บท
ตั้งค่า

กู่เหมยฮวา บุตรีผู้เป็นที่รัก (2)

แต่นี่ไม่ใช่เวลามาขบคิดเรื่องศึกชิงบัลลังก์ ที่ต้องห่วงคือ ฮวาเอ๋อ บุตรีผู้เป็นที่รัก คิดได้เช่นนี้กู่จางหย่งไม่มีใจจะสนพิธีการหรือเชิญแขกให้นั่งต่อไปอีก

"แม่นางจาง เชิญอธิบาย" กู่จางหย่งเอ่ยเรียกว่าที่ฮูหยินแม่ทัพพระราชทาน อย่างให้เกียรติ แต่น้ำเสียงห้วน และกระด้างขัดหูคนถูกเรียกยิ่งนัก

จางหลีหลิว ก้าวมาข้างหน้าหนึ่งก้าว ยอบกายทำความเคารพ หน้าเชิดคอตั้ง กริยายังคงงดงาม ทว่าแฝงความเย่อหยิ่งวางตัวเหนือผู้อื่น 

"เรียนท่านแม่ทัพกู่ ทูลองค์ชายใหญ่ หม่อนฉันมาที่นี่เพื่อพบคุณหนูเหมยฮวา หวังสานไมตรีเยี่ยงมารดากับบุตรีก่อนงานพิธีสมรส" จางหลีหลิวหยุดพูด สูดลมหายใจลึก เพื่อเรียกสติ

ความรู้สึกเก้อกระดากตีตื้นขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ แต่นางเป็นใคร ยังมีผู้ใดกล้าตำหนิ กล้าลงโทษนางอย่างนั้นหรือ  เมื่อมั่นใจเช่นนี้จึงกล่าวต่อไปอย่างมั่นใจ

"หม่อมฉันเข้ามาภายในจวนเพราะไม่ต้องการรบกวนเวลาเล่นสนุกของคุณหนู  ไม่นานก็ถูกเด็กคนหนึ่งวิ่งมาชนเข้า เป็นเพียงเด็กใส่ชุดบ่าวรับใช้คนหนึ่ง เด็กนั่นร้องไห้ฟูมฟายมิยอมเอ่ยคำขอโทษ หม่อมฉันเห็นว่าที่นี่เป็นจวนท่านแม่ทัพ หากปล่อยให้บ่าวไพร่ไร้มารยาท วันหน้าอาจทำให้ขายหน้าได้ หม่อมฉันจึงให้สาวใช้ลงโทษ ไม่คิดว่าเด็กคนนั้นคือ คุณหนูเหมยฮวาเพคะ"

สตรีนางนี้ช่างไร้ยางอาย ด้าน!!! หน้าด้านเกินไปแล้วจริงๆ

"ฮึ!!!" จางเหว่ย และ หวังเหว่ย แค่นเสียงคำหนึ่งขึ้นพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย 

กู่จางหย่ง หันไปตำหนิด้วยสายตา แต่บุตรทั้งสองก็หาได้สนใจไม่ ด้วยรู้ว่าไม่ว่าเรื่องใดที่เกี่ยวกับ น้องสาวเพียงคนเดียวของพวกเขา บิดาไม่มีทางปล่อยผ่านไปโดยง่าย

"แม่นางจาง เป็นเพราะท่านไม่เคยพบฮวาเอ๋อ ที่ไม่รู้ว่าเป็นนางข้าพอเข้าใจได้ และจริงที่เสด็จพ่อทรงพระราชทานสมรสให้ท่านแต่งให้ท่านลุงกู่ แต่ยังมิได้แต่งมิใช่หรือ แล้วท่านอาศัยอันใดมาอบรมบ่าวในเรือนแม่ทัพเล่า" จ้าวหลี่จิ้นถามอย่างตำหนิ

สตรีผู้นี้เย่อหยิ่งบนความโง่เขลา รู้ว่าฮวาเอ๋อคือ บุตรีที่ท่านแม่ทัพรักใคร่เอ็นดูเป็นที่สุด แม้แต่คำเรียกขานยังไม่สำรวม ยังหวังตำแหน่งฮูหยินแม่ทัพได้อีกหรือ

เมื่อถูกจ้าวหลี่จิ้นตำหนิอย่างไม่ไว้หน้า จางหลีหลิวดวงตาสั่วไหว มือกำแน่นจนรู้สึกเจ็บ จึงได้สติ คิดเล่นงานนาง คิดว่านางเป็นใครกัน

"ทูลองค์ชายใหญ่ ถึงอย่างไรงานมงคลย่อมเกิดขึ้น นี่เป็นราชโองการ ไม่ว่าใครก็มิอาจเปลี่ยนแปลง หากแค่อบรมบ่าวไพร่ในเรือนยังทำได้ไม่ดี หม่อมฉันจะกล้าสู้พระพักตร์ฮองเฮาได้หรือเพคะ" จางหลีหลิวยังคงพูดด้วยท่าทางนอบน้อมไม่เปลี่ยน

ทว่าความหมายในคำพูดนั้น มิใช่ต้องการประกาศความสำคัญของตนในใจจางฮองเฮาเพียงอย่างเดียว ยังข่มขู่แม่ทัพกู่ด้วยราชโองการของฮ่องเต้อีกด้วย

"เจ้า!!!" จ้าวหลี่จิ้นยกนิ้วเรียวขึ้นชี้หน้า จางหลีหลิว ก่อนจะสะบัดมือลง แล้วหันมามองแม่ทัพกู่ที่ยืนฟังนิ่ง ไม่แสดงท่าทีใดๆ 

เมื่อเห็นจ้าวหลี่จิ้นโกรธจนหน้าเปลี่ยนสี กู่จางหย่งถอนหายใจเฮือกหนึ่ง เมื่อเป็นเช่นนี้เขาจะยังมีทางเลือกอื่นให้เดินอีกหรือ 

"องค์ชายใหญ่ อย่าทรงกริ้ว ที่แม่นางจางพูดมาก็ถูก เรื่องนี้ข้าน้อยจะกราบทูลฮ่องเต้เองพ่ะย่ะค่ะ" กู่จางหย่งเอ่ยตัดบท หากยังโต้เถียงกันไป จะยิ่งก่อให้เกิดรอยแผลใหญ่ขึ้น ไม่ว่าทางใดก็ไม่เป็นผลดีกับคนตระกูลกู่ทั้งสิ้น

"แต่...ท่านพ่อ!!!" จางเหว่ย และ หวังเหว่ย พูดขึ้นพร้อมกันอีกครั้ง ไม่คิดว่าบิดาจะยอมให้เรื่องจบง่ายถึงเพียงนี้ 

"ไม่มีแต่!!! หรือพวกเจ้าไม่เชื่อฟังคำพ่ออย่างข้าแล้ว" กู่จางหย่งตวาดเสียงลั่น ทำให้คนในห้องไม่มีใครกล้าเปิดปากอีก

"อ๊ากกกกกก!!!" 

เสียงเล็กแผดขึ้นดังลั่น เรียกความสนใจจากคนทั้งหมดให้หันไปมองที่เตียง

เสียงใครดังหึ่งๆ รบกวนเวลานอนกันเนี่ย เหมยกุ้ยฮวาค่อยๆ รวบรวมสติอันน้อยนิดเข้าด้วยกันจึงพลันรู้ตัว ไม่สิ เธอตกเขา ใช่!!! เธอตกเขาตอนที่พยายามปีนไปเก็บตัวอย่างสมุนไพรหายากตัวหนึ่ง ความรู้สึกเจ็บแปลบทั่วร่างพลันแจ่มชัดขึ้น เจ็บที่สุดน่าจะเป็นที่ศีรษะ ตกเขาแล้วไม่ตายหรือนี่ สวรรค์เห็นใจเธอบ้างแล้วจริงๆ 

ตาเรียวเล็กเปิดปรือขึ้น แสงจ้าทำให้เหมยกุ้ยฮวาต้องกะพริบตาถี่ๆ เพื่อปรับการมองเห็น ภาพเสาเตียงที่มีผ้าระโยงระยางปรากฏชัดขึ้น ทำไมไม่มีสายน้ำเกลือ หรือเครื่องมือกู้ชีพอยู่ใกล้ๆ เลยล่ะ 'ที่นี่ไม่ใช่โรงพยาบาลหรือ'  ความรู้สึกแปลกๆ ทำให้เธอตั้งใจฟังเสียงพูดคุยกัน เหมือนดังหึ่งๆ อยู่ในคราแรก เริ่มชัดเป็นคำขึ้นแล้ว 

เสียงที่ได้ยินเป็นคำพูดประหลาดเหมือนที่เธอเคยเรียนมา 'นี่คงไม่ใช่ คำสั่งเสียของบรรพบุรุษเป็นจริงขึ้นมาหรอกนะ' เหมยกุ้ยฮวาพยายามขยับตัว แต่รู้สึกเจ็บมากเกินไป ในใจร้องขึ้นว่า 'ซวยแล้ว'  ซ้ำๆ นี่มันเรื่องบ้าบอคอแตก แหวกกฎ ฟิสิกส์ เคมี หลุมดำ ควอนตัม นิวเครียส อะตอม ที่เธอเคยศึกษาไปทั้งหมด เธอข้ามมิติเวลามาแล้วจริงๆ เธอขอถอนคำพูดที่สวรรค์เห็นใจเธอ ถอน!!! ถอนออกให้หมด

หลังจากพยายามตั้งสติ รวบรวมกำลังใจอยู่พักหนึ่ง เหมยกุ้ยฮวา ก็สงบสติตัวเองลงได้ เธอเตรียมตัวมาเพื่อสิ่งนี้ เพราะบันทึกตกทอดจากบรรพบุรุษเล่มนั้นเล่มเดียว ที่ระบุ วัน เดือน ปี เกิดของเธอ ตั้งชื่อไว้ให้เธอ และกำหนดให้เรียนวิชาโบราณที่แสนน่าเบื่อทุกอย่าง ต้องท่องจำ สามเชื่อฟังสี่จรรยาของสตรี ศาสตร์ศิลป์ทั้งสี่ พิณ หมาก อักษร วาดภาพ ต้องเชี่ยวชาญ เพื่อวันนี้ ทุกอย่างเพื่อวันนี้ และแล้ววันนี้ก็มาถึง เธอต้องอยู่ต่อไป ใช้ชีวิตให้ดี รักษาต้นสกุลให้อยู่รอดปลอดภัย เหมยกุ้ยฮวาบอกกับตัวเอง

ในนิยายย้อนอดีตที่เคยอ่านมา นางเอกมักย้อนเวลามาเป็นสาวงามล่มแคว้น วัยไม่เกินสิบห้า แล้วเธอเล่า คิดแล้วจึงยกมือทั้งสองข้างขึ้นมามองดู พลันดวงตาของเหมยกุ้ยฮวาต้องเบิกกว้างด้วยความตกใจ นะ...นี่มัน....นี่มัน....

"อ๊ากกกกกก!!!!"

เสียงเล็กแผดขึ้นดังลั่น เรียกความสนใจจากคนทั้งหมดให้หันไปมองที่เตียง

"ฮว่าเอ๋อ!!!"

"คุณหนู" เสียงเรียกร้อนรนดังขึ้นพร้อมกัน

กู่จางหย่งก้าวรวดเร็วที่สุด ตามด้วยจ้าวหลี่จิ้น จางเหว่ย และ หวังเหว่ย ด้วยทั้งสี่คนมีวรยุทธ จงหลิวก้าวมาถึงเตียงก็ถูกล้อมจนปิดทางหมดเสียแล้ว จึง กระแอมคราหนึ่ง เพื่อให้คนร้อนใจทั้งหมดเปิดทางให้ เมื่อได้สติสี่คนที่มาถึงเตียงก่อนต่างถอยหลบไปคนละก้าวเปิดทางให้ จงหลิวเข้าไปตรวจดูอาการฮวาเอ๋อ 

ร่างเล็กบนเตียงถอยกรูดจนติดด้านใน ผ้าพันศีรษะมีรอยสีแดงขยายวงใหญ่ขึ้น เหมือนการขยับตัวรวดเร็วจะทำให้แผลกระเทือนจนปริออก แววตาสั่นไหวหวาดกลัว ขดตัวจนสั่นราวกับลูกนก สายตาเคลือบแคลงระแวดระวัง ทำให้บุรุษทั้งห้างุนงง เหตุใดฮวาเอ๋อจึงมาท่าทางเช่นนี้ 

"คุณหนู ข้าจงหลิวเป็นหมอ ขอตรวจดูอาการหน่อยจะได้หรือไม่" จงหลิวเอ่ยอย่างอ่อนโยน มือเหี่ยวย่นตามวัยยื่นออกไปรออย่างคาดหวัง แม้เห็นถึงความผิดปกติ แต่เขาต้องการตรวจดูให้แน่ใจเสียก่อน ไม่อาจรีบด่วนสรุปได้

เหมยกุ้ยฮวาตกใจที่เห็นมือป้อมๆ เล็กจ้อยของตัวเองจึงร้องออกมาเสียงดัง ยังไม่ทันได้ตั้งสติก็มีผู้ชายมารุมล้อมจึงถอยหนี แต่ชายชราที่บอกว่าตัวเขาเป็นหมอ ดูสุภาพและใจดี น่าจะพอไว้วางใจได้ จึงขยับตัวค่อยๆ ยื่นมือออกไป

กู่จางหย่งเห็นท่าทางของบุตรีก็แทบสิ้นสติ ท่าทางหวาดกลัวเช่นนี้ มิใช่....มิใช่!!! 

"ฮวาเอ๋อ เจ้าจำพ่อได้หรือไม่" ความหวาดหวั่นทำให้กู่จางหย่งโพล่งคำถามออกไป ใจภาวนาขอให้อย่าเป็นเหมือนที่คิด มือหนาหยาบคว้ามือเล็กที่ยื่นออกมายังไม่ถึงมือจงหลิวไว้ 

เหมยกุ้ยฮวาดึงมือออกทันที ถอยกลับไปอยู่ด้านในสุดของเตียงอีกครั้ง พ่อหรือ พ่อใครเล่า!!! 

กู่จางหย่งเซถอยหลัง กู่จางเหว่ยรีบเข้ารับร่างบิดา หันไปสบตากับ จ้าวหลี่จิ้น และกู่หวังเว่ย ก่อนประคองให้ร่างซวนเซของกู่จางหย่งให้เดินไปนั่งที่โต๊ะกลางห้อง สองคนที่เหลือตามมา ปล่อยให้จงหลิวตรวจดูอาการฮวาเอ๋อตามลำพัง เพื่อไม่ให้นางกลัว

จงหลิวเริ่มต้นตรวจชีพจรเหมยกุ้ยฮวาอีกครั้ง พันแผลบนศีรษะให้นางใหม่ ก่อนสอบถามถึงความทรงจำของนางอีกหลายคำถาม ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นคำถามที่ เหมยกุ้ยฮวาตอบไม่ได้ หรือจะพูดให้ถูกคือนางไม่ตอบเอาแต่ส่ายหน้า จงหลิวจึงได้ข้อสรุปจากอาการป่วยของนาง

เหมยกุ้ยฮวา เลือกที่จะไม่พูด เพราะยังไม่คุ้นชินกับการใช้ภาษาแปลกๆ ถึงแม้จะเรียนมาแต่ก็ไม่ใช่ภาษาที่ใช้ในชีวิตประจำวัน เพื่อไม่ให้เป็นที่ผิดสังเกต เธอจึงแกล้งไม่พูด เป็นใบ้ไปก่อนสักช่วงหนึ่งแล้วกัน ปรับตัวได้เมื่อไหร่ค่อยพูดก็ไม่สาย

จงหลิวเดินออกมานั่งที่โต๊ะกลางห้อง สีหน้าไม่สู้ดี เขียนใบสั่งยาส่งให้พ่อบ้านหลี่ ก่อนจะหันมาสบตากับกู่จางหย่ง ถึงแม้ไม่อยากเอ่ย แต่ก็จำเป็นต้องบอกให้ผู้เป็นบิดาของฮวาเอ๋อเข้าใจ จะได้ดูแลกันอย่างถูกต้องต่อไป

"ท่านแม่ทัพ..." จงหลิวเว้นช่วงเพื่อเรียบเรียงคำพูด 

"ศีรษะของคุณหนูถูกกระแทกอย่างแรง ทำให้ความทรงจำหายไป ตอนนี้แม้แต่วิธีพูดก็ยังไม่รู้" จงหลิวถอนหายใจเฮือกหนึ่ง

ทุกคนที่ได้ฟังล้วนมีสีหน้าตกใจ ส่วนบุรุษตระกูลกู่ นั้นโกรธจนหน้าเดี๋ยวแดงเดี๋ยวเขียวไปแล้ว

"นางจะหายหรือไม่" กู่จางหย่งเอ่ยถามอย่างคาดหวัง

"ข้ามิอาจบอกได้ ต้องแล้วแต่สวรรค์เมตตาแล้ว ให้คุณหนูพักผ่อนให้มาก กินยาตามที่ข้าจัดให้อาการปวดบวมช้ำจะทุเลาภายในสามวัน โปรดให้คนเฝ้าคุณหนูอย่างใกล้ชิด ระวังพิษไข้ด้วย หากมีอะไรให้คนไปข้าได้ ข้าขอตัวลาก่อน" จงหลิวรีบเอ่ยลาด้วยไม่อยากเห็นความทุกข์ใจของกู่จางหย่ง 

บิดารักใคร่บุตรีเช่นนี้ จะทำใจยอมรับว่าลูกตัวเองสติเลอะเลือนได้เช่นใดเล่า

"ขอบคุณท่านหมอจง หลี่มามาส่งท่านหมอจงด้วย"

กู่จางหย่งลุกขึ้นคารวะจงหลิวคราหนึ่ง ก่อนหันไปมองร่างเล็กที่ยังคงขดตัวอยู่บนเตียง จงหลิวกับหลี่มามาออกไปแล้ว ความโกรธของกู่จางหย่งก็ประทุขึ้นมาอีกระลอก หันไปมองจางหลีหลิวด้วยสายตาแข็งกร้าว มือหยาบหนากำแน่นจนสั่น 

"เชิญแม่นางจางกลับไปเถิด ข้าไม่ส่ง" กู่จางหย่งพูดเร็วรัว แล้วหันหน้าไปอีกทาง 

จางหลีหลิวร้อนรนก้าวขึ้นหน้ามาหมายจะเอ่ยคำ ก็ถูก จางเหว่ย และ หวังเหว่ย หน้าตาถมึงทึง มุมปากกระตุก ขวางทางไว้ เสียก่อน นางจึงทำได้เพียงสะบัดแขนแล้วเดินออกไปด้วยความไม่พอใจ

กู้จางหย่ง จางเหว่ย และ หวังเหว่ย รวมทั้ง จ้าวหลี่จิ้น มอง ร่างเล็กที่นั่งเหม่อลอย ด้วยใจเจ็บปวด 

"ท่านพ่อ ฮวาเอ๋อสติเลอะเลือนจริงๆ หรือ" เป็น กู่หวังเหว่ยที่ทนไม่ไหว จึงถามบิดาอย่างร้อนรน แต่ไม่มีคำใดๆ ตอบกลับมา

บนเตียงร่างเล็กนั่งเหม่อ ใจคิดลำดับเหตุการณ์ ตั้งแต่ขึ้นเขาไปจนถึงพลาดตกเขา ยังนึกย้อนถึงสมุดบันทึกของบรรพบุรุษว่ามีเขียนสิ่งใดไว้บ้าง พ่อแม่ พี่ชาย มีบอกไว้หรือเปล่านะ จะใช้ชีวิตต่อไปยังไงถ้าไม่รู้อะไรเลยแบบนี้ ระหว่างกำลังนั่งคิดเพลินๆ กลับได้ยินคำว่า 'สติเลอะเลือน' ก็หันไปมองคนพูดปราดหนึ่ง เจ้าเด็กน่าตายนี่ว่าใครสติเลอะเลือน แค่แกล้งเป็นใบ้ ฉันไม่ได้เป็นบ้า!!!

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel