เสน่หาใต้ฟ้าคราม by อิงทราย

126.0K · จบแล้ว
ทรายสีเงิน
90
บท
11.0K
ยอดวิว
7.0
การให้คะแนน

บทย่อ

ความรักของผมเริ่มต้นจากความผูกพันตั้งแต่สมัยเด็ก และผมเองได้ให้คำมั่นสัญญาว่าจะดูแลเธอไปตลอดชีวิต ถึงตอนนี้ คำสัญญานั้นยังอยู่ในหัวใจของผม ความรักของผมเริ่มต้นจาก คำถามง่ายๆ คือชีวิตอยู่ได้ไหมถ้าไม่มีเธอ แล้วถ้าไม่มีเธอชีวิตผม จะเป็นอย่างไร นั่นคือคำบอกรักของ รีสมอนด์ ซันสมิธ ที่ต้องการ บอกรักเธอ ในเมื่อชาละวันตัวร้ายกลายร่างเป็นไกรทองปกป้อง เธอด้วยชีวิตแบบนี้ ปันหยา จะทนใจแข็งต่อไปได้อย่างไร...

นิยายรักโรแมนติกประธานสัญญาทางรักพลิกชีวิตเศรษฐีโรแมนติก

1.พายุลวง

*** ทักทายคร้า วันนี้เสน่หาใต้ฟ้าคราม เปิดเรื่องวันแรก นิยายเรื่องนี้เป็นรักโรแมนติกที่เกิดขึ้น ท่ามกลางกลลวงมากมาย มีทั้งตื่นเต้นและลุ้นในทุกๆ ตอน ฝากติดตาม นามปากกาอิงทรายด้วยนะคะ...รัก...รัก***

****

กลางท้องทะเลเวิ้งว้างในยามค่ำคืน เรือยอชต์ลำใหญ่กำลังแล่นฝ่าสายฝนและคลื่นลมแรงเพื่อไปให้ถึงฝั่ง แม้สายลมจะพัดกระโชกแรงและฟ้าฝนคะนองเพียงใด แต่นพดนัยและชิดจันทร์ นพคุณ คู่สามีภรรยานักธุรกิจชื่อดังเจ้าของบริษัทอสังหาริมทรัพย์และโทรคมนาคมยักษ์ใหญ่ในเมืองไทย ก็ไม่ยอมเปลี่ยนใจกลับไปที่เกาะรังนกซึ่งเป็นเกาะส่วนตัวที่เพิ่งจากมา เพราะทั้งสองต้องรีบเดินทางเข้ากรุงเทพฯ ให้เร็วที่สุด เพื่อไปดูอาการของคุณหญิงบุหงา นพคุณ ซึ่งเกิดล้มป่วยกะทันหัน ทำให้การพักผ่อนของสองสามีภรรยาจำต้องจบลง

ภายในเรือยอชต์ลำใหญ่ นพดนัยนั่งโอบร่างอวบอิ่มด้วยอายุครรภ์แปดเดือนของชิดจันทร์ภรรยาสาวอยู่บนเก้าอี้ด้วยสีหน้าวิตกกังวล เพราะพายุฝนและลมกระโชกแรงขึ้นเรื่อยๆ ชิดจันทร์เงยหน้าขึ้นมองสามี มืออีกข้างลูบท้องนูนไปมาอย่างเป็นห่วงสายเลือดเพียงคนเดียวที่ใกล้จะลืมตามาดูโลก ในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า

“เฮ้ยเร็ว! ช่วยกันบังคับเรือให้ดี อย่าให้นายเป็นอะไร” ภูผาชายวัยสามสิบเจ็ด เลขาฯ ส่วนตัวของนพดนัยตะโกนบอกเจ้าหน้าที่ประจำเรือสามคน แต่ตามองไปยังกลุ่มเมฆสีดำทะมึนที่กระจายอยู่รอบตัวด้วยสีหน้าตื่นตระหนก

เปรี้ยง!!!!!

สายฟ้าฟาดลงกลางทะเลเป็นเส้นสายใยแมงมุมอย่างน่ากลัว ชิดจันทร์ผวาเข้ากอดสามีแน่นอย่างตกใจ เจ้าตัวเล็กที่หลบอยู่ในครรภ์มารดาก็พลอยสะดุ้งไปด้วย

“อุ๊ย” ชิดจันทร์อุทานเบาๆ เมื่อรู้สึกเจ็บร้าวไปทั้งสันหลังเพราะแรงดิ้นของลูก นพดนัยกระชับอ้อมกอดแน่นอย่างหวงแหน มือเช็ดไรเหงื่อบนใบหน้าของภรรยาออกให้อย่างเบามือ

“ลูกดิ้นเหรอจันทร์”

“ค่ะ แกคงตกใจ” เธอตอบสามีเสียงเครือ ภาวนาให้เหตุการณ์เลวร้ายขณะนี้ผ่านพ้นไปซะที นพดนัยบีบมือภรรยาอย่างปลอบโยน มืออีกข้างวางลงบนท้องนูนใหญ่เบาๆ

“อย่าดิ้นนะครับลูก แม่เขาเจ็บ หนูคอยเอาใจช่วยพ่อกับแม่ให้รอดปลอดภัยกลับไปดูอาการคุณย่าด้วยนะครับคนเก่งของพ่อ” สิ้นเสียงนพดนัย เรือก็โคลงเคลง ทำให้ทุกคนต้องหาหลักยึดไว้ ภูผาก้มลงไปหาเจ้านายหนุ่มอย่างเป็นห่วง

“นายเป็นยังไงบ้างครับ”

“ฉันไม่เป็นไร บอกให้เจ้าหน้าที่เร่งความเร็วอีกได้ไหม เราต้องฝ่าพายุไปให้ได้”

“แต่มันอันตรายมากนะครับนาย ทั้งลมทั้งฝนกระจายเป็นบริเวณกว้าง น่าจะถึงชายฝั่งด้วย” ภูผาหันไปมองสายฝนที่กระหน่ำลงมาอย่างไม่มีวี่แววว่าจะหยุด ชิดจันทร์บีบมือสามี รู้สึกกลัวขึ้นมาจับใจ นพดนัยก้มมองสบตาภรรยา

“ถ้าฉันต้องมีอันเป็นไป ดูแลชิดจันทร์กับลูกด้วยนะภูผา ยังไงเมียกับลูกฉันต้องปลอดภัย”

“คุณนพ/นาย” ทั้งชิดจันทร์และภูผาอุทานออกมาพร้อมกันอย่างตกใจกับคำสั่งเสียของสามี และนั่นก็ทำให้เธอรู้สึกใจคอไม่ดี

“ฉันหมายความตามนั้น” นพดนัยขยับเสื้อชูชีพของภรรยาให้เข้าที่และวางมือบนหน้าท้องนูนใหญ่ของภรรยา “โตขึ้นลูกต้องเข้มแข็ง และดูแลทุกอย่างแทนพ่อ” ร่างน้อยที่ขดอยู่เคลื่อนตัวไปมาเหมือนรับรู้ในคำสั่งของบิดา ชิดจันทร์น้ำตาไหลกอดสามีแน่น

“ไม่นะคะนพ ถ้าจะตายเราก็ต้องตายด้วยกัน ถ้ารอดก็ต้องรอดด้วยกันทั้งหมด จันทร์กับลูกจะอยู่ได้ยังไงถ้าไม่มีคุณ” เสียงสะอื้นของภรรยาทำให้นพดนัยกอดร่างนั้นแนบอกอย่างสงสารจับใจ

“นั่นสิครับนาย ผมว่าเราฝ่าพายุไปขอหลบที่เกาะเสือหมอบก่อนดีไหมครับ” ภูผาเอ่ยถึงเกาะที่มีรูปร่างคล้ายเสือนั่งหมอบอยู่ในทะเลอันดามันซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่นี่มากนัก ซึ่งเจ้าของเกาะเป็นชาวต่างชาติ ชาวบ้านแถบนี้และเรือทุกลำไม่กล้าเข้าไปใกล้ เพราะรอบๆ เกาะมีเวรยามควบคุมอย่างแน่นหนา คล้ายกับว่าเจ้าของไม่ต้องการให้ใครรุกล้ำเข้าไปที่ส่วนตัว หากใครหลงเข้าไปก็จะไม่ได้กลับออกมาอีกหรือหายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย

นพดนัยครุ่นคิดแล้วมองฝ่าสายฝนไปยังเกาะใหญ่เบื้องหน้า แต่เหมือนทุกอย่างจะสายไปเสียแล้ว เมื่อคลื่นลูกใหญ่กระแทกเข้ากับกาบเรือด้านซ้าย น้ำสาดกระเซ็นขึ้นมาบนเรือ ตามด้วยแรงลมที่พัดโหมกระหน่ำเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง สายลมหอบเรือยอชต์ลำใหญ่ลอยสูงขึ้นตามความสูงของคลื่น แล้วตกกระแทกกับพื้นน้ำ ทำให้ตัวเรือเสียศูนย์เอียงลงไปในน้ำ เจ้าหน้าที่สามคนที่อยู่ด้านบนตกลงไปในทะเลจมหายไปต่อหน้า ชิดจันทร์หน้าซีดกอดนพดนัยไว้แน่น มืออีกข้างยึดราวเหล็กไว้ เรือค่อยๆ จมหายลงไปใต้น้ำ พายุฝนก็ยังคงกระหน่ำลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา นพดนัยโอบภรรยาเกาะกาบเรือที่อยู่เหนือน้ำ ภูผาขยับเข้าไปช่วยจับมือนายหญิงไว้

“ว้าย!” ชิดจันทร์ร้องเสียงหลงเมื่อมือหลุดออกจากราวเหล็ก นพดนัยตกใจกอดภรรยาแน่น

“จันทร์! เกาะไว้จันทร์ เกาะแน่นๆ” นพดนัยตะโกนแข่งกับเสียงฟ้าร้องดังสนั่นไปทั่วพื้นน้ำ สายฟ้าแลบแปลบปลาบดูน่ากลัว ภูผามองหาตัวช่วยเมื่อตัวเรือกำลังจมดิ่งลงสู่พื้นน้ำเบื้องล่าง

“นายพานายหญิงไปเกาะถังน้ำมันนั่นเร็วเข้า”

นพดนัยมองฝ่าสายฝนไปยังถังน้ำมันสีน้ำเงินสองใบที่ลอยอยู่ไม่ไกลอย่างมีความหวัง

“ไปด้วยกันภูผา เร็ว!” นพดนัยบอกพลางสะบัดศีรษะเพื่อไล่น้ำฝนที่ไหลเข้าตา เรี่ยวแรงเริ่มหมดลงไปเรื่อยๆ ลำพังตัวเองก็พอเอาตัวรอดได้ แต่ภาระหนักก็คือภรรยาสุดที่รักกับลูกน้อยต่างหาก ที่ทำให้เขาต้องกัดฟันสู้อย่างไม่ยอมแพ้

“ไม่ครับ นายกับนายหญิงไปเกาะถังไว้เร็วเถอะครับ เรือจมดิ่งลงไปแล้ว”

“ไม่! ถ้าจะรอด เราต้องรอดด้วยกัน ไป!”

ภูผามองผู้เป็นนายอย่างซึ้งในน้ำใจ ทั้งสองไม่มีเวลาโต้เถียงกันอีกเพราะร่างของชิดจันทร์ค่อยๆ เลื่อนต่ำลงไป ทั้งนพดนัยและภูผาช่วยกันจับร่างของหญิงสาวขึ้น

“แข็งใจไว้นะจันทร์ แข็งใจไว้” นพดนัยมองหน้าซีดขาวของเมียรักอย่างสงสารจับใจ

ภูผาผละจากร่างของนายหญิง ว่ายฝ่าสายฝนและคลื่นสูงไปเอาถังน้ำมันมาให้คนทั้งสอง

“เกาะไว้แน่นๆ นะจันทร์ อย่าปล่อยถังน้ำมันนะ”

ชิดจันทร์ซึ่งพอมีสติอยู่บ้างพยักหน้าน้อยๆ แล้วใช้สองมือเกาะถังพลาสติกไว้

“นายเกาะไว้ครับ” ภูผาขยับเข้าไปขนาบข้างเพื่อจะช่วยประคองร่างชิดจันทร์

*** ขอบคุณคร้า ***