บทที่ 3 ยอมเป็นของลิต้าเสียเถอะค่ะ (2)
ปัง!
ประตูห้องถูกปิดลงแล้วพร้อมกับร่างของเจ้านายและผู้หญิงที่สวยราวกับนางฟ้าคนนั้นก็ได้หายไปจากห้อง
ลันตาระบายลมหายใจออกมาสั้นๆก่อนจะหยิบโทรศัพท์ออกมากดโทรออกไปยังหมายเลขที่คุณทัศนีย์ให้เธอเอาไว้ทันที
/ฮัลโหล/ เสียงของผู้หญิงมีอายุดังแล่นมาตามสาย
“สวัสดีค่ะคุณทัศนีย์ นี่ลันเองนะคะ”
/อ้าว หนูลัน ว่าไงล่ะจ๊ะ/
“ตอนนี้คุณธนัตออกไปทานอาหารกับผู้หญิงที่ชื่อลิต้าค่ะ” เธอรายงานเสียงเรียบในขณะที่คุณทัศนีย์ออกอาการวี๊ดว้ายด้วยความตกใจทันที
/ตายแล้วๆๆ ทำไมหนูไม่ไปด้วยล่ะ/
“คุณธนัตไม่ให้ลันไปค่ะ” เธอตอบออกมาตามตรง ก็แหงล่ะ เขาคงไม่อยากเอาเธอไปเป็นก้างขวางคอระหว่างที่เขากับลิต้าสวีดวิ๊ดวิ่วกันหรอก
/ฉันไม่ชอบแม่ลิต้า หนูจะต้องหาทางกำจัดเขาออกไปจากชีวิตของลูกชายฉันให้ได้/ คุณทัศนีย์พูดอย่างเฉียบขาดเล่นเอาลันตาอ้าปากหวอ
“ห๋า!”
/หนูฟังไม่ผิดหรอก เพราะนี่ก็ถือว่าเป็นหน้าที่ของหนูเหมือนกัน แค่นี้นะ ไปดูแลตานัตให้ดีๆล่ะ ฉันกลัวว่าลูกชายฉันจะโดนแม่นั่นฟันไปเสียก่อน/ แล้วคุณทัศนีย์ก็กดตัดสายไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้ลันตาอ้าปากค้างทำหน้าเหมือนถูกสูบวิญญาณออกไปจากตัวแล้วเรียบร้อย
โดนฟัน? ผู้ชายอย่างนายธนัตเนี่ยนะเสี่ยงต่อการถูกผู้หญิงฟัน...
ถ้าบอกว่าเขาจะไปฟันผู้หญิงยังจะดูน่าเชื่อกว่าอีก
แต่หน้าที่ก็ต้องเป็นหน้าที่ เธอจะต้องทำงานให้คุ้มกับเงินที่จะได้รับ คิดได้แบบนี้แล้ว ลันตาก็เปิดประตูออกไปทันทีก่อนจะหันไปถามเลขาคนสวยที่กำลังนั่งทาแป้งตลับอยู่ที่โต๊ะว่า
“คุณธนัตออกไปทานอาหารที่ไหนเหรอคะ”
“ไม่รู้ค่ะ” เอรินจิกสายตามองลันตาเล็กน้อยก่อนจะเมินหน้ากลับไปมองเงาสะท้อนตัวเองในกระจกเล็กๆอีกครั้ง
“คือว่า...” ลันตาเม้มปากแน่นพยายามหาข้ออ้างสุดฤทธิ์ก่อนจะพูดออกไปว่า
“คือว่าคุณธนัตลืมกระเป๋าตังค์ไว้บนโต๊ะทำงานน่ะค่ะ ฉันเลยจะเอาไปให้” พูดออกไปแล้ว ลันตาก็แทบจะกลั้นหายใจ กลัวเอรินจะจับได้แทบแย่ว่าเธอโกหกเพราะในมือของเธอไม่มีกระเป๋าสตางค์ของธนัตอยู่เลยแม้แต่น้อย
แต่เอรินกลับไม่ทันคิดถึงข้อนี้ เธอตวัดสายตามามองหน้าลันตาอีกรอบก่อนจะยอมบอกชื่อร้านอาหารที่ธนัตกับลิต้าไปทานอาหารด้วยกัน
“ขอบคุณค่ะ” หญิงสาวขอบคุณสั้นๆก่อนจะรีบเดินแกมวิ่งออกไปทันที โดยไม่ทันเห็นแววตาประหลาดของเอรินที่มองตามหลังไป
“นึกว่าฉันโง่เหรอไงถึงจะเชื่อว่าเธอจะเอากระเป๋าเงินไปให้คุณนัตจริงๆน่ะ... ที่ฉันยอมบอกเธอไปก็เพราะเห็นว่าคุณนัตไปกับนังลิต้านั่นหรอกนะ ดีเหมือนกัน..เธอจะได้ไปขัดขวางแม่นั่นแทนฉัน” เอรินพึมพำสียงแผ่ว มุมปากเหยียดขึ้นอย่างเยาะหยันก่อนจะหันมาหยิบลิปสติกในกระเป๋าขึ้นมาทาที่ริมฝีปากช้าๆ
“ลิต้ารู้สึกปวดหัวจังเลยค่ะ” ลิต้าวางช้อนลงบนจานข้าวทั้งๆที่เพิ่งตักกินไปได้ไม่มาก
“อ้าว ปวดมากหรือเปล่าครับ” ชายหนุ่มถามพลางขมวดคิ้วมุ่น มือใหญ่วางช้อนลงก่อนจะหันไปหยิบแก้วน้ำขึ้นมาดื่ม
“ปวดมากเลยค่ะพี่นัต ปวดจี๊ดจ๊าดจนลิต้าจะทนไม่ไหวอยู่แล้ว” ลิต้ายกมือขึ้นมากุมขมับพลางตีหน้าเหยเกราวกับว่ากำลังทรมานมากจนธนัตเริ่มออกอาการละล้าละลัง
“งั้นกลับกันเถอะ เดี๋ยวพี่จะไปส่งคุณที่คอนโดเอง” ธนัตพูดพลางหยิบธนบัตร1,000บาทออกมาวางบนโต๊ะแล้วประคองลิต้าให้ลุกขึ้น
“ขอโทษนะคะที่มาปวดหัวเอาตอนนี้ พี่นัตเลยหายหิวเลย” ลิต้าพูดเสียงอ่อน
“ไม่เป็นไรหรอกครับ เรื่องเจ็บป่วยมันเป็นเรื่องธรรมดา เดี๋ยวพี่ไปส่ง” เขาพูดเสียงเบาอย่างอ่อนโยนก่อนจะพาร่างระหงออกไปจากร้านอาหาร โดยไม่รู้เลยว่ามีใครบางคนที่นั่งอยู่บนรถแท็กซี่ที่จอดอยู่หน้าร้านกำลังมองเขาประคองลิต้าเข้าไปนั่งในรถส่วนตัวคันหรู
“ตามรถคันนั้นไปเลยค่ะ” ลันตาบอกคนขับรถแท็กซี่เมื่อเห็นว่ารถของธนัตแล่นออกไปจากบริเวณหน้าร้านอาหารแล้ว
“ครับ”
