บทที่ ๑: เจ้าชายแห่งเวรุฬา【2】
ไร้ซึ่งเสียงตอบรับ จอมทัพอสุรายังคงจับจ้องอีกฝ่ายที่ไล่ฆ่าทหารปรมะไม่เลิกรา
“องค์ไอศูรย์พ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อเสียงดังขึ้นมาอีกหน่อย ไอศูรย์จึงรู้สึกตัวในครานี้ ก่อนที่จะชำเลืองมองทหารเอกเป็นเชิงถามว่ามีสิ่งใด
“สังหารเสียสิพ่ะย่ะค่ะ นั่นเป็นจอมทัพของเวรุฬา”
มันควรจะเป็นเช่นนั้น แต่ไอศูรย์กลับนึกเสียดายขึ้นมา
หากจะต้องสังหารทิ้งให้เป็นศพเน่าเปื่อยในป่าก็คงจะน่าเสียดายไม่น้อย...
ดังนั้นคำสั่งที่ไม่เคยหลุดออกจากปากของจอมทัพผู้ยิ่งใหญ่จึงได้อุบัติขึ้น
“จับตัวมาให้ได้ อย่าให้ร่างกายมีบาดแผลอันใด แล้วนำกลับปรมะนคร”
ทหารเอกถึงกับอ้าปากค้าง ตั้งแต่ที่ติดตามไอศูรย์ออกศึกมา หาได้มีครั้งใดที่จอมทัพผู้นี้จะไว้ชีวิตอริราชศัตรู การได้ยินคำสั่งนี้ก็ทำให้ทหารเอกถึงกับไปไม่เป็น
“องค์ไอศูรย์ตรัสว่า...”
“ไปจับตัวมา...เป็นๆ”
ไอศูรย์ย้ำถ้อยคำชัดเจน ดวงตาเรียวที่ถลึงดุดันทำให้ทหารเอกไม่กล้าเอ่ยถามสิ่งใดต่อ นำความไปบอกแก่เหล่าจอมทัพยักษาตนอื่นๆ ก่อนที่การรุมทึ้งจับเป็นจอมทัพแห่งเวรุฬาจะเริ่มต้นขึ้น
วิรัลย์ถูกบ่วงบาศรัดรึง เหล่าทหารหาญอริราชย์ดึงทึ้งลงจากหลังพาหนะ เรือนกายคว่ำอยู่บนพื้นดินเย็นเยียบ ความแค้นใจเข้าเกาะกุมจิตใต้สำนึก ก่อนที่หูจะได้ยินเสียงของใครบางคนดังขึ้นอยู่เบื้องหน้า
“จากนี้ไป เจ้าจะเป็นองค์ประกันจากเวรุฬา... เจ้าชาย”
วิรัลย์ไม่แปลกใจนักหากจอมทัพของราชศัตรูจะเรียกเขาเช่นนั้น เพียงเห็นรูปลักษณ์หรือท่วงท่าอันมีจริต ผู้ถวายงานรับใช้ใกล้ชิดเชื้อพระวงศ์ย่อมดูออก ทว่านั่นหาได้สำคัญแต่อย่างใด วิรัลย์รู้แต่เพียงว่าเขาถูกนำตัวกลับสู่ปรมะนคร แผ่นดินที่เขาไม่เคยเหยียบย่างหรือคิดจะไปเยือนตั้งแต่ถือกำเนิดมา
การเดินทางช่างยาวนานนัก ใช้เวลาไปร่วมสองสัปดาห์กว่าจะถึงยังที่หมาย ระหว่างการเดินทางกลับ ไอศูรย์ก็ลอบพินิจโฉมหน้าของเจ้าชายต่างแคว้นไปด้วย
ไม่ว่าจะพินิจพิจารณาอย่างไร เจ้าชายพระองค์นี้ก็มีรูปโฉมงดงามหยาดฟ้ามาดินเสียจริง...
จากครั้งแรกที่เพียงสะดุดตา กลายเป็นว่าไม่กี่วันให้หลัง เขาก็ลุ่มหลงในความงดงามนั่นอย่างถอนตัวไม่ขึ้น หากเรื่องเช่นนี้อุบัติในยามปกติสุข คงจะได้ถูกเรียกขานว่าความรู้สึกนั้นคือบุพเพสันนิวาส แต่เพราะเกิดขึ้นในขณะที่มีการรบรา ไอศูรย์จึงต้องยับยั้งความรู้สึกนี้ด้วยเห็นว่าเป็นการไม่สมควร
เป็นยักษ์บุรุษทั้งคู่ก็ว่าอัปยศแล้ว ยังจะเป็นอริศัตรูกันอีก บุพเพสันนิวาสอันใดกัน การหลงผิดชวนให้หัวร่องอหายมากกว่า...
และเพราะคิดเช่นนั้น ไอศูรย์ก็ไม่ใคร่สนใจอีกต่อไป ไม่แม้แต่จะพูดคุยด้วยสักคำ ไม่เพียงแต่ไอศูรย์เท่านั้น วิรัลย์เองก็หาได้อยากจะเสวนากับเขา
ไม่ว่าผู้ใดที่เป็นคนของปรมะ เขาก็ไม่อยากจะเสวนาพาทีด้วยทั้งนั้น!
ดังนั้นต่างฝ่ายจึงไม่รู้นามของกันและกัน วิรัลย์เองก็หาได้เอ่ยปากบอกผู้ใด แม้ถูกเค้นถามก็ยังคงเงียบนิ่ง ดำรงไว้ซึ่งสีหน้าหยิ่งผยอง ถึงจะถูกคุมขังในคุกก็ไม่หวั่นไหวแต่อย่างใด ราวกับว่าเตรียมใจมาสำหรับการนี้อยู่แล้ว
ซึ่งก็ใช่... หากไม่ได้รับชัยก็ต้องมีจุดจบเช่นนี้
แต่เขาไม่ได้ถูกกระทำการใดนอกเสียจากคุมขังไว้เฉยๆ ด้วยกษัตริย์แห่งปรมะนครได้สดับรับฟังว่ายักษ์หนุ่มที่ไอศูรย์นำตัวมาเป็นถึงพระราชโอรสของกษัตริย์แห่งแคว้นเวรุฬา จึงประสงค์ใช้เป็นองค์ประกันต่อรองกับแคว้นราชศัตรู
หากทว่าผ่านไปเจ็ดทิวาเจ็ดราตรีแล้วไซร้ ก็ยังไม่มีผู้ใดจากเวรุฬามีทีท่าว่าจะช่วงชิงเจ้าชายพระองค์นี้กลับไป แม้กระทั่งอุปนิกขิต[ อุปนิกขิต เปรียบเสมือนไส้ศึกหรือสายลับในปัจจุบัน]ที่แฝงตัวอยู่ในเวรุฬาก็ยังไม่มีรายงานว่ากษัตริย์เวรุฬาจะมีพระบัญชาใดเพื่อนำพาตัวพระราชโอรสกลับไปแต่อย่างใด
เท่านี้ก็ชัดเจนแล้วว่าการจับไว้เป็นองค์ประกันหาได้มีประโยชน์อันใด...
เมื่อไร้ซึ่งประโยชน์ ชีวีก็ไม่จำเป็นต้องรักษา
หลังจากถูกคุมขังเป็นองค์ประกันอยู่เจ็ดวันเต็ม ในวันที่แปด สถานะของวิรัลย์ก็แปรเปลี่ยนเป็นเชลยสงครามที่ต้องโทษประหาร เขาถูกตีตรวนและนำตัวออกจากคุกสกปรก ทหารสองนายที่ดำรงตำแหน่งเพชฌฆาตเป็นผู้นำเขาไปยังลานประหารที่อยู่ในท้ายพระราชฐานอันกว้างใหญ่
เสียงดังครูดของโลหะดังเรื่อยไปตามพื้นทำลายความเงียบงันรอบข้างไปเสียสิ้น แม้จะไม่เคยคาดคิดว่าจะต้องมีจุดจบเช่นนี้ แต่ก็มิอาจตัดพ้อต่อว่าหรือกล่าวโทษผู้ใดได้ ด้วยผลทั้งหมดนั้นเกิดจากความทระนงตนของเขาทั้งสิ้น
เมื่อมาถึงยังหลักประหารที่อยู่ในลานกว้าง วิรัลย์ก็ถูกบังคับให้คุกเข่าลงต่อหน้ากษัตริย์แห่งปรมะนครที่ประทับอยู่บนพลับพลา รอทอดพระเนตรรอเพชฌฆาตสังหารยักษ์ตรงหน้าเสียให้สิ้น
ด้วยเป็นหน่อเนื้อเชื้อกษัตริย์ ต่อให้เป็นอริราชศัตรู การประหารจึงมิอาจกระทำได้โดยการฟันคอให้ขาดในดาบเดียว ท่อนจันทน์ถูกอัญเชิญมาเบื้องหน้า วิรัลย์ราชกุมารถูกปลดโซ่ตรวนและจับมัดมือไพล่หลัง ถุงผ้ากำมะหยี่สีแดงสดถูกนำมาคลุมศีรษะตลอดจนลำตัว โลหิตของเชื้อราชวงศ์มิอาจปล่อยให้ตกสู่พสุธา แต่นั่นจะสำคัญอย่างไรกัน ในเมื่อเพลานี้ จุดจบของเขาคือความตาย ก่อนเพชฌฆาตจะดึงทึ้งให้เขานอนลงไปบนเบาะขลิบดิ้นทอง
ดวงตาคมเหลือบมองไปยังเบื้องหน้าอย่างเลื่อนลอย ไร้ซึ่งการวิงวอนขอชีวิต วิรัลย์รู้ดีว่าการถูกประหารด้วยท่อนจันทน์นั้นนับว่าเป็นการให้เกียรติอย่างสูงสุดของกษัตริย์แห่งปรมะนครแล้ว อีกทั้งการขอชีวิตตนนั้นเป็นการเสื่อมเสียเกียรติยิ่ง แม้ตัวต้องตาย แต่เขาก็จะไม่เอื้อนเอ่ยคำใดออกมาเพื่อประวิงเวลาให้ตนได้มีลมหายใจ
วิรัลย์สูดลมหายใจเข้าเสียเฮือกใหญ่ราวกับจะดื่มด่ำกับการมีชีวิตอยู่เป็นครั้งสุดท้าย พลันปิดเปลือกตาลง น้อมรับความตายที่ถูกมอบให้โดยศิโรราบ
หมดสิ้นแล้วซึ่งชีวี แต่มอดม้วยไปเสียก็ดี ไม่ว่าอย่างไร ข้าก็เป็นเพียงราชกุมารที่ไม่มีผู้ใดต้องการ...
เขารำพึงในใจ ปล่อยวางทั้งหมดและปล่อยให้ทุกสิ่งดำเนินไปตามชะตากรรม
หากแต่ยังไม่ทันที่เพชฌฆาตจะได้เหวี่ยงท่อนจันทน์ลงมายังศีรษะ พลันก็ได้ยินเสียงแหบห้าวดังเข้ามาในโสตอย่างไม่ทันตั้งตัว
“เสด็จอา... กระหม่อมมีเรื่องจะกราบทูล”
เสียงนั้นหยุดทุกการกระทำของทุกสรรพสิ่ง ขณะที่กษัตริย์แห่งปรมะนครเหลือบพระเนตรมองคนตรงหน้าซึ่งก็คือไอศูรย์ที่มารอดูการสำเร็จโทษในครั้งนี้ด้วย ก่อนที่พระองค์จะพยักพระพักตร์เล็กน้อยให้อีกฝ่ายได้กล่าวต่อ
เมื่อได้รับพระราชทานอนุญาต คนขัดเหตุการณ์ก็เปล่งวาจาออกมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“กระหม่อมใคร่จะทูลขอพระราชทานอภัยโทษให้แก่ราชกุมารแห่งเวรุฬาพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าว่าอย่างไรนะ?”
“กระหม่อม...ทูลขอพระราชทานอภัยโทษให้แก่ยักษาตนนั้นพ่ะย่ะค่ะ”
ไอศูรย์ย้ำคำออกมาอีก ถ้อยวจีนั้นช่างสร้างความตะลึงงันให้แก่ผู้สดับรับฟังยิ่งนัก
จอมทัพผู้เกรียงไกรที่มิเคยเว้นชีวิตให้ศัตรูใดกลับร้องขอชีวิตให้กับราชกุมารจากแคว้นศัตรูเช่นนั้นรึ?
น่าประหลาดนัก จนกษัตริย์ปรมะนครต้องตรัสถาม
“เพราะเหตุใด เจ้าถึงอยากร้องขอชีวิตมัน?”
“กระหม่อมเห็นว่าอาจจะมีประโยชน์ต่อปรมะในภายภาคหน้าพ่ะย่ะค่ะ อย่างน้อยก็อาจจะใช้ตะล่อมถามในสิ่งที่เราไม่รู้เกี่ยวกับเวรุฬาได้”
ไอศูรย์กล่าวให้คู่สนทนาขบคิด ขณะที่ใจเขาเองนั้นหาได้คิดจะใช้วิรัลย์เพื่อการยึดครองกรุงเวรุฬาเลยแม้แต่น้อย เขาเพียงอยากจะรักษาชีวิตของวิรัลย์ไว้เท่านั้น คราแรกเขาจะตัดใจจากวิรัลย์อยู่แล้ว ด้วยคิดว่าความรู้สึกที่มีต่อยักษ์หนุ่มรูปงามนั้นเป็นเพราะอารมณ์ชั่ววูบ แต่เมื่อเห็นว่าวิรัลย์จวนเจียนจะถูกสำเร็จโทษ ดวงใจก็รวดร้าวดุจมีผู้ใดมาบีบเสียจนแหลกละเอียด สุดท้ายก็ทนฝืนความเสน่หาของตนไม่ไหว จำต้องเอ่ยขัดออกมา
“เจ้าคิดว่ามีประโยชน์อย่างนั้นแน่รึ?”
กษัตริย์ปรมะตรัสถามอีกครั้ง ไอศูรย์พยักหน้า
“พ่ะย่ะค่ะเสด็จอา กระหม่อมเห็นเป็นเช่นนั้น”
กษัตริย์ปรมะหาได้เคยคลางแคลงในการตัดสินใจหรือคำแนะนำใดของผู้เป็นพระภาติยะแม้แต่ครั้งเดียว ด้วยไอศูรย์นำชัยมาให้ปรมะนับครั้งไม่ถ้วน ทั้งยังไม่ทะเยอทะยานใดๆ เจียมเนื้อเจียมตน ไม่เคยทูลขอขึ้นดำรงสถานะยุพราช พึงใจกับการเป็นจอมทัพในกองทหารแห่งแคว้นเท่านั้น
และเมื่อไอศูรย์ว่ามาเช่นนี้ การสำเร็จโทษจึงถูกยับยั้ง กษัตริย์ปรมะมีพระบัญชาให้เพชฌฆาตจับวิรัลย์ให้ลุกขึ้นนั่ง
คนที่เฉียดความตายมาแล้วครั้งหนึ่งถึงกับลอบถอนหายใจเฮือก แม้จะไม่วิงวอนร้องขอการมีชีวิตต่อ แต่ก็หาใช่ว่าจะไม่เกรงกลัวต่อความตายที่ถูกหยิบยื่น ก่อนที่ความรู้สึกทั้งมวลจะมลายหายไปเมื่อได้ยินพระสุรเสียงของกษัติรย์อริราชย์
“จงขอบน้ำใจเจ้าไอศูรย์ซะ เขาผู้นั้นเป็นผู้มีพระคุณของเจ้า”
วิรัลย์ทำเพียงเบนสายตาทอดมองไปยังยักษ์หนุ่มที่ยกยิ้มให้นิ่งๆ โดยไร้ซึ่งคำพูดใดๆ
สายตาที่ทอดมองมายังเขานั้นช่างเย็นชาและแข็งกร้าว บ่งบอกให้ไอศูรย์รับรู้ได้ว่าไม่ว่าอย่างไร วิรัลย์ก็จะไม่ยินยอมศิโรราบโดยง่าย แต่นั่นหาได้สำคัญอีกแล้วเมื่อจู่ๆ จอมทัพอสุราก็มีความคิดบางอย่างขึ้นมาฉับพลัน
“นอกจากจะทูลขอพระราชทานอภัยโทษแล้ว กระหม่อมยังมีเรื่องอยากจะทูลขอจากเสด็จอาอีกเรื่องหนึ่ง”
“มีสิ่งใดหรือหลานข้า?”
“กระหม่อม...” ว่าแล้วหยุดไปครู่ พลางเหลือบมองไปยังวิรัลย์ที่ยังคงจ้องเขาเขม็ง ครั้นสบดวงตาเย้ายวนคู่นั้น ไอศูรย์ก็มิอาจหักห้ามใจ รีบร้อนเอ่ยประสงค์ของตนออกมาในบัดดล “ใคร่จะทูลขอเจ้าชายแห่งเวรุฬาเป็นของรางวัลที่นำชัยในศึกครานี้พ่ะย่ะค่ะ”
