ตอนที่ 23
เขามองหน้าเธอ
“หากคุณไปที่นั่น แล้วไม่มีเสียงร้อง แสดงว่า คนที่ถูกทรมานต้องอยู่ที่นั่น หากมีเสียงร้อง แสดงว่าต้องไม่ใช่ที่นั่น”
มัชฌิมาเสนอความคิด แล้วเธอก็ภาวนาว่าขอให้เขายอมรับปาก เพราะหากเขาไปที่นั่น อย่างน้อยภูตมนต์ดำอาจจะกลัวว่าจะมีคนอื่นได้ยิน มันจะหยุดการทารุณป้าของเธอ เพราะคืนอื่น ๆ มันไม่สามารถทำร้ายป้าของเธอได้ อย่างน้อยก็ให้ป่าของเธอมีโอกาสได้รอดพ้นจากการถูกทรมานสักครั้งก็ยังดี
“ก็ได้ครับ คืนเพ็ญครั้งหน้า เวลานี้ ผมจะไปที่นั่น”
เพียงเท่านั้นเธอก็ยิ้มออกมาได้
“ขอบคุณนะคะ”
เธอบอกเขาพร้อมกับรวบมือเขาไว้แน่น ทำให้เขานึกสงสัยอยู่เงียบ ๆ ว่าเพราะอะไรเธอถึงร้องไห้แล้วดูดีใจเมื่อเขายอมไปที่วังของคุณชายระพีในคืนเดือนเพ็ญ
“ดึกมากแล้ว นอนเถอะนะครับ”
“ฉันยังไม่ง่วงค่ะ แล้วคงนอนไม่หลับ”
“เพราะเสียงร้องนั่นหรือครับ”
เธอนิ่งแทนการตอบ
“อย่ากลัวเลยนะครับ ผมเองก็พยายามตามหาต้นเสียงมานานแล้ว แต่หาไม่พบสักที แต่คืนนี้ ผมได้ยินเสียงผ่านมาทางยอดปราสาทของคุณลุงผม แต่ผมก็ไม่อยากเชื่อว่า ต้นเสียงจะอยู่ที่นั่น”
เขาก้าวไปหยุดที่ริมราวระเบียงมองไปยังยอดปราสาทสีงาช้าง ยิ่งในคืนเดือนเพ็ญแบบนี้ ยอดปราสาทแห่งนั้นยิ่งดูสวยงาม แต่แฝงไว้ด้วยความน่าเกรง
“ผมจะดูว่าสถานที่ด้านหลังของปราสาทหลังนี้ เป็นสถานที่อะไรด้วย ไม่แน่ว่า ต้นเสียงอาจจะมาจากสถานที่นั้นก็ได้”
เขาหันไปมองหน้าเธอ
“ลงไปพร้อมผมเถอะนะครับ”
เธอเงยหน้ามองเขาแล้วลุกขึ้น
“ค่ะ”
เขารอให้เดินเดินนำแล้วเขาก็ก้าวตาม เดินมาส่งเธอจนถึงหน้าห้องนอนของเธอ
“ทำไมไม่ปรากฏตัว เจ้าอยู่แห่งใดนะ..มัชฌิมา”
ภูตมนต์ดำคิดในใจเมื่อสัมผัสกระแสพลังบางอย่างได้ มันรู้สึกเหมือนอยู่ใกล้ ๆ แต่บางครั้งก็ห่างไกลออกไป มันมั่นใจว่า ต้องเป็นมัชฌิมาอย่างแน่นอน
มันจึงพยายามใช้พลังอำนาจของมันเพื่อหาเธอ แต่ก็ไม่สามารถจะมองเห็นแม้จะใช้ตาที่สามด้วยก็ตาม ทำให้มันหงุดหงิดและรู้สึกโกรธ เพราะยิ่ง
เมื่อมันอยู่ในเมืองมนุษย์นาน พลังของมันก็จะอ่อนลง การจะกลับเป็นมนุษย์ก็จะยิ่งยาก หากมัชฌิมายังไม่ปรากฏตัว มันจะรอแบบนี้ไม่ได้
“หรือเจ้าไม่รักป้าของเจ้า ใยเจ้าจึงไม่มา ข้ามั่นใจว่า เจ้าจะต้องอยู่ที่ใดสักแห่ง ไม่ไกลจากที่นี่ แต่ทำไมข้าไม่เห็นเจ้า..มัชฌิมา นี่ข้าควรทำเช่นไรกับเจ้าดีนะ”
ภูตมนต์ดำมองมาหาภูตบริวารของมัน
“เพิ่มจำนวนสาวพรหมจรรย์ให้มากกว่าเดิม จากนี้ไป หามาให้ข้าทุกคืน”
“ได้ นายท่าน”
ภูตมนต์ดำขบกรามแน่น มันจำเป็นต้องอาศัยพลังจากสาวพรหมจรรย์เพื่อเสริมกระแสพลังอำนาจ ไม่เช่นนั้นมันจะต้องเสื่อมถอย กว่าวันที่จะสามารถครอบครองหรือได้เลือดของมัชฌิมา มันจะต้องแกร่งเหมือนดังเดิม ไม่ว่าจะอยู่ในเมืองมนุษย์หรือเมืองลับนคร
และจากคืนนั้น ข่าวการหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยของหญิงสาวก็ถี่ขึ้น มากขึ้นจนตามโรงพักต่าง ๆ วุ่นวายกับการรับแจ้งเรื่องคนหาย อีกทั้งผู้บังคับบัญชายังกำชับให้รีบปิดคดี เป็นเหตุให้ตำรวจทุกโรงพักวุ่นวายแทบไม่ได้พัก รวมทั้งสายสืบที่ทำงานหามรุ่งหามค่ำ
และหนึ่งในนั้นคือ ร้อยตำรวจเอก ก้องเกียรติ นายตำรวจมือดีที่เพิ่งย้ายจากต่างจังหวัดเข้ามาประจำในโรงพักแห่งหนึ่งใจกลางกรุงเทพฯ เขามีหน้าที่รับผิดชอบคดีนี้ ซึ่งในเขตรับผิดชอบของเขามีหญิงสาวสูญหายแทบทุกคืนและไม่สามารถปิดคดี
“บริเวณไหนนะ”
เขารับสายจากสายสืบหน่วยหนึ่ง จากนั้นก็รีบมุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่ถูกตรวจพบเบาะแสการหายตัวไปของหญิงสาว หลังจากที่สายลืบซุ่มดูอยู่หลายคืนจนแน่ใจ
“แน่ใจหรือว่าที่นี่”
ก้องเกียรติ ชายหนุ่มวัยสามสิบที่หล่อเขาคมคายและยังโสดเอ่ยถามสายสืบที่พาเขามายังบริเวณหน้าคฤหาสน์สีงาช้างของหม่อมราชวงศ์ชายระพี รัศมีจำรูญ ซึ่งอยู่ติดกับบ้านของกานต์
“ครับ ผู้กองสายรายงานมาอย่างนั้น”
ร้อยตำรวจเอกก้องเกียรติมองไปยังบ้านที่อยู่ตรงหน้าอย่างครุ่นคิด เพราะเขาจำได้ดีว่าเป็นบ้านของใคร และเขาก็รู้อีกว่าเจ้าของบ้านนี้ไม่อยู่
เขาจึงมองไปยังประตูทางเข้าที่อยู่ติดกัน เป็นคฤหาสน์สีงาช่างที่อลังการ อย่างมาก มันคือที่อยู่ของหม่อมราชวงศ์ชายระพี รัศมีจำรูญ ลุงแท้ ๆ ของกานต์เพื่อนรักของเขา
เขาเตรียมยื่นมือไปกดสัญญาณเรียกคนด้านในแต่ก็ต้องแปลกใจเมื่อตวัดสายตาไปเห็นหญิงสาวที่แสนงดงามในรั้วบ้านของกานต์
“เอ๊ะ!”
นายตำรวจทุกนายหันมองตามสายตาของผู้กองก้องเกียรติไป
“ใครหรือครับผู้กอง”
แทนคำตอบผู้กองหนุ่มเดินกลับไปยังหน้าประตูรั้วบ้านของกานต์แล้วกดกริ่ง ทำให้หญิงสาวแสนสวยที่เตรียมเดินกลับเข้าด้านในต้องหันมาหา
“คุณมาอยู่แทนคุณกานต์หรือครับ”
เสียงกริ่งดังมาจากประตูก่อนจะได้ยินเสียงคนร้องถามทำให้มัชฌิมาหันไปตามเสียง แล้วเธอก็ได้มองเห็นนายตำรวจหลายนายที่ยืนอยู่ตรงนั้น
“ขอโทษนะครับหากผมทำให้ตกใจ แต่ผมอยากรู้ว่าคุณมาอยู่ที่นี่แทนเจ้าของบ้านหรือครับ หรือว่าเขากลับมาแล้ว..ผมหมายถึงกานต์”
