ตอนที่ 04 ชอบรุ่นพ่อ ไม่ใช่รุ่นพี่ (2)
“ไอ้ไม นั่นๆ คนนั้นไง”
เสียงของผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้นด้านหลังจนฉันกับจินต้องหันไปดู ก็เห็นว่าเป็นพวกนักฟุตบอลที่กำลังเดินตามหลังพวกเราออกมา คงจะไปห้องพักนักกีฬาที่อยู่ด้านนอกนี้
ฉันรีบหันกลับมาเมื่อสายตาดันประสานเข้ากับดวงตาคู่คมของใครบางคนที่มองมาทางพวกเราพอดี ความมั่นใจมันหล่นหายไปอีกแล้วเวลาที่เห็นเขา เห็นสายตาของเขาที่กำลังมองกันแบบนั้น
“น้องคณะมึงไม่ใช่เหรอ ทำไมจะไม่รู้จัก” รุ่นพี่คนนั้นยังคงพูดต่อ
“แล้วไง”
“มึงไม่ช่วยใช่ไหม เออ เดี๋ยวกูถามน้องเขาเองก็ได้”
ฉันไม่ได้คิดเข้าข้างตัวเองนักหรอกแต่รู้สึกเหมือนพวกเขากำลังพูดถึงฉันหรือไม่ก็ยัยจินอยู่แน่ๆ เพราะตอนนี้ก็มีพวกเราที่กำลังเดินอยู่รอบริเวณนี้ จะมีพวกผู้หญิงอีกกลุ่มอยู่ด้านหน้าแต่พวกนั้นไม่ใช่คณะเดียวกับเรา
จนเราสองคนเดินมาถึงรถที่จอดอยู่หน้าห้องพักของนักกีฬาก็เป็นจังหวะเดียวกับที่ใครบางคนวิ่งมาขวางด้านหน้าเอาไว้ เขาสวมชุดแบบเดียวกับพี่ไม่เนอร์ต่างกันแต่เลขที่ติดบนนั้น
“น้องระริน”
“คะ”
“พี่ขอไลน์หน่อยได้ไหมครับ” หนุ่มรุ่นพี่เอ่ยพร้อมกับรอยยิ้ม ท่าทางของเขาเองก็ดูจะเจ้าชู้ไม่เบาเพราะรอยยิ้มความขี้เล่นมันแสดงออกมาอย่างนั้นจริงๆ เขาแสดงออกทางสีหน้าแต่กับอีกคนนั้นไม่ใช่
“เขาไม่ชอบมึงหรอก” ใครบางคนที่ฉันกำลังคิดเปรียบเทียบอยู่นั้นเปรยขึ้นจากด้านหลังจนฉันกับยัยจินที่ยืนเงียบอยู่นั้นต้องหันไปมอง
“อีกแล้วนะมึงหรือว่ามึงก็ชอบน้องเขาครับ”
เขาปรายตามามองก่อนจะแสยะยิ้มกวนๆ แล้วหันไปบอกเพื่อนตัวเอง
“เขาชอบรุ่นพ่อ รุ่นพี่อย่างมึงน้องเขาไม่เอาหรอก” พูดจบเขาก็หันมามองฉันอีกครั้งพร้อมกับสีหน้าเรียบเฉย
แล้วคนร่างสูงก็เดินผ่านหน้าฉันไป ปล่อยให้ฉัน ยัยจินและรุ่นพี่อีกคนยืนมองตามอยู่ตรงนั้นด้วยความไม่เข้าใจ ไม่สิ ทุกคนที่เหลืออยู่ตรงนี้คงคิดวิเคราะห์กับคำพูดของเขาอยู่ โดยเฉพาะฉันและยัยจิน
เขาพูดเรื่องบ้าอะไรกัน
“ไหนแกบอกไม่รู้จักพี่เขาไง ทำไมเขาถึงทำตัวเหมือนรู้จักแก อธิบายมาเสียดีๆ”
หลังจากที่ออกมาจากตรงนั้นได้เราสองคนก็ขับรถกลับ ฉันต้องไปส่งยัยจินที่ลานจอดรถของคณะส่วนตัวเองก็กลับคอนโดที่พ่อเพิ่งยอมซื้อให้เมื่อปลายเดือนก่อนนี้ กว่าจะยอมฉันก็ต้องทำตัวเป็นเด็กดีของพ่อกับแม่อยู่นานเลย
“ก็รู้จักผ่านๆ ตอนที่ประกวดดาวเดือน เพื่อนพวกพี่บ๊วย” ฉันอธิบายอย่างเรียบง่าย เช่นเดียวกับสีหน้าที่พยายามไม่ให้มันจับพิรุธได้
“รู้จักแบบไหนเขาถึงกล้าว่าแกขนาดนั้น แล้วทำไมแกไม่โกรธ”
“ไม่อยากถือสา คนโรคจิต” ฉันพูดอย่างไม่คิด แต่อยากให้เพื่อนสนิทเลิกสงสัยเสียที
“อุ้ย รู้ด้วยว่าเขาโรคจิต แกเคยหรือไง หา!”
“เคยอะไร พูดบ้าอะไรของแก”
“แกปิดบังอะไรฉัน พูดมาให้หมด” ยัยจินกอดอก จ้องมองฉันที่กำลังขับรถอยู่อย่างจับผิด
“ไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละ เลิกคิดอะไรไร้สาระ ลงไปได้แล้ว” ฉันไล่เพื่อนอย่างรำคาญเพราะมันพยายามจะเอียงคอมามองตากัน
มันรู้จุดอ่อนของฉันดี ฉันไม่ใช่คนโกหกเก่งอะไร และสายตาของคนเรามันมักจะปกปิดทุกเรื่องที่ซ่อนไว้ไม่มิด ถ้าสบตากับมัน มันคงรู้แน่ว่าฉันโกหก
“แกหลบตาฉัน แปลว่ามีแน่ๆ”
“บอกว่าไม่มีอะไร”
“หรือว่า…”
“อะไร” ฉันขมวดคิ้วถาม หัวใจเริ่มเต้นไม่เป็นปกติตอนที่หันไปสบตากับคนที่จ้องจับผิดอยู่ พอเห็นสีหน้าของมันที่ราวกับรู้ความคิดของฉันยิ่งปั่นปวนไปทั่วท้อง
“รุ่นพี่ที่แกบอกตอนเมาว่าทำแกอกหักคือเขา!?”
“…” ร่างกายของฉันมันหยุดนิ่งไปชั่วครู่ มีเพียงหัวใจที่เต้นรัวอยู่ในโพรงอก คำพูดของยัยจินทำให้ฉันเถียงไม่ออกทั้งที่พยายามปฏิเสธมาตลอด
“ว่าแล้ว”
“พูดบ้าอะไรของแก ไม่ใช่ แกอย่าคิดไปเอง ลงไปเดี๋ยวนี้เลย!”
“บอกมาเลยนะแกไปคุยกับพี่เขาตอนไหน”
ฉันถอนหายใจพรืดใหญ่กับความอยากรู้ของเพื่อนสนิท ไม่ใช่ว่าไม่อยากเล่าให้มันฟังหรอกแต่ฉันรู้สึกว่าไม่ควรพูดถึงเขาอีกแล้ว เรื่องมันจบไปแล้ว
“เออ ใช่ก็ใช่ รู้แล้วก็รีบลงไป แล้วอย่าไปบอกใครนะฉันไม่อยากให้ใครรู้อายเขา” ฉันยอมรับไปแต่โดยดี
ยอมรับว่ามันเป็นความรู้สึกที่เหมือนกับคนกำลังอกหักอยู่จริงๆ ยิ่งตอนที่เห็นเขาควงผู้หญิงคนอื่นยิ่งเจ็บปวดที่หัวใจ ทั้งที่รู้ว่าคนอย่างเขาไม่ได้คิดจะจริงจังกับฉันตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ทั้งที่รู้ว่าเขาป่วยเป็นโรคที่น่ากลัวนั่นแล้วควงผู้หญิงเพื่อตอบสนองความต้องการของตัวเอง
ไม่ควรเลย ฉันไม่ควรไปชอบคนโรคจิตอย่างพี่ไมเนอร์ ที่เห็นผู้หญิงเป็นเพียงเครื่องมือระบายความทรมานของตัวเอง ถึงจะไม่ได้เรียนหมออย่างพ่อ ทำไมจะไม่รู้ว่าโรคนี้มันเป็นอย่างไร แค่ลองหาข้อมูลในเว็บก็ขึ้นมาเป็นพรวน
-------------------
แก อีพี่มันคิดว่าน้องมีหมอแก่ๆเลี้ยง แต่นั่นพ่อเค้าค่ะคุณพี่!!!
ขอฝากเรื่อง แพ้รักนายรุ่นพี่ หนุ่มคนแรกของแก๊งนี้ด้วยนะค้าบบ
