บท
ตั้งค่า

บทที่ ๑: เจ้าชายแห่งเวรุฬา【1】

เป็นที่ประจักษ์กันดีในหมู่วงศาคณายักษ์ว่าแคว้นปรมะนครและแคว้นเวรุฬานั้นหาได้เป็นมิตรต่อกัน เนิ่นนานหลายร้อยขวบปีแล้วที่แคว้นอสุราทั้งสองต่างห้ำหั่นกันเป็นเนืองนิตย์ เหตุใช่ว่าเพราะมีเรื่องบาดหมางกันแต่อย่างใด ทว่าเป็นเพราะปรมะนครเป็นแว่นแคว้นดินแดนใหญ่ อำนาจแผ่ไพศาลไปทั่วแดนยักษา ทำให้กษัตริย์ผู้ครองนครได้พระทัย หมายจะชิงชัยเอาแคว้นน้อยใหญ่มาอยู่ในการปกครอง การยุรยาตรทัพทหารเกรียงไกรจึงเป็นไปทั้งหัวและท้ายปีไม่มีเว้นว่าง ยักษาวัยฉกรรจ์ล้วนถูกเกณฑ์มาเป็นไพร่พลในกองทัพ ทุกหัวระแหงที่กองทัพปรมะนครย่างก้าวไปเป็นต้องมีการหลั่งโลหิต เพียงไม่นาน ปรมะนครก็เรืองรองด้วยอำนาจ แคว้นใหญ่ถูกตีพ่าย แคว้นน้อยจำยอมศิโรราบด้วยมิอาจต่อกร เป็นเช่นนี้มาเนิ่นนานแล้ว

แต่...มีเพียงแคว้นเวรุฬาเท่านั้นที่ยังมิตกอยู่ในอุ้งพระหัตถ์ ทำให้กษัตริย์แห่งปรมะนครใคร่จะยึดครองแคว้นนี้ยิ่งนัก หากทว่าการเอากำลังบุกเข้าโจมตีเวรุฬามิอาจเป็นไปโดยง่าย ด้วยแคว้นเวรุฬานั้นมีถิ่นฐานอยู่ยังยอดเขาสูงลึกเข้าไปในพนาวัน การยาตราทัพเข้าประชิดเมืองนั้นเป็นไปได้ยากยิ่ง อีกทั้งเหล่ารากษสเวรุฬายังมีอุปนิสัยดุร้าย เมื่อถูกรุกราน ก็มิยอมให้ถูกข่มเหง สำแดงความอาจหาญออกมาอย่างหมดสิ้น ไล่คร่าฟาดฟันอริราชย์อย่างไม่ใคร่ครวญเสียดายชีวิต เป็นเหตุให้ทัพของปรมะนครที่รบชนะมาทั่วทุกทิศต้องแตกพ่ายทุกครั้งไป

การต้องเสียไพร่พลจากการรบเพราะปราชัยให้แก่เหล่ายักษ์ป่าพวกนั้นช่างน่าอับอายยิ่งนัก!

กษัตริย์แห่งปรมะนครขุ่นแค้นพระทัยยิ่งนัก เรียกเหล่าเสนาอำมาตย์และจอมทัพฝีมือดีมาปรึกษาหารือ ด้วยหมายจะวางกลอุบายยึดครองกรุงเวรุฬาให้ได้ในเร็ววัน

และครั้งนี้...ก็เป็นอีกครั้งที่กษัตริย์แห่งปรมะมีพระบัญชาให้กองทหารยกทัพมารุกรานเวรุฬา ทว่าเพราะเสียไพร่พลในการออกศึกเมื่อเดือนก่อน จึงทำให้ทัพที่ยกมาในครั้งนี้มีกองกำลังลดถอยลงไปมาก

ครั้นได้ยินว่ากองทัพแห่งปรมะนครอ่อนกำลังลง อีกทั้งไพร่พลก็มีเพียงกระผีก วิรัลย์...ราชกุมารยักษาของกษัตริย์แคว้นเวรุฬาจึงหมายใจจะสร้างคุณงามความดีให้พระราชบิดาได้ประจักษ์

เพราะเป็นราชกุมารอันดับรั้งท้ายอันเกิดจากนางสนมยักษีตนหนึ่ง จึงทำให้พระราชบิดาไม่แลเหลียว พระองค์จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่ามีพระโอรสองค์นี้อยู่ด้วย ซึ่งนั่นก็ไม่น่าแปลก วิรัลย์เป็นถึงราชกุมารอันดับที่ร้อยกว่า จะหลงพระกรรณ หลงพระเนตรไปบ้างก็เป็นเรื่องธรรมดาที่หาได้มีผู้ใดให้ความสนใจ

แต่เมื่อวิรัลย์กราบทูลพระราชบิดาตามความประสงค์ของตน เขาจึงถูกจดจำได้ในฐานะผู้ขันอาสาออกศึก กษัตริย์แห่งเวรุฬาทรงเห็นดีด้วยพระองค์ก็มิใคร่ให้พระราชโอรสซึ่งมีสิทธิ์ในราชบัลลังก์เอาชีวิตไปเสี่ยงเท่าใดนัก จึงไม่ทัดทานอันใด มอบหมายให้วิรัลย์ทำตามใจประสงค์ เพราะหากวิรัลย์ได้รับชัยชนะกลับมา ผู้เป็นพระราชบิดาก็จะได้รับคำสรรเสริญว่ามีพระราชโอรสเกรียงไกร แต่หากปราชัย...ก็แค่เสียราชกุมารที่จำไม่ได้แม้แต่ชื่อไปคนหนึ่งก็เท่านั้น

ทว่าการพระราชทานอนุญาต นั่นก็เพียงพอแล้วสำหรับวิรัลย์...

เขาเจียมตัวด้วยตระหนักดีว่าตนเป็นพระราชโอรสที่ถือกำหนดจากนางสนมท้ายแถว เพียงได้ถือกำเนิดโดยสืบเชื้อสายหน่อเนื้อเชื้อกษัตริย์ ก็นับว่ามีบุญวาสนาสูงส่งแล้ว

แต่...แม้นมีศักดิ์เป็นราชกุมาร หากมิได้เป็นยุพราชแล้ว จะมีความหมายอันใดกัน?

ถึงจะเจียมตัว แต่ลึกๆ นั้นกลับเต็มไปด้วยความทะเยอทะยาน การตัดสินใจอาสานำทัพ นอกจากจะสร้างความดีความชอบให้กับตน เขายังหมายจะเอาชนะใจเหล่าเสนาอำมาตย์และแม่ทัพนายกองทั้งหลายให้เป็นพวกพ้องของตนอีกด้วย

เป็นราชโอรสรั้งท้ายเช่นนั้นรึ? แล้วไม่มีสิทธิ์ชิงบัลลังก์ยุพราชผู้เป็นพระเชษฐาเลยหรือไร?

วิรัลย์วางแผนในใจเงียบๆ สวมเกราะ มือถืออาวุธ เข้าดำรงตำแหน่งจอมทัพในศึกครานี้...

ศึกแห่งแว่นแคว้นยักษาจวนเจียนจะอุบัติ หลังจากที่วิรัลย์นำทัพมาเฝ้าดูท่าทีของต่างฝ่ายยังยอดเขาหน้าประตูเมืองมานานนับสัปดาห์ เขาก็แลเห็นว่ากองทัพของเขาสามารถเอาชัยมาให้แก่เวรุฬาได้ไม่ยากนัก และการที่มานั่งเฝ้าดูการเคลื่อนไหวของทัพอริราชย์ก็หาได้มีประโยชน์อันใด เพลานี้สมควรแก่เวลาที่จะยาตราทัพบดบี้กองทัพจากแคว้นปรมะให้ราบเรียบเป็นหน้ากลองต่างหาก

หากแต่ความเห็นของเขาที่หลุดออกจากปากไปนั้นหาได้มีผู้ใดเห็นดีด้วย ครั้นยักษ์หนุ่มเอ่ยปากจะยกพลเข้าโจมตี เหล่าเสนาบดีอำมาตย์ซึ่งเป็นผู้วางแผนการรบก็พากันคัดค้านเป็นเสียงเดียว

“ทูลพระราชกุมาร กระหม่อมมิเห็นว่าเป็นการอันควรที่จะยาตราทัพเข้าตีกองทัพของปรมะนครในเพลานี้ ขอให้องค์วิรัลย์ทรงพระทัยเย็นก่อน”

ใครบางคนเป็นตัวแทนกล่าวกับผู้เป็นนายที่นั่งอยู่ในพลับพลา สายตาเย็นเยียบของยักษ์หนุ่มชำเลืองมอง ก่อนที่น้ำเสียงไร้อารมณ์ใดๆ จะเอ่ยตามมา

“หากไม่ยกทัพเข้าตีเพลานี้ แล้วจะให้ข้าเข้าตีเพลาใดกันเล่า”

แม้น้ำเสียงจะฟังดูราบเรียบ แต่ในน้ำเสียงนั้นเจือปนความไม่พอใจ เขาใคร่จะสร้างผลงานให้เป็นที่ประจักษ์เต็มแก่แล้ว ไยพวกยักษ์เฒ่าเหล่านี้ถึงต้องมาขัดกันด้วย

“กระหม่อมเกรงว่านั่นจะเป็นกลอุบายของปรมะ การที่พระองค์ยกทัพเข้าตีอาจจะทำให้ตกหลุมพรางเป็นได้ ขอให้พระองค์พระทัยเย็นก่อนพ่ะย่ะค่ะ”

วิรัลย์กลอกตา เขาได้ยินเหล่ายักษ์เฒ่าพูดพร่ำประโยคนี้มานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว

“พวกเจ้าเห็นข้าเป็นเด็กอมมือ ไม่ประสากับการออกทัพจับศึกหรือไร พวกเจ้าก็รู้มิใช่หรือว่าข้าเองก็เคยออกรบนับครั้งไม่ถ้วน แล้วมีครั้งใดบ้างที่ข้าปราชัยกลับมา?”

ไร้เสียงโต้ตอบ สิ่งที่วิรัลย์พูดนั้นเป็นจริง ทุกครั้งที่วิรัลย์ออกศึก หาได้เคยมีครั้งไหนพ่ายแพ้กลับมาเลยแม้แต่น้อย ไม่ว่าจะศึกเล็กหรือใหญ่ ล้วนนำชัยมาทั้งสิ้น เพียงแต่...ผู้นำทัพหาใช่เขา ทว่าเป็นจอมทัพผู้เกรียงไกรคนอื่นๆ ต่างหาก เขาไปกับกองทัพในฐานะหนึ่งในผู้วางอุบายการรบเท่านั้น หาได้มีหน้าที่รับผิดชอบยิ่งใหญ่เท่ากับศึกครั้งนี้

เมื่อไม่มีผู้ใดแย้ง วิรัลย์จึงระบายลมหายใจออกมา ก่อนจะว่าเสียงเรียบอีกครั้ง

“ข้าจะนำทัพไปสังหารคนของปรมะนครเสียให้สิ้น จงมีคำสั่งออกไปว่าให้เหล่าทหารนายกองเตรียมพร้อมโจมตี”

เหล่าอำมาตรย์ต่างมองหน้ากัน ความวิตกกังวลฉาบพรายราวกับเห็นเค้าลางร้ายผุดพรายเป็นเงาดำทะมึนอยู่เบื้องหน้า

เมื่อตัดสินใจแน่วแน่ วิรัลย์ก็ขึ้นขี่หลังดุรงค์ไกรสร[ ดุรงค์ไกรสร เป็นสัตว์ในป่าหิมพานต์ เป็นสัตว์ผสมระหว่างสิงห์กับม้า มีกายเป็นม้าสีแดง หางสีดำ กีบสีดำเหมือนม้า ส่วนหัวเป็นสิงห์ ดุรงค์ไกรสรเป็นสัตว์กินเนื้อ ลักษณะเด่นคือสามารถวิ่งได้เร็วดุจม้าและมีความแข็งแรงดั่งสิงห์] ห้อตะบึงนำทัพออกไปยังที่มั่นของกองทัพปรมะ ครั้นเหล่าทหารอริราชย์เห็นกองทัพอีกฝ่ายดาหน้าเข้ามา พลันก็พากันวิ่งวุ่นแตกพ่ายไปอีกทิศ ทหารหาญในวันก่อนกลายเป็นหนูตัวเล็กที่วิ่งหนีราชสีห์หัวซุกหัวซุน

ทันทีที่เห็นทหารอีกฝ่ายมุ่งหน้าลงไปทางตีนเขาพนาวัน วิรัลย์ก็ย่ามใจ คิดว่าตนจะเอาชัยมาให้พระราชบิดาเชยชมได้ก็ออกคำสั่งให้ดาหน้าเข้าสังหารโดยไม่คิดการใดๆ และนั่น...เป็นความผิดพลาด

แท้จริงแล้วทหารปรมะหาได้แตกพ่ายจนหลบหนีออกจากพงไพร ทว่าเป็นกลอุบายที่จอมทัพแห่งปรมะนครวางไว้โดยการส่งกองทัพส่วนหนึ่งขึ้นไปยังยอดเขาเพื่อหลอกล่อให้ทัพของอีกฝ่ายลงมา เมื่อแผนการสัมฤทธิ์ผล วิรัลย์จึงได้เห็นว่ายังตีนเขามีกองทัพเรือนหมื่นแสนของปรมะนครรอห้ำหั่นอยู่เบื้องล่าง

จะถอยหลังกลับในเพลานี้ก็ไม่ทันเสียแล้ว...

เมื่อเสียรู้ก็มิอาจยอมเสียเกียรติ วิรัลย์ยอมสิ้นชีวีในสนามรบมากกว่าที่จะหนีทัพกลับไปยังแคว้น มือแกว่งไกวดาบอันเขื่องสังหารทหารศัตรูคนแล้วคนเล่า เขี้ยวโค้งยาวโผล่ออกจากปากด้วยอารมณ์โกรธาที่ถูกล่อหลอก บัดนี้เขากราดเกรี้ยวราวกับถูกวิญญาณร้ายสิงสู่

เหงื่อเม็ดโตไหลโทรมกาย โลหิตสีแดงฉานของศัตรูสาดกระเซ็นต้องใบหน้าชวนให้สะอิดสะเอียนยิ่งนัก แต่วิรัลย์ก็มิอาจหยุดแกว่งดาบแม้ว่าทหารของเขาในยามนี้จะเหลืออยู่เพียงหยิบมือก็ตาม

ความระห่ำของเขาเป็นที่น่าหวาดหวั่นแก่ทหารชั้นผู้น้อยของปรมะยิ่งนัก ในเมื่อไม่มีผู้ใดเอาเขาอยู่ได้ เรื่องจึงจำต้องไปบอกกล่าวแก่จอมทัพอสุราให้รับรู้

เมื่อได้ยินว่ามียักษาตนหนึ่งไม่ยอมละซึ่งความแข็งข้อ จอมทัพอสุราซึ่งมีนามว่า ไอศูรย์ ก็ควบโตเทพอัสดร[ โตเทพอัสดร เป็นสัตว์หิมพานต์ที่ผสมระหว่างม้าและสิงโต มีลักษณะทั่วไปเหมือนดุรงค์ไกรสร แต่มีหัวเป็นสิงโตและมีร่างเป็นม้า มีกายเป็นม้าสีแสด หางและกีบสีแดงชาด หัวเป็นสิงโต คอ หลังและขนสร้อยคอมีสีเขียว และเป็นสัตว์กินเนื้อ]ไปยังทัพหน้า ครั้นได้เห็นอสุราวัยฉกรรจ์ห้ำหั่นกับทหารของตนไม่เลิกรา แม้ว่าจะเหลือเขาที่รอดชีวิตอยู่เพียงผู้เดียว ไอศูรย์ก็นิ่งพินิจไปครู่

ช่างเป็นยักษ์ที่ดื้อด้านอะไรอย่างนี้...

มือเอื้อมออกไปด้านข้าง เป็นสัญญาณให้ทหารเอกนำคันสรมาให้ด้วยหมายจะปลิดชีพอีกฝ่ายด้วยธนูดอกเดียว หากแต่เมื่อยกคันศรขึ้นเล็งจะสังหาร วิรัลย์ก็ผินใบหน้ามาสบตาพอดี

ไอศูรย์ถึงกับชะงักงันเมื่อเห็นว่าดวงหน้าชโลมไปด้วยหยาดเลือดนั้นงดงามดุจต้องมนตร์ ตั้งแต่ถือกำเนิดมา เขายังไม่เคยเห็นยักษ์ตนใดมีรูปโฉมงดงามเช่นนี้มาก่อน จะว่างดงามดั่งเช่นยักษีก็ไม่ใช่ รูปร่างและใบหน้าของวิรัลย์ล้วนมีความเป็นบุรุษอยู่เต็มเปี่ยม หากแต่กลับดึงดูดสายตาเสียจนมิอาจละไปทางใดได้ อีกทั้งเมื่อพินิจอย่างถ้วนถี่แล้ว ผิวพรรณผ่องแผ้วดุจทองคำ เรือนผมสีนิลยาวปะบ่าพลิ้วไสว รูปลักษณ์ทั้งหลายแลน่าอภิรมย์ ดูแล้วก็รับรู้ได้ทันทีว่าต้องเป็นหนึ่งในเชื้อพระวงศ์แห่งเวรุฬาเป็นแน่

ช่างงามวิลาศล้ำอะไรถึงเพียงนี้...

มือที่ถือคันสรลดลงต่ำในทันควัน ดวงตาเรียวจับจ้องใบหน้านั้นด้วยหลงใหล ไม่คาดคิดมาก่อนว่าตนจะเสน่หาผู้ใดได้มากมายเพียงสบตาแรกพบถึงเพียงนี้

และเพราะนิ่งงันไปโดยไม่มีสาเหตุ ทหารเอกที่รอรับใช้อยู่ข้างกายจึงเอ่ยปากขึ้น

“องค์ไอศูรย์...”

“...”

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel