็กจึงออกห้าวๆอยู่นครชัยศรีมารู้จักกันตอนเรียนมัธยมปีที่หนึ่งที่กรุงเทพจนกระทั่งจบมหาลัย
“นั่นสิแก้ม แกไม่เคยเห็นบอกเลยว่าจะไปเรียนต่อเมืองนอกมีอะไรหรือเปล่า” ม่านฟ้าก็คิดเหมือนสาธินีว่าเพื่อนต้องมีอะไรสักอย่างถึงได้ตันสินใจเร็วแบบนี้ ม่านฟ้า สกุลวดี เด็กกรุงเทพโดยกำเนิดทำงานธนาคารส่วนพ่อแม่เป็นอาจารย์สอนในมหาวิทยาลัยเอกชนชื่อดัง
“ก็มีเรื่องนิดหน่อยน่ะแก” เก็จลดาตอบเพื่อนเธอไม่อยากให้ใครรู้มากแต่เธอไว้ใจเพื่อนทั้งสี่ที่สนิทกันไม่มีทางเอาไปพูดต่อแน่แต่ว่าเป็นเรื่องของพี่สาวเธอจะบอกเพื่อนเท่าที่จะบอกได้
“เล่ามาเลยนังแก้ม” พัชรพลบอกเพื่อนแล้วยกมือท้าวคางตั้งหน้าตั้งตาฟัง
“พี่พราวมีปัญหาน่ะ แก้มขอโทษนะที่เล่าให้พวกแกฟังไม่ได้เดี๋ยววันหนึ่งพวกแกจะรู้เอง” เก็จลดาไม่อยากเอาเรื่องของพี่สาวมาเล่าให้เพื่อนฟัง
“มิน่าล่ะแกถึงยอมไปเรียนต่อ” ม่านฟ้าเข้าใจเพื่อนเพราะเก็จลดากับพราวพลอยสนิทกันรักกันเหมือนพี่น้องจริงทั้งที่เป็นลูกพี่ลูกน้องกันแล้วเก็จลดามาเรียนที่กรุงเทพตั้งแต่มัธยมหนึ่งก็พักที่บ้านของพราวพลอยซึ่งพวกเธอทุกคนก็รู้จักดีเพราะเรียนที่เดียวกันเป็นรุ่นพี่สองปี
“ไม่เจอพี่พราวเป็นปีแล้วนะแก แล้วอีกกี่ปีพี่พราวถึงจะจบล่ะแก้ม” พิมพ์ทองถามถึงพี่สาวคนสวยของเพื่อนที่ทั้งสวยหุ่นดีเป็นถึงดาวมหาลัย
“น่าจะสองปีสามปีนี่แหละ พี่พราวเรียจบก็จะทำงานก่อนแล้วค่อยกลับมาทำธุรกิจของตัวเองน่ะ” เก็จลดาตอบเพื่อนทั้งสี่
“ขอให้แกโชคดีนะแก้มฉันคงคิดถึงแกมากเลย” พัชรพลพูดกับเพื่อนเพราะเขามักจะโทรไปหาเก็จลดาบ่อยยิ่งตอนอกหัก
“แกก็อย่าแรดให้มากนักสินังเคนนี่ ไม่ใช่ว่าเห็นผู้หล่อเข้าหน่อยก็ยอมให้เขาเสียบแล้ว ใจง่ายเกิ้นผู้ถึงเห็นแกเป็นดอกไม้ริมทางไง” เก็จลดาว่าเพื่อนที่อกหักบ่อยกว่าใครแล้วก็โทรไปพร่ำเพ้อรำพันกับเธอ
“แก็ก็รู้ว่าฉันเป็นโรคแพ้ผู้ชายหล่อ พอเห็นแล้วใจมันอ่อนระทวยไปหมดเลยอ่ะแก”
“ระวังนะนังเคนนี่ ถ้าแกยังมั่วไม่เลิกจะติดโรคเข้าสักวัน” พิมพ์ทองเตือนเพื่อนที่ควงผู้ชายไม่ซ้ำหน้าทั้งที่เป็นผู้ชาย
“ฉันก็ป้องกันตัวนะยะนังดารา ว่าแต่แกเถอะได้อยู่ใกล้พ่อพีชของฉันใจไม่อ่อนระทวยบ้างเหรอทั้งหล่อทั้งล่ำเป็นดุ้นๆนะพ่อคุณเอ้ย ชี้ดด..” พัชรพลพูดถึงพระเอกคนดังแล้วสูดปากเหมือนกินอาหารเผ็ด
“นังดอกเคนนี่/นังแรด/นังเกย์ใจง่าย/นังลำไย” สาวๆทั้งสี่ต่างว่าเพื่อนพร้อมกัน
จากนั้นทั้งหมดก็คุยกันหยอกเย้าจิกกัดกันตามประสาเพื่อนรักก่อนจะแยกย้ายกันกลับ้านตอนสามทุ่มเพราะทุกคนต้องไปทำงานและเก็จลดาเองก็ต้องเตรียมของอีกหลายอย่าง
“แล้วเจอกันนะพวกแก ยังไงก็คุยกันในไลน์ในเฟสในสไกป์นะ” เก็จลดาบอกเพื่อนๆ
“โชคดีนะแก”
“เดินทางปลอดภัยนะแก้ม”
“ขอให้แกเรียนจบเร็วๆนะ”
“ขอให้แกมีผัวฝรั่งหล่อล่ำกล้ามใหญ่ไซร์เก้านิ้วนะยะนังแก้ม ฮ่าๆๆ”
“คิกๆๆๆ/คริๆๆ..”
“จะบ้าหรือไงนังเคนนี่ แก้มไปเรียนนะไม่ได้ไปหาผัวสักหน่อย” เก็จลดาขำเพื่อนที่อวยพร
“เออน่าแก ไปถึงฝรั่งเศสถ้าไม่ได้ไม่โดนแกก็ไปไม่ถึงฝรั่งเศสนะนังแก้ม” พัชรพลยังไม่เลิกหยอกเย้าเพื่อน
“แก้มไม่ใช่แกนะนังเคนนี่ถึงได้ไปถึงทุกที่ ขอบใจนะพวกแก” เก็จลดากอดเพื่อนทีละคน
ห้าสาวกอดลากันแล้วก็แยกย้ายกันกลับบ้านเก็จลดาก็นั่งแท็กซี่กลับบ้านของลุงกับป้าเพราะเธอไม่ชอบขับรถในกรุงเทพสมัยเรียนก็นั่งรถเมล์ตลอด
แล้วก็มาถึงวันที่เก็ลดากับพราวพลอยเดินทางไปฝรั่งเศสและสองสาวก็ไม่ยอมให้คนที่บ้านมาส่งนอกจากคนขับรถที่มาส่งคุณหนูทั้งสองที่สนามบินตามคำสั่งของเจ้านาย
“ใจหายเหมือนกันนะพี่พราว” คนไม่เคยห่างจากบ้านไปไกลรู้สึกใจหายที่ต้องไปอยู่ต่างบ้านต่างเมือง
“ตอนแรกพี่ก็เป็นเหมือนแก้มนี่แหละ แก้มอย่าลืมสิตอนนี้เทคโนโลยีมันไปไกลมากนะสามารถโทรสไกป์คุยกันได้ทุกเวลา” พราวพลอยบอกน้องสาว
“มันก็จริงค่ะ เฮ้อ..” คนไม่อยากไปฝรั่งเศสถอนหายใจเบาๆ
“พี่ขอโทษนะแก้มที่ทำให้แก้มลำบาก” พราวพลอยขอโทษน้องสาวที่ทำให้ต้องจากบ้านไปไกลครึ่งโลก
“ไม่เป็นไรค่ะพี่พราว แก้มก็แค่กังวลนิดหน่อยเรื่องภาษาค่ะ” เก็จลดาบอกพี่สาวถึงเธอพูดภาษาอังกฤษได้ก็ตาม
“ไม้ต้องกลัวหรอกที่นั่นเขาก็ใช้ภาษาอังกฤษปนภาษาฝรั่งเศส ไปกันเถอะจ้ะ” พราวพลอยบอกน้องสาวเมื่อได้เวลาเช็คอิน
“ค่ะ” เก็จลดามองสนามบินอย่างอาลัยอาวรณ์วันนี้หญิงสาวไม่ให้พ่อแม่มาส่งเธอไม่ชอบการจากลา
สองสาวสวยลากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ไปเช็คอินเสร็จก็เดินเข้าเกทไปเพื่อรอขึ้นเครื่องเพราะต้องเช็คอินก่อนสองชั่วโมงก่อนจะออกเดินทางเวลา14.00น. ใช้เวลาเดินทางสิบสองชั่วโมงก็ถึงสนามบินปารีส ออร์ลี เวลา20.00น อยู่ทางตอนใต้ของปารีสห่างจากเมืองปารีสสิบสี่กิโลเมตร เมื่อได้กระเป๋าเดินทางก็ขึ้นแท็กซี่ไปบ้านพักของพราวพลอยที่เคยอยู่กับแฟนหนุ่มและเขายกให้เธอตอนเลิกกันทำให้เธอไม่ต้องไปเช่าอาพาร์ทเมนท์อยู่เหมือนครั้งที่มาอยู่ปารีสใหม่ๆ
“ปะเข้าบ้านกันพรุ่งนี้ค่อยสำรวจ” พราวพลอยบอกน้องสาวที่ยังยืนมองตึกสูงสามชั้นตรงหน้ามีบันไดขึ้นไปสามขั้นเหมือนอาคารพานิชย์ที่เมืองไทยแต่แตกต่างกันที่การตกแต่งจึงสวยหรูกว่าเรียงเป็นแถวยาวไปตามถนนที่สว่างโร่ตลอดเส้นทางและมีรถวิ่งผ่านไปมาขนาดกลางคืนยังดูสวยหากเป็นกลางวันน่าจะสวยกว่านี้
“บ้านใครคะ พี่พราวไม่ได้อยู่อาพาร์ทเมนท์เหรอคะ” เก็จลดาลากกระเป๋าของตัวเองกับพี่สาวขึ้นไปตามทางลาดชันเข้าไปในบ้านขณะที่พราวพลอยล็อคประตูบ้าน
“บ้านพี่เองแหละ”
“บ้านพี่พราวเหรอคะ”
