ตอนที่ 4 เจอกันอีกแล้วนะคะ
แสงสีของเมืองหลวงตกกระทบผ่านกระจกรถยนต์คันหรูขณะที่กำลังแล่นไปตามถนนเส้นใหญ่ด้วยความเร็ว กิตติภพกดคันเร่งหนักขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อต้องการไปถึงคลับของตนให้เร็วที่สุด ต้องไปถึงที่นั่นก่อนที่ไอ้ตี๋น้อยของเขามันจะขยายใหญ่จนน้องสาวสังเกตเห็น
“เฮียตี๋...ขับเร็วเกินไปหรือเปล่า” กีรติถามด้วยน้ำเสียงหวั่น ๆ ปกติเวลาเธอนั่งรถกับพี่ชาย เขาไม่เคยขับเร็วแบบนี้
“เฮียแค่กลัวไอ้พวกนั้นไปถึงร้านก่อนแล้วไม่เจอเราน่ะ เลยต้องขับเร็วหน่อย”
มันเป็นเหตุผลหรือจะเรียกว่าข้ออ้างที่ฟังขึ้นที่สุดแล้วในตอนนี้
กว่าชั่วโมง รถก็เลี้ยวเข้ามาหน้า Just Play Club ตึกสีดำที่ถูกวาดลวดลายกราฟฟิคทันสมัยดูโดดเด่นกว่าทุกอาคารที่ตั้งอยู่บริเวณเดียวกัน เครื่องยนต์ดับสนิท กีรติก็รีบเปิดประตูรถลงไปก่อนใคร ตามด้วยเป่าเป้ย แต่ผู้เป็นเจ้าของสถานที่ยังนั่งนิ่งอยู่ในรถเช่นเดิม จนน้องสาวตัวยุ่งต้องเดินมาเคาะกระจกรถฝั่งคนขับ
“เฮียตี๋...ทำไมไม่ลงมา” กีรติถามพร้อมสีหน้างุนงง ดูเหมือนวันนี้พี่ชายของเธอจะทำตัวแปลก ๆ ชอบกล
“พาเพื่อนเข้าไปก่อนเลยหมวย พี่ขอโทรศัพท์หาไอ้พวกนั้นแป๊บหนึ่ง”
“โอเคค่ะ เจอกันข้างในนะเฮีย”
กิตติภพพยักหน้ารับพร้อมกับทำมือให้เข้าไปด้านในก่อน เมื่อน้องสาวพาเธอคนนั้นเดินห่างไปแล้ว ลมหายใจก็ถูกควบคุมปรับจังหวะให้สม่ำเสมอมากขึ้นเพื่อผ่อนคลายตัวเอง อย่างน้อย ๆ ก็ต้องทำให้ไอ้สิ่งที่เป็นปัญหาอ่อนตัวลงก่อน และใช้เวลากว่าห้านาทีทุกอย่างถึงสงบลง...
“สวัสดีครับเสี่ย” ศีรษะของพนักงานชายโค้งลงเล็กน้อยเพื่อเป็นการทักทายผู้เป็นเจ้าของร้านที่เดินเข้ามาด้านใน
“สวัสดี...แล้วนี่ทุกอย่างเตรียมพร้อมหรือเปล่า” กิตติถามพลางใช้สาบตากวาดมองรอบ ๆ ร้านของตัวเองที่วันนี้ปิดให้บริการเพื่อเลี้ยงฉลองต้อนรับน้องสาวเพียงคนเดียว
“พร้อมครับ พนักงานทุกคนเตรียมทุกอย่างไว้เรียบร้อยเหมือนกับตอนเปิดร้านปกติเลยครับ”
“ดี...ถ้างั้นก็ไปทำหน้าที่ของตัวเองเถอะ”
กิตติภพเดินตรงไปยังโซฟาที่ตอนนี้น้องสาวและเพื่อนสนิทนั่งรออยู่ก่อนแล้ว ร่างสูงหย่อนตัวลงตรงข้ามกับคนทั้งสอง โชคดีที่ร้านของเขากว้างพอที่จะทำให้กลิ่นหอม ๆ จากตัวเธอกระจายไปทั่วจนเจือจางแทบไม่ได้กลิ่น เลยทำให้ร่างกายของเขาในตอนนี้ไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไร
ไม่นานนัก ภัทรกรก็มาถึง ตามมาด้วยธีร์ธวัชที่มาพร้อมเด็กในปกครอง
เมื่อทุกคนมากันพร้อมหน้า กีรติผู้เป็นเจ้าของงานในวันนี้ก็ลากเพื่อนสนิทและสายขิมไปนั่งยังเคาน์เตอร์บาร์ และทันทีที่สามสาวไปนั่งตรงอื่น พวกเขาทั้งสามคนก็เริ่มพูดคุยกันตั้งแต่เรื่องของธีร์ธวัช ภัทรกร จนสุดท้ายมาถึงตัวคนที่เป็นเจ้าของร้าน
“สเปกมึงเลยไม่ใช่เหรอไอ้ตี๋ เพื่อนน้องหมวยน่ะ” ธีร์ธวัชพูดขึ้นขณะที่ยกแก้วเครื่องดื่มกระดกเข้าปาก
“เด็กไป ไม่ใช่สเปกกู” กิตติภพตอบ หากเธออายุสัก 25 ปี คงกำลังพอดี ห่างกันสิบปีไม่มากเท่าไหร่ แต่นี้...เล่นห่างกันตั้งสิบกว่าปี เดินควงไปไหนคนคงคิดว่าเป็นลูกสาว
“อายุเป็นเพียงแค่ตัวเลข ไม่มีปัญหาหรอก” ภัทรกรพูดเสริม
“พวกมึงนี่ยังไง ชอบแดกเด็กก็แดกไป แต่กูไม่ชอบ” คนโดนยุยังยืนยันคำหนักแน่น แล้วเรื่องพูดคุยก็เปลี่ยนเป็นเรื่องอื่นแทน
“เป้ย ๆ แกช่วยจัดการเฮียตี๋ให้หน่อยดิ ฉันจะไปหาพี่กรหน่อย ทำยังไงก็ได้ห้ามให้เฮียตี๋ไปเข้าห้องน้ำ”
เพื่อนใช้นิ้วสะกิดตรงหัวไหล่แล้วพูดคุยแค่พอได้ยินกันสองคน พลางพยักเพยิดหน้าไปทางห้องน้ำที่มีคนที่เพื่อนหมายปองเดินเข้าไปด้านใน
เพื่อนกันมองตาก็รู้ใจ เป่าเป้ยยิ้มให้พร้อมพยักหน้า
“ยังไงก็ได้เหรอ...ได้เลย เดี๋ยวเพื่อนจัดให้”
สองสาวแปะมือกันเบา ๆ ก่อนที่กีรติจะลุกเดินไปทางห้องน้ำ แล้วเธอก็ชวนสายขิมกลับมายังโซฟาที่หนุ่ม ๆ นั่งอยู่
สายขิมทิ้งตัวลงนั่งตามแรงดึงของคนที่คล้าย ๆ จะเป็นผู้ปกครอง ส่วนเธอ...ก็หย่อนตัวลงนั่งบนโซฟาข้างพี่ชายของเพื่อนสนิทโดยที่ไม่คิดจะขออนุญาต
“เจอกันอีกแล้วนะคะ...เฮียตี๋” เป่าเป้ยทักทายชายหนุ่มที่ดูเหมือนไม่อยากจะนั่งอยู่ตรงนี้สักเท่าไหร่นัก นัยน์ตาเซ็กซี่จ้องมองเขาอย่างไม่คิดจะปิดบังความรู้สึก พลางเอื้อมไปหยิบแก้วของตัวเองขึ้นดื่ม
กิตติภพยังคงนิ่งเงียบ เมื่อกี้เพราะนั่งกันอยู่คนละฝั่งและยังมีโต๊ะกั้นกลาง ทำให้เขาไม่ได้กลิ่นน้ำหอมบนตัวเธอ แต่ในตอนนี้...ร่างเล็กกลับมานั่งเบียดชิดใกล้จนทำให้ไอ้สิ่งที่เขาไม่ต้องการได้กลิ่นลอยเข้าจมูกเต็ม ๆ
หันไปหาเพื่อนสนิทของตัวเองเพื่อจะขอความช่วยเหลือ แต่ธีร์ธวัชก็เอาแต่สนอกสนใจเด็กในปกครอง ไม่ชายตามองมาทางเขาแม้แต่นิดเดียว
“ไปนั่งที่ของตัวเอง” เสียงเข้ม ๆ เปรยขึ้น
“ทำไมคะ หนูนั่งใกล้เฮียไม่ได้เหรอ หรือว่ารังเกียจ”
ยิ่งห้าม ก็เหมือนยิ่งยุ เขาบอกให้เธอไปนั่งไกล ๆ แต่อีกฝ่ายกลับเขยิบเข้ามาและแน่นอนว่าดวงตาที่เป็นประกายแวววับอยู่นั้นไม่ได้ปิดบังความรู้สึกของตนเองแม้แต่น้อย เขาผ่านผู้หญิงมาก็มาก แค่แวบเดียวก็รู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่
“เคยบอกแล้วใช่ไหมว่าเธอไม่ใช่สเปก รู้แล้วก็ไม่ต้องพยายาม เพราะถึงจะเป็นเพื่อนสนิทยัยหมวย ฉันก็ไม่ได้ให้สิทธิพิเศษหรอกนะ”
‘ช่างเป็นผู้หญิงที่แปลกคน’ กิตติภพได้แต่นึกอยู่ในใจ โดนเขาปฏิเสธขนาดนี้แล้วแต่เธอกลับยังนั่งยิ้ม สายตาที่มองมานั้นดูมั่นอกมั่นใจ
“เฮียจะไม่ลองเปิดโอกาสให้หนูได้จีบก่อนเหรอคะ ไม่แน่ว่า...เด็ก ๆ อย่างหนูอาจจะทำให้เฮียกระชุ่มกระชวยมากขึ้นก็ได้นะ”
เด็กสมัยนี้มันยังไง ชอบผู้ชายคนไหนก็จีบโต้ง ๆ แบบนี้ได้เลยเหรอ แล้วไอ้ลูกชายที่นอนอยู่ใต้กางเกงก็เริ่มทำตัวเกเรอีกแล้ว กิตติภพเขยิบตัวให้ห่างเธออีกนิดแล้วก็ได้ยินเสียงหัวเราะคิกดังแทรกขึ้นมาท่ามกลางเสียงเพลงที่ยังดังอยู่ไม่หยุด
“ขำอะไร” เขาเอ่ยถาม ปรายสายตาคมเข้มมองเขม็ง
“เฮียกลัวหนูเหรอ” เจ้าของคำถามยิ้มยั่วก่อนจะพาตัวเองเขยิบตามเขามาด้วย
“ฉันบอกว่าให้เธอไปนั่งที่ตัวเองไง” เขาไม่ได้กลัวการรุกจีบของเธอแม้แต่น้อย แต่สิ่งที่กลัวในตอนนี้ก็คือกลิ่นน้ำหอมแปลก ๆ ที่ทำให้ร่างกายของเขาปั่นป่วนต่างหากล่ะ
มันหอม...และยั่วยวน แม้ว่าเธอจะไม่ได้ทำอะไรเลยก็ตาม แต่ร่างกายของเขาแทบจะควบคุมไม่ได้ มันแปลกตรงมีเพียงเขาที่รู้สึกแบบนี้ ทั้งภัทรกรและธีร์ธวัชเหมือนไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว
“เฮียไม่แปลกใจเหรอคะ ว่าทำไมวันนั้นที่ร้านอาหารหนูถึงไปอยู่ที่หน้าห้องน้ำ” เป่าเป้ยพูดขึ้นอีกครั้ง ดวงตาคู่สวยจับจ้องคู่สนทนาไม่ละไปไหน เสือน่ะ ชอบเหยื่อที่อ่อนแอ แต่เธอจะเป็นเหยื่อที่ไล่ล่าเสือตัวนี้เอง
“ไม่ แล้วฉันก็ไม่อยากรู้ด้วยว่าทำไม”
“แต่หนูอยากบอก” คำพูดเจือเสียงหัวเราะเล็ก ๆ ทำเอาเขาสับสนไปหมดแล้วในตอนนี้ “หนูน่ะ รู้จักเฮียมาตั้งหนึ่งปีแล้วนะคะ ผ่านรูปถ่ายที่หมวยเอาให้ดูบ่อย ๆ”
นั่นไง...ว่าแล้วเชียว เพราะน้องสาวตัวแสบนี่เองที่เอาพี่ชายไปขายให้เพื่อน ถึงว่า...ทำไมตอนที่เจอกันครั้งแรกเธอถึงได้กล้าเข้ามาขอทำความรู้จัก ทั้งที่หน้าตาของเขาก็ไม่ได้แสดงออกมาว่าเป็นมิตรขนาดนั้น
“นั่นมันเรื่องของเธอ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับฉันแม้แต่นิดเดียว และอีกอย่าง ฉันยังยืนยันคำเดิมว่าเธอไม่ใช่สเปก และไม่มีวันที่จะใช่ด้วย อย่าเสียเวลาเลย”
คิดว่ามันคงเป็นคำปฏิเสธที่ชัดเจนที่สุดแล้ว ไม่ได้ให้ความหวังหรือเปิดทางให้สานต่อแม้แต่นิดเดียว
“ถ้างั้น...ให้หนูลองจีบเฮียก่อนไม่ดีเหรอคะ เผื่อว่าวันใดวันหนึ่งเฮียจะเปลี่ยนใจ”
แต่ยิ่งเขากระเถิบถอย คนข้าง ๆ ก็ยิ่งเขยิบเข้ามาใกล้ มันใกล้เสียจนตอนนี้เขาเริ่มควบคุมไอ้ตี๋น้อยไว้ไม่ได้แล้ว
“งั้นเหรอ...ตามใจเธอสิ น้ำตาเช็ดหัวเข่าทีหลังฉันไม่รับผิดชอบนะบอกไว้ก่อน” ตามน้ำไปก่อนแล้วกัน อย่างน้อย ๆ มันอาจจะทำให้เธอกลับไปนั่งที่ตัวเองได้
“ไม่แน่นอนค่ะ หนูมั่นใจ” เมื่อได้สิ่งที่ต้องการ เป่าเป้ยก็ลุกจากโซฟาไปนั่งยังที่เดิม พอดีกับที่กีรติกลับมา
///////////////////////////////////////////////////////
