๕ โกหกทั้งเพ (๑)
๕
โกหกทั้งเพ
เหลือเพียงแค่สัปดาห์เดียวในก่อนจะปิดกล้อง ทุกฝ่ายจึงขะมักเขม้นทำงานโดยเฉพาะผู้กำกับที่ต้องเข้าไปคุมในห้องตัดต่อ เพราะพระเอกหนุ่มที่กำลังโด่งดังและวิกฤตที่ช่องต้องเผชิญ จึงอยากดึงคนดูให้ได้มากที่สุดโดยใช้ธามนิธิเป็นเกมสำคัญเอาชนะช่องอื่น
กำหนดการฉายละครมีขึ้นในสามเดือนข้างหน้า เมื่อกำลังจะปิดกล้องจึงเหลือเวลาในการตัดต่อเพียงน้อยนิด คิดว่าฝ่ายตัดต่อน่าจะต้องทำงานหนักพอสมควร
โดยที่คุณฉัตรชยาก็ต้องเข้าไปควบคุมทุกอย่างให้เป็นไปตามความต้องการของตัวเอง และท่านก็ค่อนข้างชอบที่ไม่ได้กลับบ้าน คร้านจะต้องทะเลาะกับภรรยาซึ่งมักขุดเรื่องในอดีตมาพูดให้เสียบรรยากาศได้ตลอด
การทำงานจึงเป็นทางเลือกออกที่ดี...
“นิรา...ว่างหรือเปล่า มาคุยกันหน่อยสิ” ช่วงที่นักแสดงกำลังพักผ่อน ผู้กำกับจึงสบโอกาสมองไปที่ทีมงานซึ่งพยายามทำตัวให้เป็นจุดสนใจน้อยที่สุด
ตั้งแต่วันที่ได้รู้ความจริงก็ไม่ว่างเข้าหาหญิงสาวเลยสักครั้ง พยายามเมียงมองอยากเข้ามาสอบถามพูดคุยแต่ก็ยุ่งเกินกว่าจะเข้าหาเธอได้ วันนี้จึงถือช่วงที่ตนกำลังว่างรีบเข้ามาดึงแขนเรียวให้เดินตาม หล่อนไม่ทันตั้งตัวแต่ก็ยอมก้าวเท้าตามท่านพร้อมตอบรับเสียงเบา
“ค่ะอาฉัตร”
เข้ามาในห้องว่างที่ไม่มีคนใช้ก็ปิดประตูพร้อมลงกลอนอย่างแน่นหนา เรื่องที่จะคุยกับหล่อนค่อนข้างสำคัญจึงไม่อยากให้ใครมาได้ยิน จนกว่าจะเคลียร์กับหญิงสาวได้ ซึ่งตนมั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าข้อสงสัยในใจต้องเป็นความจริง
สายตาที่เคยมองนิราเปลี่ยนไปสิ้นเชิง ไร้ซึ่งแววดูถูกเหยียดหยาม มีเพียงความรู้สึกผิดที่ละเลยหล่อนมาตลอด
“แม่ของเธอ...ชื่อรินลดาเหรอ” เพียงแค่ท่านเอ่ยเริ่มต้นด้วยประโยคคำถามที่กล่าวถึงบุคคลที่สาม ก็ทำให้ลำคอของหล่อนตีบตันไปชั่วขณะ ไม่คิดว่าจะได้ยินชื่อนี้ออกจากปากของคุณฉัตรชยา หล่อนได้แต่สบตาคนตรงหน้าด้วยแววตาสั่นไหว น้ำตาคลอเบ้ายามรับรู้ว่าท่านทราบความจริงบางอย่างแล้ว
กระบอกตาร้อนผ่าว หัวใจเต้นเร็วขึ้นเรื่อยๆ นึกตื่นเต้นกับความลับที่ถูกเปิดเผย โดยไม่รู้ว่ามันจะออกหัวหรือก้อย
อีกฝ่ายต้องการตนไหม...บางทีตนอาจจะถูกไล่ไปให้พ้นหน้าก็ได้
“ค่ะ” กลืนก้อนสะอื้นแล้วพยักหน้ารับ
“แล้วพ่อล่ะ...พ่อของเธอชื่ออะไร” ร่างบางนิ่งไปเมื่อได้ยินคำถามนั้น คล้ายกับว่าเธอกำลังชั่งใจว่าควรตอบตามความจริงหรือเปล่า
บอกไปตรงๆ ว่าพ่อคือใคร...
“แม่ไม่ได้บอก แม่ไม่ได้พูดถึงพ่อให้หนูฟังสักครั้ง หนูคิดว่าพ่อคงตายไปแล้วจนเจอรูปของพ่อที่ถ่ายกับแม่ หนูเลยอยาก...อยากเจอพ่อสักครั้ง”
แต่หญิงสาวก็เลือกจะพูดตามคำบอกเล่าของมารดา แล้วเอ่ยถึงรูปถ่ายใบหนึ่งที่ทำให้ตนต้องดั้นด้นมาหาพ่อถึงเมืองหลวง คนที่แม่รักยิ่งจนวาระสุดท้ายของชีวิต ชายเพียงคนเดียวที่ได้ครอบครองหัวใจของท่าน
คือคนตรงหน้าของเธอนั่นเอง...คุณฉัตรชยา
“นิรา...ลูกพ่อ” คว้าร่างเล็กมากอดเอาไว้ให้สมกับความคิดถึง ย้อนกลับไปในอดีตก็ยังโทษว่าเป็นความผิดของตนที่หลอกรินลดาว่าตัวเองโสดทั้งที่ความจริงมีภรรยาและลูกอยู่แล้ว ใช้ความใสซื่อของหญิงสาวทำให้เธอรัก
หมายจะหย่ากับภรรยาที่ถูกผู้ใหญ่จับคลุมถุงชนเพื่อไปอยู่กับหล่อนเมื่อทราบว่าเธอกำลังตั้งท้อง แต่ทุกอย่างก็พังทลายเมื่อเมียหลวงบุกไปหาเรื่องคนเป็นน้อยถึงที่ จนเขาได้ข่าวว่าหล่อนแท้งลูก ก่อนหนีหายไปไม่อาจหาตัวพบ
กระทั่งวันนี้ที่ได้เจอกับลูกสาว เชื่อหมดหัวใจว่าหล่อนคือลูกของตนกับรินลดาโดยไม่ต้องใช้หลักฐานทางวิทยาศาสตร์พิสูจน์
ท่านร้องไห้เป็นครั้งแรกในรอบยี่สิบปี ยังคงรักและคิดถึงภรรยาผู้เป็นดั่งดวงใจเพียงคนเดียวมาโดยตลอด
“พ่อขา” เป็นครั้งแรกที่เธอได้เรียกพ่อ หลังจากไม่เคยใช้คำนี้มากว่ายี่สิบเอ็ดปี โหยหาอ้อมกอดแสนอบอุ่นเช่นนี้มาโดยตลอด วันนี้ได้สัมผัสกับมันแล้ว...
เธอไม่อยากจะเชื่อเลย ว่าตัวเองจะมีพ่อเหมือนคนอื่นเขาแล้ว
“ขอโทษที่พ่อไม่รู้ว่าหนูคือลูกของพ่อ” ผละออกแล้วมองใบหน้าสวยที่ได้รับมรดกความงามมาจากคนเป็นแม่ไม่ผิดเพี้ยน โดยเฉพาะดวงตากลมโตชวนหลงใหล เห็นแล้วชวนให้นึกถึงรินลดา จนอยากเจอเธออีกครั้ง
“ไม่เป็นไรค่ะ แค่หนูรู้ว่าพ่อเป็นพ่อของหนูก็พอแล้ว” ยิ้มกว้างแล้วมองหน้าท่าน มือหนายกขึ้นมาเช็ดน้ำตาให้ลูกอย่างทะนุถนอม
ลูกที่ตนไม่ได้เลี้ยงดูและไม่ทราบว่าให้กำเนิดด้วยซ้ำ หล่อนหนีหายไปพร้อมลูกโดยทิ้งความเข้าใจผิดใหญ่หลวงไว้ให้เขา
“แล้วตอนนี้แม่อยู่ไหน มากับหนูหรือเปล่า” ถามหาหญิงอันเป็นที่รักซึ่งตนไม่เคยลืมได้เลยสักครั้ง ยังคงฝันถึงเธออยู่เสมอ จนตั้งคำถามกับตัวเองหลายครั้งว่ามันผิดพลาดตรงไหน ทำไมเราจึงไม่ได้ครองรักกัน
เพราะคำว่าเหมาะสมตนจึงไม่อาจเลือกคู่ครองเองได้ ยอมแต่งงานกับคนที่ไม่ได้รักคิดว่าตนคงไม่ได้เจอรักแท้ แต่แล้วสวรรค์ก็เล่นตลกส่งคนที่เป็นรักแรกพบมาให้ในวันที่เขามีพันธะแล้ว
หักห้ามใจตัวเองเอาไว้สุดความสามารถ ทว่าไม่อาจได้ผล...
สุดท้ายก็สร้างรอยแผลขนาดใหญ่ไว้ให้รินลดา ที่ต้องกลายเป็นเมียน้อยโดยไม่ตั้งใจ
และลูกสาวที่กลายเป็นลูกนอกสมรส...
“แม่...” เหมือนน้ำท่วมปากไม่กล้าบอกความจริงให้ท่านฟัง
มารดาเสียชีวิตจากโรคร้ายมะเร็งสมอง น่าเศร้าที่ทราบช้าเกินไปจนไม่อาจรักษาได้ทันท่วงที ท่านจึงจากไปในเวลาอันรวดเร็ว อย่างไม่ทรมานเท่าไหร่นัก ตอนนี้คงกลายเป็นนางฟ้าบนสรวงสวรรค์เรียบร้อยแล้ว
กึกๆๆ
ไม่ทันได้ตอบคำถามก็มีเสียงจากข้างนอกดังขึ้น พร้อมกับลูกบิดที่หมุนไปมา เธอเบิกตากว้างด้วยความตระหนก หากใครมาเห็นตนกับบิดาอยู่ตามลำพังในที่ลับคงไม่ดีแน่ แม้นิราจะทราบแก่ใจว่าอะไรเป็นอะไร แต่คนอื่นไม่ได้รู้ด้วยสักหน่อย
“มีคนอยู่ในนั้นไหมครับ ผมจะขอใช้ห้องได้หรือเปล่า” คุณฉัตรชยาก็คิดเช่นเดียวกัน จึงบอกลูกสาวให้รอในห้องนี้ ส่วนตนจะพาคนข้างนอกเดินไปทางอื่นเพื่อให้หล่อนหลบออกไปได้
“รออยู่ในนี้แล้วค่อยตามพ่อออกมานะ”
“ค่ะ”
พยักหน้ารับอย่างรวดเร็ว แอบอยู่หลังประตูพลางเงี่ยหูฟังเสียงข้างนอก พอเห็นว่าเริ่มเงียบจึงแอบออกมาจากห้อง เดินกลับไปที่ห้องแต่งตัวรวดเร็ว ไม่ทันสังเกตว่ามีใครคนหนึ่งที่นั่งรอเข้าฉากอยู่โซฟามองตามตลอดเวลา
คิ้วหนาขมวดเข้าหากันทันที จำได้ว่าผู้กำกับก็ออกมาจากห้องนั้น แล้วตามด้วยแฟนสาวของเขา...หมายความว่าคนทั้งคู่อยู่ในห้องด้วยกันอย่างนั้นเหรอ
