ตอนที่ 6 มัจจุราชเดินดิน
ไท่โฮ่วลืมพระเนตรช้าๆ ในยามเช้า ทรงทอดสายพระเนตรเบิกกว้างด้วยความตกพระทัย เมื่อลูกธนูมาจากทิศทางไหนไม่ทราบได้เฉียดพระเศียรไปปักที่หัวพระแท่น พระนางจึงตะโกนขึ้นทันที
“ทหาร ทหาร!!!”
ทหารราชองครักษ์วิ่งสิบคนตรวจห้องพระบรรทมทันที นางสนองพระโอษฐ์วิ่งเข้ามาหาพระนางไท่โฮ่วด้วยความตื่นตกใจ และทูลถาม
“เกิดอะไรขึ้นเพคะ”
“มีลูกธนูแล่นเข้ามาในห้องของข้า” พระนางเอาลูกธนูส่งให้นางสนองพระโอษฐ์ นางจึงเอามาดู ที่ปลายลูกธนูมีกระดาษอยู่ นางจึงดึงออกมาคลี่ดู มีข้อความว่า
“บัญชีนี้แค้น ข้าจะตอบแทนให้อย่างสาสม”
นางสนองพระโอษฐ์กล่าวจบ ไท่โฮ่วทรงหยิบลูกธนูจากกางสนองพระโอษฐ์หักครึ่งทันที
“หมิ่นลั่ว ข้าจะไม่ปล่อยเจ้าให้ถึงแคว้นหรูเป็นอันขาด”
หมิ่นลั่วกงจู่เสด็จมาหน้าพระราชวังพร้อมกับต้าหวาง และเหล่าข้าหลวง ต้าหวางจัดขบวนเสด็จของกงจู่หมิ่นลั่วอย่างเอิกเกริกมีผู้ติดตามสามพันคนไปส่งถึงชายแดง พร้อมด้วยเครื่องบรรณาการหลากหลายอย่างที่ถวายให้ต้าหวางแห่งแคว้นหรู แต่ทว่าไท่โฮ่วไม่ได้มาส่งนาง ก็ถือว่าโชคดีมาก และกงจูพระดำริว่า ของขวัญที่พระนางมอบให้คือ การตอบแทนที่ไท่โฮ่วไม่คิดฆ่าพระองค์
กงจู่หมิ่นลั่วหันมาหาต้าหวาง ต้าหวางทรงจับพระหัตถ์พระนางแล้วตรัส
“หมิ่นลั่ว เจ้าเป็นครั้งนี้ไปไกลกว่าทุกครั้ง และไม่รู้จะกลับมาเมื่อไหร่ ข้าก็ขอให้พวกเขาเอ็นดูเจ้า เหมือนที่ข้าเอ็นดูเจ้าในตอนนี้ หมิ่นลั่วข้าไม่มีอะไรให้เจ้าไปมากกว่านี้ นอกจากอวยพรให้เจ้าปลอดภัยและมีความสุข”
“เกอเกอ ข้าก็ขอให้ท่านมีความสุข” หมิ่นลั่วกงจู่ตรัสด้วยรอยยิ้ม ต้าหวางทรงสวมกอดพระนางด้วยความเศร้าพระทัย ที่ต้องจากเมยเมยคนเดียวของพระองค์
“ข้าไม่อยากให้เจ้าไปเลย หมิ่นลั่ว” ต้าหวางตรัสแผ่วเบา
“ข้าจะทำภารกิจให้สำเร็จ ให้ท่านรวบแคว้นเป็นหนึ่งเดียว” กงจู่ตรัสแผ่วเบา และคลายอ้อมกอด ต้าหวางตรัสด้วยพระสุรเสียงเป็นกังวล
“เจ้าอย่าทำอะไรสุ่มเสี่ยง หรือนำภัยมาสู่ตนเอง”
“ข้าสัญญา ข้าจะรักษาตัวให้ดี” หมิ่นลั่วกงจู่ตรัสเช่นนี้ อีกทั้งทรงแย้มพระโอษฐ์
“ถึงฤกษ์ยามในการเดินทางแล้วเพคะ” มายาทูลต่อต้าหวางและกงจู่ แล้วถอยออกห่าง ต้าหวางทรงหยิบมีดกริชในฝักเงินลายวิจิตรจากเสื้อผาวตัวในส่งให้กงจู่ กงจู่ทรงรับไว้ แล้วตรัสต่อพระนางว่า
“มีดกริชนี้อาจช่วยเจ้าในยามคับขันได้ ข้าทำเองกับมือข้าขอมอบให้เจ้า” ต้าหวางตรัสจบ แล้วทรงแย้มพระโอษฐ์ กงจู่ถอดปลอกกริชออก พระนางเห็นกริชคมกริบทั้งสองด้าน แล้วพระนางทูลต่อต้าหวาง
“ขอบพระทัยเพคะ หม่อมฉันจะรักษาอย่างดีไม่ให้ห่างกาย” หมิ่นลั่วกงจู่แย้มพระโอษฐ์ ต้าหวางทรงหันไปทอดพระเนตรชายผู้หนึ่ง
“หมิ่นลั่วข้าต้องให้คังหยางไปดูแลเจ้า” ต้าหวางตรัสเช่นนั้น กงจู่ทรงหันไปทอดพระเนตรคังหยาง แล้วทรงหันพระพักตร์มาทอดพระเนตรมองต้าหวาง
“คังหยางเป็นหัวหน้าองครักษ์ของท่าน จะให้เขามาดูแลข้าได้อย่างไร”
“ถ้าเขาไปดูแลเจ้า ข้าจะได้สบายใจ” ต้าหวางแย้มพระโอษฐ์ ทรงทอดพระเนตรมองกงจู่
“ขอบพระทัยเพคะ”
แคว้นหรูที่ยิ่งใหญ่มีอาณาเขตติดกับแคว้นซีอวี้ และแคว้นไป๋ถัง อีกทั้งยังติดทะเลตะวันออก แคว้นหรูปกครองยี่สิบเอ็ดหัวเมืองและอีกหกชนเผ่า แคว้นหรูมีต้าหวางทรงพระนามว่า ‘ฉินเหวิน’ เป็นต้าหวางลำดับที่สองของแคว้นหรู
ต้าหวางทรงได้มีการฝึกฝนทหารเป็นอย่างดี พวกเขาไม่ใช่ทหารรับจ้างแต่อย่างใด แต่พร้อมใจจะสู้รบ ต้าหวางจึงให้เหล่าแม่ทัพฝึกพวกเขาเป็นอย่างดี อีกทั้งมีพระราชดำริว่า ใครที่อยากเป็นทหารต้องฝึกฝนให้ดี เมื่อทำศึกชนะกลับมาพระองค์จะปูนบำเหน็จให้อย่างงาม แต่ถ้าใครอยากทำไร่ไถนา หรืออยากอยู่กับครอบครัวให้ส่งส่วยให้ทางการแทนเพื่อบำรุงกองทัพ และในฤดูแล้งพระองค์จะเอาเงินจากการส่งส่วย นำไปซื้อข้าวแจกจ่ายให้อาณาประชาราษฎร์ในอาณาเขตของแคว้นหรู
ต้าหวางแคว้นหรู ทรงมีพระโอรสทั้งหมดห้าองค์ แต่ยังมีพระชนม์ชีพสามองค์คือ 'ฉินไท่' ทรงมีตำแหน่งเป็น ไท่จื่อ พระนามรองว่า หลี่หวางเย่ ทรงมีอุปนิสัย นิ่งเงียบ ไม่สุงสิงกับผู้ใด แต่เป็นที่ไว้วางพระทัยของต้าหวางให้เป็นไท่จื่อ หวางเย่องค์ที่สี่ ทรงมีพระนามว่า ฉินหรงลั่ว พระนามรองว่า ฉีหวางเย่ ทรงเป็นว่าที่ฟู่จวินของกงจู่ แต่หวางเย่ก็ลึกลับอีกพระองค์หนึ่ง ทรงไม่ออกว่าราชการร่วมกับต้าหวางตั้งแต่หวางโฮ่วองค์ก่อนสวรรคตไป ฉีหวางเย่พระองค์เอาใจใส่ในกองทัพ และไม่โปรดสตรี แต่โปรดน้ำจัณฑ์
“ไม่โปรดสตรี ว่าที่ฟู่จวินของข้าคนนี้ โปรดบุรุษเช่นนั้นหรือ” กงจู่ทรงแย้มพระสรวล ทอดพระเนตรมองมายาที่เล่าเรื่องราวให้พระนางสดับ
“หม่อมฉันไม่ทราบได้ แต่ฉินหรงรั่วฉีหวางเย่ทรงมีฉายาว่า 'มัจจุราชเดินดิน' สังหารศัตรูนับสิบในเพลงกระบี่เดียว เรื่องมันมีอยู่ว่าครั้งศึกที่เมืองสุ่ยโจวฉีหวางเย่บุกเดียวสังหารเจ้าเมืองและทหารตายนำสิบ ทำให้ทหารต่างเกรงพระบารมีของพระองค์เทียบเท่าต้าหวาง” ชุนอิ๋งทูลต่อพระนางด้วยเช่นกัน
“เพลาอยู่ต้องหน้าฉีหวางเย่จะประมาณไม่ได้เป็นอันขาด” มายาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล
“ข้าคงต้องรอบคอบให้มาก”
“พรุ่งนี้ก็ถึงเมืองหลวงแล้วเพคะ” มายาเอ่ยทูลต่อกงจู่ พระนางจึงนำกล่องข้างพระวรกาย แล้วจึงเปิดออก เป็นหน้ากากทองคำลวดลายวิจิตรห้อยระย้าด้วยม่านไข่มุก ทรงเขามาสวมใส่ มายาจึงเอ่ยถาม
“เหตุใดต้องสวมหน้ากากเพคะ”
“ข้าจะสวมใส่หน้ากากชิ้นนี้ต่อเมื่อข้าอยู่ในตำหนัก และข้าจะถอดมันเวลาข้าอยู่ในหอคณิกา” หมิ่นลั่วกงจู่ตรัสแผ่วเบา
“แล้วจะบอกต่อต้าหวางและหวางเย่ว่าเช่นไรเพคะ” ชุนอิ๋งทูลถามด้วยความสงสัย
“ข้าจะบอกว่ามันเป็นธรรมเนียมของแคว้นซีอวี้ ว่าก่อนแต่งงานพวกนางต้องสวมหน้ากากไม่ให้ฟูจวินได้เห็นใบหน้าจริง ไม่เช่นนั้นครอบครัวจะอยู่ไม่เป็นสุข จะนำพาเรื่องทุกข์ร้อนมาสู่ฟู่จวินและครอบครัวของนาง อีกทั้งข้าต้องหาตำราพิชิตใต้หล้าให้เจอ ถ้าข้าเจและส่งให้เกอเกอแล้ว ข้าถึงจะถอนหน้ากาก” (ฟูจวิน แปลว่า สามี)
ทันใดนั้นลูกธนูปักลงมาในรถม้าหนึ่งดอก ทำให้กงจู่และนางกำนัลทั้งสองตกใจ และอีกสามดอกพุ่งเข้ามา พวกนางรีบหลบกันอย่างรวดเร็ว คังหยางเปิดม่านรถม้าและทูลต่อกงจู่
อย่าลืมเข้ามากดหัวใจ และคอมเม้นท์ให้ไรท์ด้วยน๊าาาาาา
1 เม้นท์ 1 กำลังใจ
