บท
ตั้งค่า

5. ก้าวสู่อดีต

*** ทักทายคร้า ไปสนุกกันต่อเลยจ้า ***

ย่านของคนมีอันจะกินในเขตกรุงเทพฯ บ้านหลังใหญ่สีขาวตั้งตระหง่านอยู่บนเนื้อที่หลายร้อยไร่ ปกคลุมด้วยความเขียวชอุ่มของพันธุ์ไม้นานาชนิด ทำให้อากาศร้อนในช่วงบ่ายกลับเย็นสบาย นายดนัย แดนสรวง เจ้าของธุรกิจด้านการโรงแรมชื่อดังในเมืองไทยเจ้าของบ้าน นั่งดูข่าวการต่างประเทศที่กำลังเสนอภาพนายพลฮัดซันออกเยี่ยมประชาชนด้วยความชื่นชม ขณะที่นั่งดูข่าวอยู่นั้นร่างโปร่งระหงของอมินตรา ก็สะพายกล้องและกระเป๋าเป้เข้ามานั่งข้างๆ

“อ้าว ยัยมิ้นทำไมกลับบ้านเร็วได้ละวันนี้” ดนัยเอ่ยทักทายหลานสาวที่รักเหมือนลูกในไส้ มือก็หยิบแว่นสายตาออกจากสันจมูก

“มิ้นไปทำข่าวที่ทำเนียบเสร็จก็กลับบ้านเลยค่ะคุณลุง” อมินตราตอบพลางวางกระเป๋าและกล้องลงข้างตัว “คุณลุงดูข่าวอะไรอยู่คะ”

“ดูข่าวนายพลฮัดซันอยู่น่ะ ปีนี้ดูท่านแก่ตัวลงไปเยอะ” ดนัยมองหน้าเนียนของหลานสาว อมินตรามองภาพข่าวนายพลฮัดซันกำลังโบกมือทักทายประชาชนสองข้างทางที่รถวิ่งผ่าน

“จริงด้วยค่ะ ท่านเป็นนักพัฒนาแบบนี้นี่เอง รัฐคีตะปัญจาถึงเจริญอย่างก้าวกระโดดแบบนี้”

“ใช่ ท่านเป็นนักปกครองและนักพัฒนาที่เก่งมาก พอรัฐคีตะปัญจาเจริญขึ้นทัดเทียมกับประเทศในแถบเอเชีย หลายคนก็อยากเป็นเจ้าของ ข่าวการลอบสังหารท่านจึงหลุดออกมาเป็นระยะ นี่ก็คงจะไม่พ้นฝีมือคนในนั่นแหละ” ดนัยบอกเสียงเรียบ

“คุณลุงพูดเหมือนรู้จักนายพลฮัดซันอย่างนั้นแหละ” อมินตราหันไปมองคนเป็นลุงด้วยความสงสัย ดนัยยกมือลูบศีรษะหลานสาวเบาๆ อย่างเอ็นดู หากดวงตายับย่นด้วยริ้วรอยตามวัยหม่นแสงลง

“มิ้นคงลืมไปแล้วว่าลุงเคยอยู่ที่นั่นมาก่อน แม่ของมิ้นก็เป็นอาจารย์สอนกฎหมายในมหา'ลัยของรัฐปาชาอีกต่างหาก” ดนัยบอกด้วยประกายหม่นเศร้า ความร้าวรานของน้องสาวที่ถูกความรักเล่นงานจนถึงขนาดยอมเป็นภรรยาลับๆ ของนายพลคนหนึ่งโดยไม่สนใจคำทัดทานของคนรอบข้าง และการก่อรัฐประหารของนายพลเวียงมินเมื่อหลายปีก่อน ทำให้หลานสาวคนนี้ต้องเป็นเด็กกำพร้าเพราะปรารถนาแม่ของอมินตรา ถูกกลุ่มรัฐประหารยิงเสียชีวิตขณะหลบหนีออกจากมหาวิทยาลัย เมื่อเหตุการณ์สงบดนัยก็พาครอบครัวและหลานสาวอายุเพียงสามเดือนเศษ กลับมาเมืองไทย เพราะไม่มีที่ไหนสงบและร่มเย็นเท่าเมืองไทยอีกแล้ว

“จริงด้วยสิคะ คุณลุงเล่าเรื่องในคีตะปัญจาให้มิ้นฟังอยู่บ่อยๆ แล้วคุณลุงพอจะรู้ไหมคะว่าทายาทคนไหนจะได้สืบทอดอำนาจต่อจากนายพลฮัดซัน”

“น่าจะเป็นคนน้องนะเพราะคนพี่ไปอยู่กับมาดามโซเฟียที่สิงคโปร์ตั้งแต่เด็ก ตอนนี้กลายเป็นนักธุรกิจทรงอิทธิพลของสิงคโปร์ไปแล้ว ว่าแต่มิ้นทำไมถึงสนใจเรื่องในคีตะปัญจาขึ้นมาละฮื้อ” ดนัยถามพลางวางหนังสือลงข้างตัว อมินตรามองคนเป็นลุงอย่างชั่งใจและภาวนาให้สิ่งที่เธอจะขอได้รับการตอบสนอง

“คือมิ้นว่าจะขออนุญาตคุณลุงไปทำข่าวที่รัฐคีตะปัญจาค่ะ” อมินตราบอกไม่เต็มเสียง แต่คนฟังลุกพรวดขึ้นทันทีที่ได้ยิน

“ไม่ได้ ลุงไม่อนุญาต” ดนัยตอบกลับทันทีอย่างไม่ต้องคิด อมินตราใจแป้วเมื่อเห็นสีหน้าเคร่งเครียดของดนัย หญิงสาวลุกขึ้นพร้อมกับส่งสายตาละห้อยไปให้

“มิ้นขอทำข่าวนี้เป็นข่าวสุดท้ายนะคะคุณลุง เสร็จแล้วมิ้นสัญญาจะลาออกมาช่วยงานพี่วินที่โรงแรมทันที” หญิงสาวเอาสิ่งที่คนเป็นลุงต้องการมาต่อลอง

“ยังไงลุงก็ยืนยันคำเดิม และเตรียมลาออกมาทำงานในฐานะหุ้นส่วนของโรงแรมด้วย ไม่อย่างนั้นลุงจะเอาหุ้นในส่วนของแม่เราขายทอดตลาด แล้วเอาเงินไปบริจาคให้การกุศล” พูดเสร็จดนัยก็เดินออกจากห้องไป

“แต่ลุงคะ” อมินตราพยายามจะอธิบายแต่ดนัยก็ไม่หยุดฟัง หญิงสาวถอนหายใจออกมายาวๆ อย่างหนักใจจนคนที่เดินเข้ามาในห้องโถงพากันชะงัก

“มีอะไรกันเหรอมิ้น เสียงดังไปถึงประตูเชียว”อนาวิน แดนสรวง ทายาทคนโตของบ้านแดนสรวงวัยสามสิบสองเดินเข้ามาในห้องโถงพร้อมกับคุณหมอพัชรินทร์น้องสาว

“ก็คุณลุงนะสิคะพี่วิน งอนมิ้นเดินหนีไปเลย” อมินตราบอกแล้วเดินไปทิ้งตัวลงบนโซฟา พัชรินทร์เดินมานั่งข้างๆ เพื่อถามไถ่

“พ่องอนพี่มิ้นเรื่องอะไรหรือคะ”

“พี่ขอไปทำข่าวในคีตะปัญจาซึ่งเป็นข่าวสุดท้ายก่อนที่พี่จะลาออก แต่ท่านไม่อนุญาต” อมินตราบอกอย่างหนักใจ แต่ยังไงเธอก็ต้องทำงานชิ้นนี้ให้ได้ พัชรินทร์หันไปสบตาพี่ชายแล้วจับมือเรียวขาวไปกุม

“ใจเย็นนะคะพี่มิ้น คุณพ่อคงเป็นห่วง เพราะสถานการณ์ที่นั่นไม่ปลอดภัยเท่าไหร่” พัชรินทร์ปลอบใจญาติผู้พี่ทั้งๆ ที่รู้จักบิดาดีว่าถ้าลองว่าไม่แล้วคงยาก

“พี่วินช่วยพูดกับคุณลุงให้หน่อยสิคะ มิ้นสัญญาเสร็จงานนี้จะลาออกจากงานข่าวไปช่วยพี่จริงๆ” อมินตราอ้อนทั้งแววตาและน้ำเสียง อนาวินเดินไปนั่งลงตรงข้ามกับสองสาวพร้อมกับถอนหายใจดังๆ

“เราสองคนน่าจะรู้จักคุณพ่อดี ลองว่าไม่แล้วคงยากอยู่”

“แบบนี้มิ้นก็อดนะสิคะ” อมินตราบอกอย่างผิดหวัง อนาวินมองญาติผู้น้องอย่างเห็นใจและรู้ดีว่าน้องสาวคนนี้มุ่งมั่นตั้งใจและรักอาชีพนักข่าวมากแค่ไหน ข่าวไหนเสี่ยงๆ และคนอยากรู้ อมินตราเป็นต้องได้ข่าวก่อนคนอื่นเสมอ นี่คือความสามารถที่ทำให้อมินตรากลายเป็นนักข่าวสายการเมืองมือดีของเมืองไทย

“พี่จะลองคุยกับท่านดู แต่ช่วงนี้มิ้นก็ทำตัวดีๆ ห้ามไปทำข่าวอะไรเสี่ยงๆ ให้ท่านต้องห่วงละ” อนาวินกำชับเสียงจริงจัง อมินตราทำแก้มป่องจนพัชรินทร์อดขำไม่ได้

“เจ้าค่าคุณพ่อคนที่สอง” อมินตราลากเสียงยาวก่อนจะลุกไปนั่งข้างๆ พร้อมกับแนบแก้มนวลกับต้นแขนแกร่ง “ขอบคุณนะคะพี่วิน”

“ไม่ต้องมาประจบเลยเรา เสร็จงานห้ามลืมสัญญาเด็ดขาด เพราะพี่อยากมีเวลาไปหาพี่สะใภ้มาให้เราสองคนด้วย” อนาวินดันศีรษะอมินตาออกห่าง

“ว้าว…ว้าว ถ้าเป็นอย่างนั้นพี่มิ้นรีบทำงานให้เสร็จเลยนะคะ ขืนช้าพี่วินขึ้นคาน เราสองคนก็อดเห็นหน้าพี่สะใภ้ไปด้วย” พัชรินทร์บอกอย่างตื่นเต้น ทำเอาคนที่ถูกกล่าวหาหน้าตึง

“น้อยๆ หน่อยยายพัช พี่หล่อเลือกได้จะบอกให้”

“เขามีแต่สวยเลือกได้ค่ะคุณพี่ แต่อย่าเลือกมากนักเดี๋ยวจะพาลขึ้นคานโดยไม่รู้ตัว” พูดจบพัชรินทร์ก็วิ่งออกจากห้องโถงด้วยความรวดเร็ว เพราะกลัวโดนมะเหงกของพี่ชายลงหัวเหมือนสมัยเด็ก อมินตราถึงกับปล่อยคิกออกมาเมื่อเห็นหน้าตูมของพี่ชาย มือบางนวดต้นแขนแกร่งเบาๆ อย่างเอาใจ

“พี่วินจะคุยกับคุณลุงเมื่อไหร่คะ”

“อีกวันสองวันก็แล้วกัน ขืนไปพูดตอนนี้ท่านคงไม่ให้แน่”

อมินตราพยักหน้าเห็นด้วย มือก็นวดต้นแขนอนาวินไปมาอย่างประจบ “มิ้นกับพัชโชคดีม้ากมากที่มีพี่ชายทั้งหล่อทั้งใจดีอย่างพี่วิน” หญิงสาวบอกเสียงสูง คนเป็นพี่รู้เล่ห์ของสองสาวดีก็ยกมือยีหน้าผากมนเบาๆ อย่างรักใคร่

“ไม่ต้องมาประจบเลยเรา ไปอาบน้ำอาบท่าได้แล้ว” แต่แทนที่คนถูกไล่จะไปกลับยกมือโอบบ่ากว้างและโยกไปมา อนาวินจั๊กจี้เลยเบี่ยงตัวออก “เฮ้ย…เฮ้ย ไม่ต้องมากอดพี่จั๊กจี้”

อมินตราหน้ามุ่ยก่อนจะลุกขึ้นยืน “ทีน้องนุ่งกอดทำเป็นหวงตัว ทีสาวๆ ละก็เชอะ..” หญิงสาวแกล้งทำเสียงแง่งอน อนาวินคลี่ยิ้มลุกขึ้นไปบีบสันจมูกเล็กรั้นเบาๆ

“ก็น้องกอดไม่อุ่นเหมือนสาวกอดนะสิ” ว่าแล้วร่างสูงเพรียวก็เดินผ่านหน้าไป อมินตราส่ายหน้าไปมาพร้อมกับรอยยิ้มเจือบนใบหน้า

แม้เธอจะกำพร้าที่รู้แค่เพียงชื่อของคนเป็นแม่ แต่ความรักความอบอุ่นในครอบครัว ทำให้ไม่รู้สึกขาดความรักเหมือนเด็กกำพร้าคนอื่นๆ และทุกครั้งที่เอ่ยถามถึงบิดาว่าเป็นใครอยู่ที่ไหน คำตอบที่ได้ก็คือความเจ็บช้ำและริ้วรอยของความทุกข์ระทมบนใบหน้าของคนเป็นลุง จนเธอไม่กล้าที่จะถามเพื่อสร้างสิ่งเหล่านั้นขึ้นมาอีก

*** ขอบคุณคร้า ***

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel