เหล่าลู่จับฮูหยิน(อ่านฟรี)

16.0K · จบแล้ว
ซีฟางกั๋วเจีย/เอสเต้
10
บท
40.0K
ยอดวิว
7.0
การให้คะแนน

บทย่อ

“ข้าคงไม่กล้าสู้หน้าผู้คนแล้ว! ” ถ้อยคำตัดพ้อต่อโชคชะตาของนางทำให้เขาต้องเอ่ยปากรับผิดชอบ นางแสร้งถามว่าเขามีภรรยาหรือยัง? ชายหนุ่มที่มัวแต่มองทรวงอกกระเพื่อมอยู่ตรงหน้าลอบกลืนน้ำลายก่อนตอบตามจริง “ยัง! ข้าอยู่ดูแลจวนนี้มาตั้งแต่ยังรุ่นๆ มิเคยมีภรรยาและยังไม่มีบุตร” นางเห็นเขาเริ่มหน้าแดงระเรื่อก็รีบพูดจาบีบบังคับ นัยในคำพูดนางคือต้องการให้เขารับนางเป็นภรรยา เหล่าลู่เกรงว่าส่วนล่างของร่างกายของตนจะฟ้องความรู้สึกที่มีต่อนางออกมาจนหมด ก็รีบร้อนตอบรับ! “เอาเถิด หากเจ้าไม่รังเกียจข้า ข้าก็จะแต่งงานกับเจ้าแต่ขอเวลาข้า สักหน่อย” ชายหนุ่มอธิบายว่าเขาต้องการเวลาในการเตรียมตัวเพื่อบอกกล่าวกับฮูหยินสักหน่อย แต่นางกลับขอให้เขาสัญญาว่าจะแต่งงานกับนางก็พอ...นางยินดีเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ นางร้องไห้น้ำตานองหน้า เหล่าลู่เงอะงะเมื่อเห็นน้ำตาหญิงสาวเขารีบออกจากห้องอาบน้ำก่อนที่ตนเองจะทนไม่ไหวพุ่งเข้าไปปล้ำนางเข้าจริงๆ เรือนร่างขาวผ่องซ้ำยังอุดมไปด้วยก้อนเนื้อที่เด้งล่อตาล่อใจเขานั้นทำเอาความสุขุมที่กดข่มไว้มานานของเหล่าลู่แทบจะทะลักออกมา *********************** เมื่อเหล่าลู่ตามจับผิดสาวใช้ที่น่าสงสัย...จนต้องเผชิญสถานการณ์ที่คาดไม่ถึง!

นิยายรักโรแมนติกนิยายจีนโบราณนิยายย้อนยุค

บทที่ 1 นางช่างน่าสงสัย

“แน่ใจหรือขอรับฮูหยินว่าจะรับนางเอาไว้?”

จังฮูหยินหรือที่จริงแล้วต้องเรียกว่า ‘อนุจัง’ หันไปมองบ่าวรับใช้เพียง คนเดียวในจวนเก่าๆ โทรมๆ แห่งนี้ เพราะมีเขาเป็นบุรุษเพียงคนเดียวนางจึงแต่งตั้งเหล่าลู่ผู้นี้ขึ้นเป็นพ่อบ้าน

“เหล่าลู่ เรามีกันน้อยคนอยู่แล้ว หากเพิ่มมาอีกคนก็เท่ากับเพิ่มแรงงาน เจ้าไม่ได้ยินหรอกหรือว่านางทั้งทำความสะอาดได้ ทำอาหารได้ เย็บผ้าก็ได้ ค่าจ้างก็ไม่ต้องเสียสักอีแปะแค่มีที่อยู่กับอาหารให้นางก็พอ”

“แต่สุดท้ายแล้ว ฮูหยินก็ต้องหาเงินค่าจ้างให้นางอยู่ดีนะขอรับ ฮูหยินคงไม่ใจดำใช้งานนางเปล่าๆ”

“ข้ารู้! แต่นางก็เป็นผู้หญิงตัวคนเดียว หากปล่อยไปที่อื่นก็อันตราย น่าเป็นห่วงนัก ให้อยู่ที่นี่ก็ถือว่าได้ช่วยเหลือลูกนกลูกกาก็แล้วกัน”

“แต่...ข้าเกรงว่า....” เหล่าลู่พูดไม่ออก ฮูหยินไม่เคยรู้มาก่อนนี่ว่าพวกนางทั้งสามคนถูกปองร้ายมาหลายปีแล้ว นักฆ่าพวกนั้นถูกส่งมาครั้งแล้วครั้งเล่า มีเพียงเขาที่คอยกำจัดภัยให้พวกนาง จู่ๆ จะให้โพล่งออกไป เขาเกรงว่านางจะตกใจจนสิ้นสติ

“เอาเถอะน่า...ข้าตัดสินใจแล้ว หากเจ้าไม่ไว้ใจนางก็คอยจับตามองนางไว้ก็แล้วกัน” จังฮูหยินตัดบทแล้วเดินเข้าไปในห้องนอนเพื่อนับเงิน หากว่าต้องรับเจิงอิ่งเป็นสาวใช้เพิ่มอีกคน นางก็ต้องให้เหล่าลู่พาเจิงอิ่งไปเลือกซื้อเครื่องนอนใหม่อีกชุดและเตรียมเงินค่าเสื้อผ้าให้นางด้วย

‘ยังดีที่ตอนนี้หลานเอ๋อร์มีรายได้เยอะ และข้าก็ทำเป็ดตุ๋นส่งเหลาสุรา ทุกวัน เลี้ยงคนแค่อีกคนหนึ่งจะเป็นไรไป? มีนางมาช่วยอีกไม่นานรายได้ก็คงเพิ่มขึ้นเอง ถึงยามนั้นค่อยคิดเบี้ยหวัดให้นางก็แล้วกัน’

จังเยว่เป็นภรรยาคนแรกของใต้เท้าชิงที่สามีหวังจะตบแต่งเป็นฮูหยินเอกแต่เพราะครอบครัวของเขาขัดขวาง และเจอเหตุการณ์ไม่คาดฝันนางกับบุตรสาว ‘ชิงหลาน’ ซึ่งเป็นบุตรนอกสมรสจึงต้องระเห็จมาอยู่จวนเก่าของสกุลชิงในอำเภอเฉินที่อยู่ห่างจากเมืองหลวงโดยใช้เวลาเดินทางหนึ่งวัน ใต้เท้าชิงให้บ่าวรับใช้และสาวใช้เรียกจังเยว่ว่า ‘ฮูหยิน’ เพราะสำหรับเขา...นางไม่มีวันเป็นเพียง ‘อนุภรรยา’ นอกจากคนที่จวนใหญ่แล้ว ทุกคนล้วนเรียกขานนางว่า ‘จังฮูหยิน’

เหล่าลู่ลอบสังเกตหญิงสาวที่เดินไปมาจัดห้องนอนเล็กด้วยความระแวดระวัง ฝีเท้าของนางนับว่าเบากว่าเสี่ยวลิ่งที่เป็นสาวใช้ประจำตัวคุณหนู ท่าทางก็คล่องแคล่วดูแล้วเหมือนคนเป็นวรยุทธ์

“เจ้าบอกว่าครอบครัวของเจ้าเป็นช่างตีดาบ แล้วเจ้าตีดาบเป็นหรือไม่?”

“ก็พอได้นะ แต่การตีดาบมันร้อนมากข้าสู้ไม่ไหวเจ้าค่ะ” นางหันมายิ้มหวานให้กับบุรุษร่างสูงบึกบึนที่ยืนคุมเชิงอยู่มุมห้อง เขาทำเพียงหอบฟูกนอนกับผ้าห่มผืนใหม่ที่รถม้าจากร้านค้าในตลาดนำมาส่งแล้วก็ยืนจดๆ จ้องๆ นางอยู่มุมห้องเช่นนี้มาได้เกือบสองเค่อแล้ว

“เจ้าคงจะเก่งเพลงดาบ ใช่หรือไม่?”

“ข้าก็พอจะรู้บ้างแต่ก็ไม่ถึงกับเก่งกาจอันใดมากมาย ทำไมหรือเจ้าคะ? ท่านพูดแบบนี้เหมือนท่านเป็นวรยุทธ์” นางรู้สึกสงสัยในตัวพ่อบ้านผู้นี้เช่นนั้น ฝีเท้าของเขาบางคราวหนัก บางครั้งก็เบา เหมือนกับแสร้งทำให้นางสับสน

“เสื้อผ้าของเจ้าเอามาพอหรือไม่? ข้าจะได้รายงานนายหญิงได้ถูก”

“ไม่ต้องห่วงเจ้าค่ะ พวกเสื้อผ้าข้ามีติดตัวมาจากเมืองหลวงหลายชุด เจ้านายเก่าของข้ามีร้านเสื้อผ้าด้วยจึงให้เสื้อผ้าข้าอยู่บ่อยๆ คงไม่รบกวนนายหญิงให้ซื้อให้”

“จังฮูหยินเป็นคนใจดี ไม่ว่ากับผู้ใดก็มีน้ำใจและความเมตตาให้เสมอ แม้กระทั่งตอนที่นางลำบาก ยามนี้คุณหนูก็ช่วยหาเงินเข้าจวนได้มากและนายหญิงกับเสี่ยวลิ่งก็ช่วยกันทำเป็ดอบส่งตามร้านอาหารทำรายได้ไม่น้อย เจ้าอยู่ที่นี่ช่วยพวกนางสองคนต่อไปนายหญิงก็คงจะหาเบี้ยหวัดให้เจ้าเหมือนอย่างเสี่ยวลิ่งเช่นกัน”

“เจ้าค่ะ เอ่อ...ว่าแต่ห้องอาบน้ำอยู่ไหนล่ะเจ้าคะ? ข้าเริ่มรู้สึกร้อนแล้วอยากจะแช่น้ำอุ่นๆ สักหน่อย” เจิงอิ่งรู้สึกรำคาญพ่อบ้านหนุ่มใหญ่ที่มาคอยจับตาดูนางไม่วางตา วิธีเดียวที่จะไล่คนผู้นี้ไปได้คงต้องขอเวลาเป็นส่วนตัวสักหน่อย

“เดินอ้อมไปด้านหลังห้องแรก ตรงข้ามห้องเก็บฟืน ข้าผ่าฟืนเก็บไว้เยอะเจ้าไม่ต้องห่วง ถ้าอยากจะต้มน้ำก็หยิบใช้ได้เลย”

“เจ้าค่ะ” เจิงอิ่งพ่นลมหายฟู่ออกมาเบาๆ เมื่อพ่อบ้านร่างสูงบึกบึนยอมออกจากห้องของนางไปเสียที

‘อ๊ะ! เหมือนข้าจะเห็นเขาหน้าแดงอยู่หน่อยๆ ตอนที่พูดเรื่องอาบน้ำ อายุก็ไม่ใช่หนุ่มๆ แล้ว ยังทำตัวเขินอายอยู่อีก ช่างตลกเสียจริงเชียว’

ในห้องอาบน้ำด้านหลังจะมีเพียงจังเสี่ยวลิ่ง สาวใช้ที่เป็นญาติห่างๆ ของคุณหนูชิงมาใช้ร่วมกับนางเพียงคนเดียว จะว่าไปที่นี่ก็กว้างขวาง ใหญ่โต สะดวกสบายหากไม่ติดว่าเรือนแต่ละหลังทรุดโทรมมาก มีเพียงไม่กี่เรือนเท่านั้นที่ยังดูสะอาดสะอ้าน เป็นเพราะในจวนเก่าแห่งนี้มีคนเพียงสี่คน หากนับรวมนางไปด้วยก็เป็นห้า ไม่ว่าจะเป็นนายหรือบ่าวทุกคนล้วนต้องช่วยกันทำความสะอาด ส่วนเรือนที่ไม่มีผู้อยู่อาศัยก็ได้แต่ปล่อยให้เก่าผุพังไปตามกาลเวลา

เจิงอิ่งแอบซ่อนกรงนกพิราบสื่อสารเอาไว้ในเรือนร้างที่อยู่ถัดจากเรือนนอนของนาง ตอนนี้เจ้าของกรงกำลังโบยบินไปสำรวจรอบๆ อำเภออย่างอิสระ นางแอบเอากรงมันเข้ามาซ่อนเอาไว้ก่อนแล้วค่อยคิดหาหนทางเรียกมันกลับมา อีกไม่นานนางต้องรายงานความคืบหน้าให้ ‘นายท่าน’ ได้ทราบ หญิงสาวถอดเสื้อผ้าลงแช่ในน้ำอุ่นพลางครุ่นคิดถึงวิธีจัดการกับพ่อบ้านที่ดูหูตาว่องไวและคอยจับผิดนางไม่วางตา

‘ไม่ว่าผู้ใดก็ล้วนมีจุดอ่อน...จงหามันให้เจอและใช้ประโยชน์ให้เต็มที่’ อาจารย์เงาของนางเคยกล่าวไว้

เมื่อทำความสะอาดร่างกายเรียบร้อยนางก็หอบเสื้อผ้าสกปรกเดินออกจากห้องอาบน้ำ สายตาพลันเหลือบเห็นพ่อบ้านที่ทุกคนเรียกว่า ‘เหล่าลู่’ นั่งมองนางมาจากเรือนตรงข้ามในระยะที่มองเห็นหน้าได้ชัด ในจวนนี้มีเขาคนเดียวที่พักเรือนนั้น

“เจิงอิ่งเจ้าอาบน้ำเสร็จแล้วหรือ? มา! มา! รีบมากินข้าวกันเถอะ เย็นนี้นายหญิงทำกับข้าวต้อนรับเจ้าเยอะแยะเลย”

“อ้อๆ ดีๆ ข้ากำลังหิวอยู่พอดี”

“ในจวนเราหากไม่มีแขกเข้ามาก็กินข้าวรวมโต๊ะกัน นายหญิงกับคุณหนูบอกว่าพวกเราเป็นครอบครัวเดียวกันจึงไม่ต้องแยกโต๊ะ แต่ถ้ามีผู้อื่นก็จำต้องทำตามมารยาท”

เจิงอิ่งรู้สึกอบอุ่นใจขึ้นมาวูบหนึ่ง ‘ครอบครัว’ ของนางไม่เหลืออีกแล้ว ชีวิตของนางเหลือแต่นายท่านเป็นหลักยึดเหนี่ยว ชีวิตของนางก็ได้นายท่านฉุดมาจากความตาย นางมีเพียงหน้าที่ต้องตอบแทนพระคุณ...แม้ว่าจะต้องแลกด้วยชีวิต!

*****************************